วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์: ขวัญเอ๋ยขวัญมา




สมัยที่ยังมีสถานะเป็น “มือขวา” ของ ทักษิณ ชินวัตร อยู่นั้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (ซึ่งผมเรียกว่า “อาจารย์”) เป็นดาวเด่นในสายตาสื่อมวลชน ถนนทุกสายย่อมมุ่งหาอาจารย์ ทั้งนักธุรกิจใหญ่น้อย ข้าราชการ นักการเมือง คอลัมนิสต์ ผู้มีอิทธิพล ปัญญาชน เอ็นจีโอ ฝ่ายก้าวหน้า และนักการฑูตต่างประเทศ หรือแม้แต่บรรดาศัตรูของทักษิณ ล้วนเชื่อว่าอาจารย์จะเป็น “ทายาททางการเมือง” ของทักษิณในอนาคต


หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษต่างเรียกอาจารย์ว่า Protege


ก่อนหน้านั้น อาจารย์ก็เป็นกุนซือของทักษิณอยู่แล้ว แม้จะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่บรรดา “วงใน” ต่างรู้กันดีว่าอาจารย์คือ “ของจริง” ประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า The Panjandrum นั่นแหละ

อาจารย์เป็นกุนซือที่เยี่ยม แต่เมื่อมาเป็นนักการเมือง นิสัยบางอย่างของอาจารย์เองกลับกลายมาเป็นจุดอ่อน ทั้งๆ ที่ปูมหลังและภาพลักษณ์ของอาจารย์เป็นพวกน้ำดี ทะลุปรุโปร่งถึงความซับซ้อนของเศรษฐกิจโลกและไทย น่าจะฝึกเป็นผู้นำที่ดีและให้ความหวังกับสังคมไทยได้ในอนาคต


โดยส่วนตัว อาจารย์เป็นคนประเภทเฉลียวฉลาดมาก มัธยัสถ์ ลึกซึ้ง ระวังตัว รู้จักสร้างและรักษา Connection เก็บงำความรู้สึก ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่เห็นใจ ไม่เศร้าใจ ไม่ลิงโลด ชอบหยั่งใจคน คำณวนผลได้เสีย เก็งประโยชน์ เก็งผลลัพธ์ แล้วค่อยต่อรอง แต่ก็ปฏิภาณดี และปัญญาสูง พูดเก่ง เขียนกระชับ Sharp ชอบเล่าเรื่องจีนๆ ด้วยสำเนียงออกจีนแต่ก็มีแง่คิด กินใจ Smart บุคลิกดี แต่งตัวดี มีเสน่ห์ คล้ายดารา ใครได้โอภาปราศรัยด้วย แม้เพียงน้อยนิด เป็นต้องนิยมชมชอบ


ทว่า เมื่อมาเป็นนักการเมืองที่อยู่ท่ามกลางลำแสงแห่ง Limelight ตลอดเวลา โดยมีสถานะจ่อเป็นผู้นำ และต้องบริหาร Career Path ให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นใหญ่ให้ได้ กลับส่งผลต่อ Judgement และความกล้าของอาจารย์เอง ทำให้บางทีตัดสินใจเรื่องคนผิดพลาด หรือเรื่องสำคัญผิดพลาด หรือไม่ก็ช้าไป เร็วไป ไม่โป๊ะเชะ หรือพูดสร้างความหวังแล้ว Deliver ไม่ได้ และถึงแม้ว่ามันจะไม่ถึงขั้นเสียโอกาส หรือ Squander chance แต่หลายครั้งก็ได้สร้างความหนักใจให้พวกเดียวกันหรือคนที่เอาใจช่วยและ Trust ในตัวอาจารย์


การตัดสินใจออกมาปฏิเสธทักษิณและเล่า Sob Story กลางอากาศในยุครัฐบาลขิงแก่อย่างครึกโครมครั้งนั้น เป็นจุดหักมุมกลับอย่างแรง เพราะทำให้อาจารย์จำต้องถูกโดดเดี่ยวจากฝ่ายที่เคยสนับสนุนเขา และกลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจในสายตาผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพทุกฝ่าย อีกทั้งผู้คนในสังคมที่มองอาจารย์อย่างมีความหวัง ก็เกิด Disillusion และเห็นอาจารย์ไม่ต่างจากนายเนวิน นายสมศักดิ์ นายสุวัฒน์ นายพินิจ นายเสนาะ ฯลฯ หรือแม้คนที่จะเห็นว่าอาจารย์ดีกว่าบรรดานายๆ เหล่านั้นบ้าง ก็มีดีเพียงการศึกษาและบุคลิกภาพภายนอกเท่านั้นเอง

นับแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ของอาจารย์กับผู้ใหญ่ที่จะมีโอกาสสนับสนุนเขาให้ขึ้นเป็นใหญ่ได้ในอนาคต ก็กลายเป็นความสัมพันธ์แบบ Complicated Relationship


กับทักษิณ ชินวัตรนั้น ผมว่าคนส่วนใหญ่ (จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) มองความสัมพันธ์ของสมคิดกับทักษิณ ในลักษณะใกล้เคียงกับ โจวเอินไหลและเหมาเจ๋อตง

