วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ผู้นำอย่านำลงเหว



อาชีพนักข่าวแบบผม ถ้ายังคงสนุกกับการทำข่าวไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมเกษียณ วันหนึ่งก็จะพบว่าตัวเองแก่ เพราะแหล่งข่าวที่เราออกไปพบไปสัมภาษณ์จะเริ่มเด็กกว่าเรา

ครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกแก่ ก็คือตอนที่ผมสัมภาษณ์คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนาวาตรีอนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และพบว่าทั้งคู่อายุน้อยกว่าผม

นับแต่นั้นมาผมก็เลิกคิดว่าตัวเองยังคงเป็นคนหนุ่ม และเริ่มฝึกวิธีคิดของตัวเองให้ชินกับสถานะทางความคิดที่ว่า "ตัวเองเริ่มแก่แล้วน๊ะ"

อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เคยบอกกับผมระหว่างสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า "พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าคนเรานั้น เกิดรู้แต่ตายไม่รู้ ดังนั้นเราต้องพร้อมที่จะตายทุกเมื่อ ทางธิเบตเขาก็มี การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ อย่างที่ท่านพุทธทาสเคยพูดว่า ตายเสียก่อนตาย นั่นแหละ"

กระนั้นก็ตาม ความเศร้าอย่างหนึ่งของคนแก่ นอกจากการสูญเสียเพื่อนฝูงที่ทะยอยตายจากไปแล้ว ผมว่ามันคือการได้เห็นคนที่อายุน้อยกว่าเราตายจากไป

ผมเศร้าทุกครั้งที่ต้องเห็นลูกต้องมาตายจากไปก่อนพ่อแม่

ผมเศร้าใจแทนพ่อแม่เหล่านั้น

ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะผมได้อ่านรายชื่อผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้และพบว่าหลายคนในจำนวนนั้นอายุน้อยกว่าผมเสียอีก

ผมยิ่งเศร้าใจเพราะมันเป็นการสังหารกันเองระหว่างคนไทยด้วยกัน จากความขัดแย้งที่บรรดาผู้นำมีส่วนสำคัญในการสร้างและขยายผลมันขึ้นมา

ผมเศร้าและผิดหวังกับบรรดาผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ ว่าทำไมไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งด้วยวิธีสันติ แบบที่ผู้คนในประเทศอารยะเขาทำกัน

ผมเห็นด้วยกับ ..ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบัตรเครดิตกรุงไทยฯ ที่บอกกับเราว่าตอนนี้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของเรามันได้กลายเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ค่อนข้างถาวรไปแล้ว ซึ่งมันไม่เคยเกิดมาก่อน ทำให้ต่างชาติเริ่มกังวลและมองว่าปัญหานี้คงจะอยู่คู่กับสังคมไทยไปอีกนาน

เพราะความขัดแย้งในสังคมมันร้าวลึกเข้าไปในใจคน มีการแบ่งข้างอยู่ในทุกองค์กร ทุกครอบครัว และจำนวนมากพร้อมที่จะห่ำหั่นกันด้วยกำลัง

และด้วยความที่ผมได้ศึกษาประวัติของสงครามกลางเมืองที่เคยเกิดขึ้นในสังคมอื่นมาแล้วไม่น้อย ผมจึงหวั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าความขัดแย้งของสังคมไทยในดีกรีขนาดนี้ อาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองย่อมๆ เข้าสักวันหนึ่ง

ประวัติศาสตร์สอนเราว่า "ผู้นำ" เท่านั้นที่จะช่วยให้สังคมที่มีความตึงเครียดระดับนี้เปลี่ยนผ่านไปได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อมากนัก

นับแต่นี้ไป Leadership จึงสำคัญมาก

ผมหมายถึง Leadership แบบทั่วด้าน หรือ "คณะผู้นำ" คือมิได้จำกัดเฉพาะแต่การเมือง ทว่าหมายรวมถึงผู้นำของทุกองค์กร ทั้งภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ตุลาการ องค์กรอิสระ ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันพระมหากษัตริิย์และเครือข่าย หรือแม้กระทั่งผู้นำครอบครัว

ผู้นำจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้นำ ต้องทำในสิ่งที่ควรทำและหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะนำไปสู่หรือสนับสนุนให้เกิดสงครามกลางเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางการเมืองและผู้ที่มีส่วนกุมอำนาจรัฐทั้งอย่างเปิดเผยและในทางลับ

การเมืองในภาวะวิกฤติแบบนี้ ไม่ใช่การเมืองบนกระดานหมากรุก ที่ต้องเอาชนะคะคานกันโดยไม่แคร์ว่าจะสูญเสียเบี้ยเพื่อรักษาโคน ยอมเสียโคนเพื่อรักษาขุน หรือเป็นการเมืองแบบ "นี่พวกกู นั่นพวกมึง" แต่งตั้งแต่พวกตนเอง 

แต่เป็นการเมืองที่ต้องหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ร่วมกันทำงานโดยเปิดโอกาสให้คนเก่งที่สุดได้แสดงฝีมือในแต่ละจุดที่เขาเชี่ยวชาญ ประนีประนอมกันเพื่อหา Solutions ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รักษาน้ำใจกัน เปิดใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและรู้จักจัดการกับความเปลี่ยนแปลงอย่างทรงประสิทธิภาพ

