วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมใจคนกรุงเทพ





น้ำท่วมคราวนี้ นอกจากจะทำลายเศรษฐกิจอย่างมโหฬารแล้ว ยังทำลายจิตใจคนในดีกรีไม่แพ้กัน

ผมสังเกตุว่า นำ้ท่วมครั้งนี้ มันทำให้เกิดภาวะ “Psychological Crisis” หรือ “วิกฤติการณ์เชิงจิตวิทยา” กับคนกรุงเทพฯ มากกว่าครั้งไหนๆ

หากพูดภาษาชาวบ้าน ก็ต้องว่า “ป.ส.ด.” หรือ “ประสาดแดก” กันยิ่งกว่าครั้งใด

กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่เคยมั่นใจในตัวเองว่าเก่าแก่ ว่าศักดิ์สิทธิ (รัตนโกสินทร์ แปลว่า “ที่รักษาพระแก้วมรกต”) ว่างาม ว่าเจริญ ว่าสูงส่งด้วยวัฒนธรรมซึ่งมีกษัตริย์และราชวงศ์อันน่าเชื่อถือเลื่อมใสและบำเพ็ญคุณงามความดีกว่าใครเพื่อน ว่าอิสระเสรี ว่าอยู่แล้วสบายใจ แขกไปใครมาก็ Feel Good (ชื่อ “กรุงเทพฯ” ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “เมืองแมน” หรือ “เมืองฟ้าเมืองสวรรค์”) แถมยังเจริญ มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ และเป็น Hub ของภูมิภาค แล้วยังเป็นศูนย์กลางของศาสนาอันมีคำสอนซึ่งสมเหตุสมผลเป็นวิทยาศาสตร์ ฯลฯ...ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นเมืองที่กำลังจะจมไปใต้บาดาลต่อหน้าต่อตา และผู้คนกับภูมิปัญญาและสินทรัพย์ทั้งมวลซึ่งอุตส่าห์สะสมมาอย่างยาวนานนั้น จะถูกมวลน้ำอันมหึมากวาดราบเป็นหน้ากลองไปในคราวเดียว ราวกับจะไม่มี “วันพรุ่งนี้” อีกแล้ว

มวลน้ำก้อนนี้ ทำเอาผู้นำของเราพากันหน่อนแน้มกันไปหมด บางคนออกขี้แย บางคนออกโลเล คนสำคัญสิ้นจินตนาการ ไร้อารมณ์ขัน หลายคนชี้นิ้วโทษกัน และแทบทั้งหมดขาดความน่าเชื่อถือในฉับพลัน พูดแล้วคนต้องหาร ต้องถอดสแควร์รูท กระทั่งผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญก็ดูเหมือนจะบื้อขึ้นมาเฉยๆ งั้นแหละ

สื่อมวลชนกลายเป็นพวก Self-illusions และไร้วิจารณญานเสียเอง เอาแต่พูดถึง Worst-case scenario โดยตีความราวกับว่า WCS ของโมเดลน้ำ เป็น Armageddon ไปซะแล้ว และผู้มีอำนาจรับผิดชอบก็ขานรับถึงกับวาดภาพลบจินตนาการเหลวแหลกแบบสุดๆ ถึงโรคระบาดรุนแรง ขาดน้ำ ขาดอาหาร ฺBlackout และ Communication Shutdown

เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน

ข้าวยังมีอยู่ในยุ้งฉางไม่ใช่เหรอ ปลายังมีอยู่ในน้ำไม่ใช่เหรอ หมูเห็ดเป็ดไก่ยังออกลูกออกหลานกันดีอยู่ ใช่มั้ยพี่น้อง

ตราบใดที่ข้าวยังมีอยู่ในยุ้งฉาง ตราบใดที่น้ำยังเต็มอยู่เหนือเขื่อนและยังเจาะขึ้นมาจากพื้นดินได้ ตราบใดที่เรือบรรทุกน้ำมันและเรือสินค้ายังเทียบท่า เรือบินยังบิน พรมแดนยังเปิด การค้าระหว่างประเทศยังดำเนินไป หลายจังหวัดยังไม่ถูกน้ำท่วม โรงงานอีกเป็นหมึ่นโรงยังไม่เสียหาย พื้นผิวถนนส่วนใหญ่ยังไม่ถูกธรณีสูบ รถยนต์ยังมี เรือยังวิ่ง โทรศัพท์ยังดัง เงินคงคลังยังเหลือ พ่อค้ายังไม่ตาย ผู้ขายยังคงอยู่ ผู้ผลิตยังกระหายเงิน ชาวสวนยังขุดดินได้ การค้ายังดำเนินต่อ ตลาดยังย้ายขึ้นที่สูงได้ ฯลฯ....ตราบนั้นยังไม่มีอะไรจะต้องกลัวเกรง