จนป่านนี้ เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าโจวเอินไหลนั้นมีส่วนกับ “ด้านมืด” ของ “ระบอบเหมา” ด้วยหรือไม่ พูดให้ชัดก็คือมีส่วนรู้เห็นหรือร่วมกระทำการที่ก่อให้เกิดความทุกข์ยากทั้งหลายทั้งปวงที่ราษฎรจีนต้องประสบพบพานและเผชิญความขมขื่นอันแสนสาหัสและถูกทำให้ล้าหลัง  ในช่วงที่เหมาเจ๋อตงครองอำนาจอยู่นั้น หรือไม่อย่างไร


การกวาดล้างศัตรู การทรมาน การจับคนไปดัดสันดานในค่ายกักกันและค่ายแรงงาน การล้างสมอง การสังหารหมู่ และคอรัปชั่นอันหลากหลาย ความอดอยาก ฯลฯ...ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เขามีส่วนรู้เห็นมากน้อยเพียงใด ในฐานะผู้นำอย่างเป็นทางการหมายเลขสอง และเป็น “ตัวเปิด” หรือตัวแทนด้านสว่างของสาธารณรัฐประชาชนจีนและ Mao Regime


ทุกคนล้วนแปลกใจที่เหมาเจ๋อตงไม่ได้สังหารเขา เหมือนกับบรรดาลูกน้องที่เคยใกล้ชิดและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจนได้เป็นใหญ่แต่ขัดใจเขา และมีเรื่องให้เขาระแวง (แม้แต่เรื่องเล็กๆ) หรือเขามองว่าแอบมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างลับๆ

ผมคิดว่าโอกาสที่คนนอกอย่างพวกเราจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นคงน้อยเต็มที แต่กระนั้น มันก็เป็น Watershed สำคัญของประวัติศาสตร์จีนร่วมสมัย


เช่นเดียวกัน สำหรับอาจารย์สมคิด ฉากชีิวิตช่วงนั้น ก็ย่อมกลายเป็น Watershed สำคัญในอาชีพการเมืองของเขาเอง และจะส่งผลต่อวิถีการดำเนินงานทางการเมืองในอนาคต เมื่ออาจารย์ต้องกลับเข้าวงการเมืองอีกครั้งหนึ่ง


ผมเชื่อว่าอาจารย์จะต้องคิดหนัก พยายามหนัก และทำหนักยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายกลับมายอมรับและไว้วางใจ

ด้วยตรรกะแบบนี้เอง ประกอบกับคุณสมบัติและประสบการณ์แบบอาจารย์สมคิดนั้น ถ้าไม่คิดเลิกเล่นการเมืองไปเสียก่อน ผมก็มั่นใจว่าเขาจะได้กลับเข้ามาบริหารประเทศอีก เพราะสถานการณ์ทางการเมืองกำลังแปรเปลี่ยนไปในเชิงที่เป็นคุณ และคนไทยก็พร้อมจะจดจำแต่ในด้านที่ดีและคิดบวก อีกทั้งอายุอาจารย์ก็ยังน้อยและคนรุ่นก่อนหน้าก็กำลังจะผลัดใบ และ ประสบการณ์การเมืองในรอบสี่ห้าปีหลังมานี้ ย่อมสร้างบทเรียน ความช่ำชอง และชั้นเชิงให้กับอาจารย์มาก


ที่สำคัญ อาจารย์ไม่ใช่นักการเมืองประเภทที่มีอำนาจแล้ว เป็นต้องใส่เสื้อพระราชทานหรือถลกแขนเสื้อลงลุยไปในท้องไร่ท้องนาหรือสลัมในเมืองใหญ่ท่ามกลางกล้องทีวีและแสงไฟจากแฟล็ช หรือเดินตรวจแถวข้าราชการหรือเยาวชนอย่างแข็งขันขณะที่แวดล้อมไปด้วยตำรวจทหารอารักขาและบรรดา Gangster-statemen คล้ายๆ กับฮิตเลอร์ มุสโสลินีหรือ Strong Priminister ของไทยในอดีต


นั่นย่อมหลีกเลี่ยงความหวาดระแวงและหมั่นไส้บรรดามีทั้งปวง และไม่เป็นพิษภัยและคุกคามต่อชนชั้น Elite ของสังคมไทย

ดังนั้น ถ้าอาจารย์ได้กลับมารอบนี้ ก็อาจจะได้เป็นใหญ่หรือร่วมเป็นใหญ่


เท่าที่ผมสัมผัสมา อาจารย์สมคิดเป็นคนตั้งใจดี โดยเฉพาะในมิติเชิงเศรษฐกิจ เขาอยากเห็นคนเล็กคนน้อยลืมตาอ้าปาก อยากให้ผู้ประกอบการไทยไปยิ่งใหญ่ในตลาดโลก อยากเห็นคนกินดีอยู่ดี และมีการศึกษากันทั่วหน้า  และโดยส่วนตัวแล้วก็ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลและอุ้มชูคน

แต่นักการเมืองทั่วโลก ที่ต้องใช้เวลารอคอยนาน และเวียนว่ายอยู่กับแผนการเชิงกลยุทธ์และกิจกรรมการแสวงหาและช่วงชิงอำนาจนั้น มักจะสูญเสียความตั้งใจดีและลืมอุดมการณ์ไปอย่างน่าเสียดายเมื่อได้เป็นใหญ่
 
ผมคิดว่าอาจารย์จะสามารถเรียก “Soul” ให้กลับคืนมา และจะไม่ถูก “Corrupt” โดยอำนาจ เหมือนบรรดาผู้นำหลายคนที่เราเห็นกับตามาในรอบหลายปีนี้



ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
28 พฤศจิกายน 2553
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น