ที่สำคัญคือต้องรู้จักเสียสละ

ยิ่งใหญ่ ยิ่งสูง ยิ่งต้องเสียสละ และพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงอันสร้างสรรค์

ก่อนจะจบบทความนี้ ผมใคร่ขอยกเอาข้อความที่เคยเขียนไว้เมื่อ 28 มิถุนายน 2554 เมื่อรู้ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะผมคิดว่ามันเหมาะกับการนำมาอ่านใหม่ในช่วงนี้

ในครั้งนั้น ผมได้แสดงความกังวลแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และได้เสนอแนะให้คุณยิ่งลักษณ์ทำ 4 ข้อ ที่ผมคิดว่าจะช่วยแก้ไขความแตกแยกในใจคนไทยได้คือ 1. แสวงหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา 2. ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดให้ใช้ได้อีก 3. รู้จักใช้คน 4. รู้จักใช้เงิน

และ....

"…..แน่นอน หลายปีมานี้ Information ที่ได้มา ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความไม่สงบใจและยากจะวางใจต่ออนาคต (อันที่จริง ผมได้ศึกษาเรื่องสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญของต่างประเทศ และเขียนคู่มือการดำรงชีวิตท่ามกลางสงครามกลางเมืองไว้แล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา 53 และผมว่าเนื้อหาก็ยังสมสมัยอยู่...ผู้สนใจคลิดอ่านได้จากบทความชื่อ "อยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมือง" และ "สงครามกลางเมือง...ใช่ว่าฆ่ากันแล้วจะจบ ซะเมื่อไหร่" ใน www.mba-magazine.blogspot.com)

แต่ผมก็เหมือนกับนักเขียนเรื่องหนักๆ จริงจังทั่วไปนั่นแหละครับ ที่ชอบอ้างอิงข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี พวกเราพอใจไปงานศพยิ่งกว่างานแต่งงาน พวกเรามักเขียนอะไรที่มัน Inspire fear ให้เกิดขึ้นในใจของผู้อ่านที่ respect ข้อเขียนของพวกเรา ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้เกิดสติและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท

คนไทยช่วงนี้ มี Negative Thought อยู่ในใจแยะ และต่างก็มี Low Opinion ต่อกันและกัน ถ้าไม่ระวัง และได้ผู้นำที่แย่ สถานการณ์อาจถูกฉุดให้เลวร้ายลงจนแก้ไขไม่ได้

ระยะหลังมานี้ ผมอ่านเอกสารที่เกี่ยวกับ American Revolution และศึกษาชีวประวัติของผู้นำอเมริกันยุคแรกมาจนยุค Civil War โดยผมตั้งคำถามว่า ทำไมสังคมอเมริกันและผู้นำอเมริกันก่อนสงครามกลางเมือง จึงปล่อยให้สถานการณ์ Drag down the drain ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องฆ่าแกงกันอย่างมโหฬาร จนขมขื่นอยู่นาน กว่าจะเยียวยากันหาย

ผมประทับใจในปฏิปทาของผู้นำยุคแรก โดยเฉพาะนายพลวอชิงตัน ที่ช่วยกันประคับประคองระบอบใหม่ให้ดำเนินไปตามความคาดหวังและอุดมการณ์ของพวกเขา และหลีกเลี่ยงการใช้กำลังเข้าหักหาญเอาอำนาจ

สหรัฐอเมริกาโชคดีที่ได้ผู้นำรุ่นแรกเก่ง พวกเขามาจากครอบครัวชนชั้นนำของแมสสาชูเซ็ตและเวอร์ยิเนีย ฉลาด มีความเป็นปัญญาชน และอ่านหนังสือหนังหากันมามาก เรียกว่าตั้งแต่ Washington, John Adam, Jefferson, Madison, Munroe, John Quincy Adam หล่านี้ ล้วนมาจากชนชั้นสูง เป็นนักอ่านและยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยอย่างมั่นคง

นายพล Jackson เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากชนชั้น คนรวยใหม่” แต่ก็ยึดปณิทานแน่วแน่และเป็นคนเฉียบขาด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มรวนเร และไม่สามารถบริหารเศรษฐกิจให้ดีได้กับคนทั่วประเทศ อีกทั้งยังไม่ aware หรือไม่ยอมแก้ไขความขัดแย้งในสังคมอเมริกันโดยรวมได้ จนสุดท้ายความไม่พอใจและความเกลียดชังก็แผ่ออกทุกหย่อมหญ้าจนต้องจับอาวุธขึ้นประหัตประหารกัน

ท่านผู้อ่านที่สนใจ ลองอ่านเอกสารที่เชื่อถือได้ของยุคนั้นดูก็ได้ ลองดูไล่มาตั้งแต่ Martin Van Buren, Henry Clay, Daniel Webster, William Harrison, John Taylor, James Polk, Zachary Taylor, Millard Fillmore, Franklin Pierce, และ James Buchanan โดยเฉพาะก็สองคนหลังนี้ ที่ไม่สามารถนำให้ราษฎรเลี่ยงการฆ่าฟันกันได้สำเร็จ เพราะพวกเขามองเป็นเรื่องความขัดแย้งธรรมดา ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และยังเล่นการเมืองเชิงผลประโยชน์ของตัวและพวกใครพวกมันอยู่อย่างเดิม

ตอนที่ Lincoln เข้ามา ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว แต่ผมก็นับถือลิงคอนเมื่อศึกษางานของเขามากขึ้น ทว่าเมื่อลิงคอนตาย Andrew Johnson กลับทำลายสิ่งที่ลิงคอนอุตส่าห์สร้างมาด้วยเลือดและชีวิต นโยบาย ปรองดองและฟื้นฟู” ของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า (ลองอ่าน จดหมายจากอดีตทาส” ที่ผมเคยนำมาตีพิมพ์ดูใน www.mba-magazine.blogspot.com) และคนต่อมา วีรบุรุษสงคราม Ulysses Grant แม้จะเป็นนักการทหารที่เก่งแต่เป็นนักการเมืองที่แย่ เพราะนอกจากใช้คนแวดล้อมที่อ่อนแล้ว ยังโกงอีกด้วย

นายกรัฐมนตรีไทยนับแต่นี้ไปต้องสำเหนียกเรื่องทำนองนี้ไว้ให้ดี อย่าให้มัน drag down จนลงหล่มโคลน

ผมอยากฝากแนวทางง่ายๆ สำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไว้ 4 ข้อ คือ 1.แสวงหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา 2.ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดให้ใช้ได้อีก 3.รู้จักใช้คน 4.รู้จักใช้เงิน

และต้องไม่เคลิ้มไปกับพวกประจบสอพลอ ทั้งคนใกล้ชิด ข้าราชการ นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง เพราะมันจะทำให้เราถูก Corrupt โดยอำนาจได้ง่าย

ที่สำคัญ ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณยิ่งลักษณ์ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำ ที่มีคนอื่นหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นซึ่งอยู่หลังม่าน สามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ไม่ต่างกัน ผมจึงขอให้พวกเขาแข็งขืน ถ้าคำสั่งหรือการกดดันนั้นมันไม่ชอบมาพากล หรือขัดกับมโนธรรมและหลักการประชาธิปไตย

นั่นคือ Moral Courage

วันหนึ่ง คุณยิ่งลักษณ์อาจจะต้องพูดกับพี่ชายว่า “อ้ายเจ้า..ฟั่งซุ่นข้าเจ้าเตื้อเน้อ ถ้าอ้ายบะปอใจ๋ ก่อยไล่ข้าเจ้าออก แต่ต๋อนนี้ ปล่อยฮื้อข้าเจ้าญะอะหยังต๋ามหลักก๋านและตี้มันควรจะเป๋นก่อนเน้อเจ้า...

ถ้าคุณอภิสิทธิ์เผอิญเข้ามาอ่านเจอข้อความนี้ ผมอยากให้ลองแปลดูเอง"...

น่าเสียดายที่คุณยิ่งลักษณ์ไม่รู้จักใช้คนและใช้เงินไม่เป็น แถมยังเล่นการเมืองเชิงผลประโยชน์ของครอบครัวตัวเองและพวกใครพวกมันอยู่อย่างเดิม

 แถมยังไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่แท้จริงคือเมื่อชนะด้วยเสียงส่วนใหญ่ไปแล้วดันคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ และที่สำคัญคือไม่ Aware และไม่ยอมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคมอย่างจริงจัง

ผมจึงอยากจะฝากไปถึงผู้นำและคณะผู้นำที่กำลังจะขึ้นมาใหม่ว่าต้อง "ยกขาจากหล่มโคลน" ให้สำเร็จ

ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย ซึ่งบอกกับผมว่า ตัวเองคิดว่าคนไทยจะต้องผ่านจุดนี้ไปได้อย่างแน่นอน และเมื่อมองในแง่ดี คนไทยก็จะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากวิกฤติอันนี้

เพราะในที่สุด "คนไทยจะ Make Sense”

ผมอยากหวังอย่างนั้นด้วยคน

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
30 มกราคม 2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมกราคม 2557

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

การเติบโตของพวกสุดกู่ ม็อบ และสงครามกลางเมือง



ความขัดแย้งคราวนี้ทำให้เราเห็นแนวโน้มบางอย่างที่อันตราย

อันหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือการเติบโตของความคิดสุดกู่...ทั้งซ้าย และขวา (ผมหมายถึงพวก Radicals)

ทั้งในม็อบและนอกม็อบ รวมถึงพวกเสมอนอกบน Social Networks ที่เชียร์ให้ใช้กำลังกวาดล้างตัดตอนฝ่ายหนึ่ง และเชียร์ให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้หรือ Pre-empt เพราะกลัวว่าจะถูกกวาดล้างอีกฝ่ายหนึ่ง

นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอเชิงปฏิรูปประเภทถอยหลังเข้าคลองฝ่ายหนึ่ง เช่นให้ยกเลิกระบบ One Man One Vote” หรือให้เว้นวรรคระบบประชาธิปไตย หรือให้จำกัดสิทธิบางอย่างของราษฏร ตลอดจนการคุกคามคณะทูต และปฏิบัติต่อความเห็นของรัฐบาลต่างชาติแบบหลงชาติหรือชาตินิยมสุดกู่...และอีกฝ่ายหนึ่งที่มีข้อเสนอในแบบที่คล้ายคลึงกับสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 ซึ่งฟังดูแล้ว Extreme ด้วยกันทั้งคู่

ไม่เชื่อลองมองไปรอบตัวท่าน แค่คนใกล้ตัวท่านและในแวดวงของท่านเองที่ท่านรู้จักดีหรือเคยรู้จัก จะเห็นได้ไม่ยากว่าแทบทุกคนล้วนมี National Agenda ของตัวเองสักชุดหนึ่ง

Agenda ของบางคนวางอยู่บนพื้นฐานแบบเหยียดชนชั้นที่ใช้ระดับการศึกษา ฐานะ และหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งชาติกำเนิดแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มควรมีสิทธิไม่เท่ากัน หรือของบางคนที่อยากกลับไปยึดมั่นกับระบอบเทวสิทธิราชย์ และก็มีบ้างบางคนที่หันเข้าหาอีกขั้วหนึ่งจนกล้าประกาศตัวสนับสนุนระบอบ Republic อันตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีสิทธิเสมอกัน...แต่อย่างน้อยที่สุด สำหรับคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลย ก็มักจะหันมาอ้าง "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" บ่อยครั้งกว่าเดิม

หลายคนที่สมัยก่อนเคยรักสวยรักงาม สุภาพ มีเหตุมีผล และมองโลกในแง่ดี กลายมาเป็น Social Network Activist ที่การเมืองจ๋า ก้าวร้าว ปากจัด หยาบคาย เลือกฟังหรือใช้เหตุผลด้านเดียวแบบเข้าข้างตัวเอง และสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง หรือไม่ก็มีแนวโน้มที่จะวางเฉยไม่ห้ามปราม หากจะมีการใช้ความรุนแรงกำจัดหรือตัดตอนฝ่ายตรงข้าม

ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราต้องกีดกันไม่ให้พวก Extremist เหล่านี้ขึ้นมามีอำนาจ เพราะจะชักจูง กำกับ หรือบังคับไปในทิศทางที่ทำให้เกิดความผิดปกติและสุดท้ายจะจบลงด้วยคราบเลือดและน้ำตา

ผมสังเกตุว่าคนในกลุ่มนี้หลายคนมีบทบาทสูงในเชิงความคิด บางคนกุมสื่อที่ทรงอิทธิพล บางคนเป็นแกนนำมวลชนคนสำคัญ บางคนเป็นนักการเมือง บางคนดำรงตำแหน่งสำคัญทางด้านตุลาการและตำแหน่งราชการอื่น

ที่น่าตกใจ คือพวก Demagogue เหล่านี้บางคน สามารถอ้างสิทธิของมวลชนไปกระทำการที่ล่อแหลมต่อความรุนแรงได้ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก

จะเรียกว่าคนไทยสมัยนี้ถูกปลุกให้กลายเป็นม็อบง่ายเกินไปก็ได้

คนกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ ไปม็อบเหมือนกับไปงานอีเว้นต์ และคนต่างจังหวัดไปม็อบเหมือนกับไปทัศนาจร

แต่ม็อบก็คือม็อบ

ไม่ว่ายุคใดสมัยใด และเกิดกับคนชาติไหน ม็อบย่อมสะกดจิตคนได้ โดยแก่นแท้หรือความลับและเป้าหมายของมันก็คือการสะกดจิตคนให้ทำตามๆ กันนั่นเอง

ผมเจอผู้ใหญ่ที่น่าเคารพหลายคนในม็อบที่ผมไม่คิดว่าท่านเหล่านั้นจะแต่งตัวหรือปฏิบัติตัวหรือพูดจาหรือใช้เหตุผลแบบนั้นในเวลาปกติหรือในขณะที่ไม่ได้อยู่ในม็อบ

เยอรมนีในยุคไรซ์ที่สามภายใต้ฮิตเลอร์ ฝรั่งเศษหลัง 1789 ที่นำไปสู่การตัดพระเศียรของกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 และราชินีอังตัวเน็ต จีนสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมภายใต้เหมาเจ๋อตง ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ไทยก่อนปี 2540 หรือแม้กระทั่งฟองสบู่ทองคำ ทั้งที่เยาวราชและในตลาดโลกขณะนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือม็อบ ที่คนจำนวนมากพากันเฮโลสารพา แห่ทำอะไรตามๆ กันไปโดยไม่ทันยั้งคิด ไม่ทันใช้สติและเหตุผลอย่างรอบคอบ เป็นแบบพวกมากลากไป

ต่อประเด็นนี้ ผมอยากจะอ้างข้อเขียนของฝรั่งที่ศึกษาเรื่องม็อบจากหนังสือที่ถือกันว่าเป็นคลาสสิกทางด้านนี้ ไว้เผื่อให้ท่านผู้อ่านที่สนใจเป็นพิเศษจะได้ไปศึกษาเพิ่มเติมแบบลงลึกเอาเอง (โดยท่านที่ไม่อยากอ่านภาษาอังกฤษอาจข้ามไปได้โดยไม่เสียความหมายของบทความโดยรวม)

Gustave Le Bon เขียนไว้ในหนังสือ The Crowd: A Study of the Popular Mind ความตอนหนึ่งว่า

"Moreover, by the mere fact that he forms part of an organized crowd, a man descends several rungs in the ladder of civilization. Isolated, he may be a cultivated individual; in a crowd, he is a barbarian---that is, a creature acting by instinct. He possesses the spontaneity, the violence, the ferocity, and also the enthusiasm and heroism of primitive beings, whom he further tends to resemble by the facility with which he allows himself to be impressed by words and images---which would be entirely without action on each of the isolated individual composing the crowd---and to be induced to commit acts contrary to his most obvious interests and his best-known habits. An individual in a crowd is a grain of sand amid other grains of sand, which the wind stirs up at will.” (อ้างจาก Chapter 1.1 หน้า 13 กดลิงก์ http://web.archive.org/web/20080918081526/http://etext.lib.virginia.edu/toc/modeng/public/BonCrow.html)


ผู้คนที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เมื่อติดตามเหตุการณ์รอบด้านและรับรู้ความคิดเห็นของคนที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายในรอบหลายปีมานี้แล้ว ย่อมหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ ว่าอาจเกิดสงครามกลางเมืองเข้าสักวันหนึ่ง หากการเมืองยังเป็นแบบเดิม

ผมเองก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่ยังอุ่นใจว่าในกองทัพประจำการนั้น เรายังไม่เห็นพวกสุดกู่นี้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ และกองทัพของเรายังเป็นเอกภาพ

ข้อนี้ทำให้โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองน้อยลง และถึงแม้มันจะเกิด โอกาสที่จะรุนแรงยืดเยื้อก็มีน้อย

เพราะกองทัพทั้งสามของไทยนั้นครอบครองผูกขาดอาวุธหนักทั้งหมดในสังคมไทยไว้ในมือ แถมยังมีกองกำลังที่ฝึกมาสำหรับใช้อาวุธหนักเหล่านั้นอย่างเชี่ยวชาญ ดังนั้นตราบเท่าที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งคิดจะก่อสงครามกลางเมือง ไม่สามารถแทรกแซงเทคโอเวอร์กองทัพบางส่วน หรือยึดเอาอาวุธหนักบางส่วนไปเป็นของตัวได้ โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองย่อมไม่มี

ยกเว้นเสียแต่ว่าฝ่ายนั้นจะเริ่มสะสมอาวุธและฝึกกองกำลังของตัวเองอย่างลับๆ แต่มันก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงและอาจไม่คุ้มเพราะเป็นการลงทุนระยะยาวและเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงหาคนลงทุนได้ยาก และโอกาสที่จะถูกปราบปรามทำลายเสียแต่ต้นมือย่อมมีสูง

ตราบเท่าที่ฝ่ายม็อบ ไม่ว่าสีใด ยังไม่ได้ครอบครองอาวุธหนัก และกองทัพยังเป็นเอกภาพ โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองยังน้อย เพราะอย่าลืมว่าสงครามกลางเมืองแบบนั้นมันจะจบเร็วมาก เนื่องจากฝ่ายหนึ่งมีอาวุธแต่อีกฝ่ายหนึ่งมือเปล่า แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีอาวุธสูสีกัน ความเสียหายและรุนแรงย่อมมีมาก และการต่อสู้อาจยืดเยื้อ เหมือนกับที่เคยเกิดมาแล้วในรัสเซีย สเปน จีน เวียดนาม เขมร และลาว

ท่านผู้อ่านที่เคยศึกษาประวัติของสงครามกลางเมืองมาบ้าง ย่อมรู้ว่าทั้งสองฝ่ายโหดร้ายพอกัน ไม่ว่าที่ไหนๆ ทั้งฆ่า เผา ก่อการร้าย ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ทรมานศัตรู และฆ่าหมู่

กองทัพแดงและกองทัพขาวในรัสเซียนอกจากจะโหดร้ายกับทหารฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังปล้นชิง ข่มขืนและเข่นฆ่าราษฏร หรืออย่างกองกำลังฝ่ายสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองสเปนก็กวาดล้างคนของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมที่คาทาโลเนีย ไม่ต่างจากกองกำลังของฝ่ายนายพลฟรังโกที่ปฏิบัติต่อศัตรูอย่างเฉียบขาด 

อีกกองทัพประชาชนของเหมาเจ๋อตง สมัยเมื่อยึดครองแมนจูเรียได้นั้น ก็กดขี่ราษฎร ยิ่งมายึดครองจีนได้ทั้งประเทศแล้ว ราษฎรยิ่งทุกข์ทรมาน ถูกจับเข้าค่ายกักกัน บังคับให้ทำงานหนัก ถูกสังหารหมู่ จนล้มตายหลายสิบล้าน ไม่ต่างจากกองทัพฝ่ายเจียงไคเช็คที่โหดเหี้ยมกับผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนหน้านั้น 

นี่ยังไม่พูดถึงกรณีเวียดกงกับกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนามใต้ ซึ่งทิ้งระเบิดเพลิงแบบปูพรหมแถมยังฝนเหลืองและฆ่าหมู่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง หรือกรณีเขมรแดงที่ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลก

ดังนั้น ในเชิงจริยธรรมและศีลธรรมแล้ว ทำให้ผมไม่สามารถเข้าข้างฝ่ายใดได้เลย

และผมก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านที่รู้เรื่องเหล่านี้มาบ้าง จะคิดเหมือนกับผม และจะพยายามทุกวิถีทางเท่าที่กำลังจะมีพอและเป็นไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในเมืองไทย

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
26 ธันวาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนธันวาคม 2556

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

จัดการกับความเห็นต่างเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์



ผมเป็นแฟนคนหนึ่งของ SCANDAL โดยติดตามดูมาตั้งแต่ภาคแรกและภาคสอง ส่วนภาคที่สามที่กำลังออกอากาศอยู่ในขณะนี้ ยังไม่มีโอกาสได้นั่งลงดูอย่างจริงจัง

ละครดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว บทพูดก็เร็ว และใช้แสลงค่อนข้างมาก แต่พล็อตเรื่องน่าสนใจ ฉากเยี่ยม และนักแสดงหลักทุกคนเล่นได้ดี จนคนดูบางทีก็เคลิ้ม จินตนาการไปได้ว่าตัวเองมีส่วนโลดแล่นอยู่ใน Washington D.C. กันกับพวกเขาด้วย

Kerry Washington ในบท Olivia Pope เจ้าของ Consulting Firm ที่มีเพื่อนร่วมงานหนุ่มสาวทันสมัย ปูมหลังการศึกษาดี พูดจาฉลาดฉะฉาน รับงานระดับชาติอันท้าทาย และ Well Informed อย่างยิ่งนั้น ทำให้หนุ่มสาวสมัยนี้เกิดแรงบันดาลใจได้เหมือนกัน

ผมหมายถึงแรงบันดาลใจในเชิงอาชีพ ที่เมื่อดูละครเรื่องนี้แล้ว หลายคนอาจอยากจะไปประกอบอาชีพ Lobbyist แบบตัวละครหลักกันบ้าง เพราะดูเหมือนมันเป็นอาชีพที่ทันสมัย ต้องตื่นตัว ต้องรู้เรื่องราวรอบตัวทั่วโลก แถมยังได้รับรู้ข่าววงในใจกลางความลับของรัฐบาลและเรื่องส่วนตัวของคนระดับผู้นำประเทศ และอยู่ใกล้อำนาจ และยังเป็นนักวางแผนที่ต้องใช้ปัญญา ช่วยสร้างภาพลักษณ์ จัดการข่าวสารให้เกื้อกูลต่อชื่อเสียงของลูกค้า นับเป็นงานท้าทาย และออกจะรับผิดชอบเกินตัว แถมยังไม่จำเจ จบเป็นกรณีๆ ไป

นับว่าเหมาะกับคนรุ่นใหม่ประเภท The Best and The Brightest

เพราะงานชนิดนี้ต้องการความรอบรู้ เป็นลักษณะสหวิทยาการ และต้องมีทีมงานที่มีส่วนผสมลงตัว ทั้งเก่งกฎหมาย การข่าว การประชาสัมพันธ์ การเมือง และการตลาด โดยเอาตัวของลูกค้าเป็น "ผลิตภัณฑ์" ซึ่งในเชิงการตลาดสมัยใหม่เรียกว่า Transformation Marketing นั่นเอง

ผมดูละคอนเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงหนังเก่าๆ ที่ว่าด้วยอาชีพในฝันของคนอเมริกันรุ่นใหม่ ซึ่งอาชีพสำคัญๆ เหล่านี้ล้วนเป็นทัพหน้าของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Margin Call ที่ว่าด้วย Hedge Fund หรือ Wall Street และ Working Girl ที่ว่าด้วย Investment Banker, Dealer, และ Broker หรือ Pirates of Silicon Valley ที่ว่าด้วยผู้ประกอบการไฮเทค และ Something Ventured ที่ว่าด้วย Venture Capitalist



SCANDAL อาจสมมติให้ตัวตนของตัวละครหลักแต่ละตัวเกินจริงไปสักนิด แบบว่า White House Chief of Staff เป็นเกย์โดยเปิดเผย และรองประธานาธิบดีเป็นผู้หญิง โดยที่ตัวประธานาธิบดีซึ่งมาจากพรรค Republican และเป็นพวก WASP มามีกิ๊กเป็นนางเอก ซึ่งเป็นหญิงผิวสีและบังเอิญเป็นเจ้าของกิจการ Consulting Firm ที่มีทีมงานชั้นคุณภาพจากหลากหลายเชื้อชาติผสมกันอยู่อย่างกลมกลืน

มันแสดงให้เห็นความเป็นจริงของสังคมอเมริกันซึ่งผู้คนมาจากร้อยพ่อพันธุ์แม่แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้อย่างสันติและสามัคคีกันเพื่อสร้างสรรค์และจัดการงานให้ทรงประสิทธิภาพ

ละครเรื่องนี้ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของการเมืองระดับสูงใน Washington D.C. และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนวิธีการผลักดันความคิดดีๆ และข้อเสนอเชิงผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มให้กลายเป็นข้อต่อรองในเชิงนโยบาย อีกทั้งวิธีจัดการกับเรื่องส่วนตัวที่ล่อแหลมและอาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงของผู้นำเหล่านั้น

ที่สำคัญ มันทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของบรรดา Lobbyist และกระบวนการทำงานของพวกเขา ที่มีเป้าหมายให้กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มต่างๆ ตกลงต่อรองกันได้สำเร็จภายใต้กรอบของกฎหมายอเมริกัน โดยในความเป็นจริงนั้น พวกเขาอาจใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงสารพัด และวิธีการที่ล่อแหลม หักหลังกันแบบหลายตลบ ซึ่งดูแล้วอาจขัดต่อหลักศีลธรรมจรรยา แต่มันก็ยังเป็นไปภายใต้กรอบใหญ่ของรัฐธรรมนูญอเมริกันอยู่เอง

นับเป็น Management Wisdom ที่สำคัญมากแบบหนึ่งในโลกสมัยใหม่

อย่าลืมว่า สังคมอเมริกันนั้น มีความหลากหลายมาก มีคนอพยพเข้ามาอยู่จากทั่วโลก หลากหลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายชนชั้น หลากหลายความเชื่อ ฐานคติ โลกทัศน์ และผลประโยชน์ยึดถือ

ดังนั้นหัวใจสำคัญของการตกลงต่อรองย่อมคือ "การประนีประนอม" เพื่อให้เกิดข้อสรุปที่ทุกคนรับได้ โดยจะต้องยื่นหมูยื่นแมวกันแบบไหน เป็นเรื่องที่ต้องตกลงต่อรองกันแบบสันติ

เพราะหากประนีประนอมไม่สำเร็จ การจัดการกับ "ความเห็นต่าง" ย่อมต้องหันไปใช้ "ความรุนแรง" ซึ่งคนอเมริกันรุ่นทวด ได้เคยใช้ Massive Violence จัดการกับ "ความเห็นต่าง" มาแล้วเมื่อสมัยสงครามกลางเมืองหรือ Civil War ในราวปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ของเรา

สงครามกลางเมืองเป็นบาดแผลใหญ่ของสังคมอเมริกันมาจนทุกวันนี้ และทำให้คนอเมริกันและคณะผู้นำของเขาหลังจากนั้นหลีกเลี่ยงความรุนแรง ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม

ดังเราจะเห็นว่า รัฐสภาอเมริกันนั้นสามารถตกลงเรื่องสำคัญๆ ได้ทุกครั้งด้วยการต่อรองทั้งทางลับและทางเปิดเผย แม้จะเป็นเรื่องสำคัญและก้ำกึ่งอย่าง Shut Down Crisis ที่ตอนแรกทำท่าว่าจะตกลงกันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ทุกคราไป



กระบวนการประนีประนอมซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ นั้น สำคัญมากในสังคมอเมริกัน เพราะนอกจากจะระบุไว้เป็นกฎหมายแล้ว ยังมีกระบวนการในที่ลับซึ่งสำคัญมากพอกัน

อเมริกาเกือบจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี Lobbyist อย่างถูกกฎหมายจำนวนมากมายทำงานอยู่ในทุกวงการ พวกเขามีเป้าหมายให้คนที่มากกว่าสองกลุ่มขึ้นไปซึ่งมีความเห็นไม่ลงรอยกัน สามารถตกลงกันได้ด้วยวิธีเจรจา ประนีประนอม ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน หรือยื่นหมูยื่นแมวกัน....ให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้โดยราบรื่นภายใต้กรอบของกฎหมาย

รัฐธรรมนูญอเมริกันก็เขียนไว้เพื่อให้คนแต่ละกลุ่มอันมีที่มาหลากหลายได้ยึดถืออ้างอิง และหวังให้เกิดกระบวนการประนีประนอมเมื่อเกิดความคิดต่าง

อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันที่ใช้มาแล้วกว่าสองร้อยปี เป็นกรอบโครงสำคัญที่วางพื้นฐานให้ประเทศสหรัฐฯ สามารถพัฒนาขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยจนยิ่งใหญ่ทั้งในทางทรัพย์สฤงคารและอำนาจอิทธิพล และยังคงสำคัญยิ่งต่อชีวิตและวิญญาณของชาวอเมริกันอยู่ในปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานมากแล้ว

ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับกรุงรัตนโกสินทร์ ย่อมผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาไม่น้อยกว่าเรา แต่ด้วยกรอบรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงปรับตัวและรับความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้กระบวนการประนีประนอมเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันโดยสันติอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอันมีส่วนเกื้อกูลให้ประเทศของเขาได้รับความสำเร็จ

สำหรับผมแล้ว นั่นเป็น Management Wisdom อันหนึ่งที่แฝงอยู่ในระบบการการเมืองและการบริหารของพวกเขา

แน่นอน คนแต่ละชาติย่อมมีวิธีการจัดการกับความเห็นต่างและความขัดแย้งต่างกัน...แต่ละแบบ แต่ละสไตล์ เป็นแบบฉบับของตนเอง เพื่อหาข้อสรุปอย่างสันติ

อย่างญี่ปุ่นก็ใช้วิธีการของพวกเขาเอง ที่ฝรั่งเรียกว่า Absolute Consensus หรือ "มติสัมบูรณ์" คือต้องให้ทุกคนที่มีส่วนในกระบวนการตัดสินใจต่อเรื่องที่จะลงมติกันนั้นเห็นด้วยกันทั้งหมดทุกคน จึงค่อยถือว่ามตินั้นเป็นมติที่จะต้องนำไปปฏิบัติจริง ถ้ายังไม่เห็นด้วยกันทุกคนแล้ว ก็ยังไม่ยอมลงมติ

ในสมัยที่ฝรั่งส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยจะรู้ความลับเชิงการจัดการของญี่ปุ่น และถูกญี่ปุ่นแย่งความเป็นจ้าวทางเศรษฐกิจการค้าระดับโลกอยู่ในราวทศวรรษ 1970s-1980s นั้น Peter Drucker กูรูการจัดการได้เขียนบทความเรื่อง Japanese Management เปิดเผยเคล็ดลับที่ทำให้กิจการของญี่ปุ่นผงาดขึ้นมาในระดับโลกได้ โดยเขาได้ยกเอากรณี "มติสัมบูรณ์" เป็นองค์ประกอบหนึ่งด้วย



Drucker เล่าว่ากิจการของญี่ปุ่นนั้น เมื่อจะร่วมมือกับใคร พวกเขาย่อมต้องส่งคนมาดูงานก่อน และพอดูงานเสร็จ แทนที่จะตกลงทำสัญญาซื้อขายหรือร่วมธุรกิจกัน พวกเขากลับทอดเวลาออกไป สักพักก็จะส่งคณะที่สองมาดูงานซ้ำอีก และก็เงียบไป จนมีคณะที่สาม สี่ ห้า มาดูงานซ้ำเดิมอยู่อย่างนั้น จนคู่ค้าฝรั่งพากันงงและไม่เข้าใจ เพราะบางทีกระบวนการดูงานนี้ กินเวลาเป็นปีหรืออาจมากกว่านั้น

Drucker บอกว่านั่นเป็นวิธีการตกลงต่อรองกันเองของญี่ปุ่นก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจ การที่พวกเขาส่งคณะที่สองสามสี่มาดูงานซ้ำเดิม ก็เพราะว่าในองค์คณะผู้บริหารที่จะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของพวกเขายังตกลงกันไม่ได้ ยังมีผู้ไม่เห็นด้วยอยู่ ผู้บริหารระดับสูงจึงต้องส่งคนที่ไม่เห็นด้วยมาดูงานให้เห็นกับตา ฯลฯ

แต่เมื่อพวกเขาตกลงกันได้แบบสัมบูรณ์ คือเห็นด้วยกันทุกคนแล้ว ทุกอย่างก็จะรวดเร็วปรู๊ดปร๊าด เพราะทุกคนในองค์กรนั้นเห็นด้วยร่วมกันแล้วว่าการร่วมมือครั้งนี้จะเกิดประโยชน์กับพวกเขา จนไม่มีใครขัดขวาง และโครงการก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสนับสนุนของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และปัญหาอุปสรรคต่างๆ ก็จะไม่มี โครงการระยะยาวก็จะราบรื่น

ดีกว่าเซ็นต์สัญญากันไปแล้ว ต้องมาล้มเลิกในระยะต่อมาเพราะเกิดความขัดแย้งที่มองข้ามไปแต่แรก หรือเกิดความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่บางส่วนไม่เห็นด้วยหรือไม่เต็มใจ

นั่นก็เป็นความลับในเชิงการบริหารจัดการของญี่ปุ่น ที่พวกเขาใช้ในกระบวนการตัดสินใจและตกลงต่อรองและแก้ปัญหาความคิดต่างขององค์กรอย่างสันติ ตั้งแต่ระดับครอบครัว หมู่บ้าน ธุรกิจ ไปจนถึงการเมืองระดับประเทศ

นับเป็น Management Wisdom อันหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ

สังคมไทยเราก็เป็นสังคมประนีประนอม แต่เป็นการประนีประนอมเฉพาะในระดับบน ถ้าเป็นการเมืองก็ตกลงกันเองเพียงไม่กี่คนหรือไม่กี่กลุ่ม

สมัยก่อน สังคมไทยปกครองโดยคนไม่กี่ตระกูล ก็ตกลงกันในระดับหัวหน้าของตระกูลเหล่านั้น เช่น ราชวงศ์จักรี ตระกูลบุนนาค และตระกูลขุนนางสำคัญๆ อีกไม่กี่ตระกูล เป็นต้น

ต่อมา หลัง 24 มิถุนาฯ 2475 มีกลุ่มข้าราชการประจำเข้ามาขอแชร์อำนาจ ก็ต่อรองกันเองในหมู่พวกเขา
และต่อมาอีก หลัง 14 ตุลาฯ 2516 มีกลุ่มนักธุรกิจและพ่อค้าต่างจังหวัดเข้ามาขอแชร์อำนาจเพิ่มเติมเข้าไปอีก ระบบต่อรองก็ซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่าถึงยุคที่จะมีประชาชนคนทั่วไป ซึ่งเคยอยู่นอกสมการอำนาจ เข้ามาขอแชร์อำนาจเพิ่มขึ้นอีกพวกหนึ่ง

สังคมไทย จึงต้องแสวงหากระบวนการประนีประนอมในระดับ Mass Compromise เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เป็นไปด้วยความราบรื่น และวางรากฐานเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์สืบไปในอนาคต

วีธีการนี้ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่เราอาจเรียนรู้เอาจากสังคมอื่นที่เขาทำสำเร็จมาก่อนแล้ว ได้เช่นกัน

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 ธันวาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนธันวาคม 2556