ผมขอเรียกร้องให้ผู้นำเลิกหดหู่ เลิกบอกให้คน “หนี” ได้แล้ว

หน้าที่ของบรรดาผู้นำองค์กรในตอนนี้ (ผมหมายถึงทุกองค์กร ตั้งแต่ผู้นำครอบครัว ผู้นำบริษัทห้างร้านหรือหน่วยราชการเล็กๆ ใหญ่ๆ ไปจนถึงผู้นำประเทศ) ต้องแจกจอบ แจกเสียม แจกพลั่ว แจกไขควง และ Mechanic Tool Kit

ที่ไหนล่มเราซ่อม ที่ไหนพร่องเราสูบออก ที่ไหนกระฉอกเราเสริมคัน ที่เสียไปแล้วช่างมัน แต่ที่ยังดีอยู่ป้องกันไม่ให้เสีย ที่ไหนผุเราปะ เราชุน เรากระทุ้งให้แน่น เรายกขึ้นที่สูง เราซ่อมให้กลับมาผลิตได้ เราย้ายที่ผลิต เราช่วยเหลือและควบคุมพ่อค้า เรารักษาแหล่งน้ำและอาหาร เราสร้างตลาดใหม่ เรา Build และ Rebuild เราเทปูน ขันน็อต ซับเหงื่อ และให้กำลังใจกันเอง...เอ้า ฮุยเล่ฮุย...ฮันเลลูจา

อีกไม่นาน “ความนับถือตัวเอง” ก็จะกลับคืนมา

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
26 ตุลาคม 2554
เขียนในขณะที่หัวใจของคนกรุงเทพฯ กำลังแตกสลาย



***คลิกอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับน้ำท่วมกรุงได้ตามลิงก์ข้างล่าง



วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภาพเก่า "รัฐประหาร 2494"



ผมเพิ่งได้เห็น "ภาพข่าวสยามนิกร" ฉะบับที่ ๗๗ ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๔๙๔ ลงบทความและรูปถ่ายของคณะรัฐประหาร ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ เลยถ่ายสำเนามาลงให้ดูกัน เพราะเป็นภาพเก่าหาดูยาก โดยได้คงตัวสะกดของเนื้อหาบทความและคำบรรยายใต้ภาพไว้ตามต้นฉบับทุกประการ ดังนี้....


"รัฐประหารครั้งหลังสุด" (ไม่ปรากฎชื่อผู้รายงาน ทว่าปรากฎชื่อช่างภาพว่า..."ยุคล" ถ่ายภาพ)


รัฐประหารครั้งหลังสุดของประเทศไทย ซึ่งกระทำเพื่อการนำรัฐธรรมนูญฉะบับแรก (พ.ศ.๒๔๗๕) มาใช้ และเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานของรัฐบาลให้ได้ผลดีแก่ประชาชนยิ่งขึ้น ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน นี้ เวลา ๒๐.๐๕ น. โดยคณะรัฐประหารได้นำคำแถลงการณ์มาอ่านทางวิทยุกระจายเสียง ประกาศล้มเลิกคณะรัฐบาลและรัฐสภาเดิม ตั้งผู้บริหารประเทศชั่วคราวรวม ๙ นาย ซึ่งประกอบด้วย พลเอกผิน ชุณหวัน เปนหัวหน้า พลโทเดช เดชปฏิยุทธ พลโทสฤษฎิ์ ธนรัชฎ์ พลเรือตรี หลวงยุทธศาสตร์ โกศล พลเรือตรี หลวงชำนาญ อรรถยุทธ พลเรือตรีสุนทร สุนทรนาวิน พลอากาศเอกฟื้น รณนภากาศ พลอากาศโท หลวงเชิดวุฒากาศ และพลอากาศโท หลวงปรุงปรีชากาศ เหตุการณ์ได้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย โดยคณะบริหารประเทศชั่วคราว แต่งตั้งให้พลตำรวจโทเผ่า ศรียานนท์ เปนผู้รักษาความสงบภายในราชอาณาจักร์

(บรรยายใต้ภาพ: จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำรัฐประหารให้จัดคณะรัฐบาลชั่วคราว)



หลังจากนั้น ได้มีการแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีคนเดิม เปนหัวหน้าชุดจัดรัฐบาลใหม่เปนการชั่วคราว และได้แต่งตั้งสมาชิกประเภท ๒ ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ บัดนี้การจัดตั้งรัฐบาลถาวรก็ได้เสร็จสิ้นลงโดยเรียบร้อยแล้ว.


(บรรยายใต้ภาพ: จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับผู้นำรัฐประหารกำลังประชุมกัน หลังจากการทำรัฐประหารสำเร็จลงโดยเรียบร้อย)


(บรรยายใต้ภาพ: การประชุมผู้ร่วมการระหว่างการทำรัฐประหาร)



หมายเหตุ: "ภาพข่าวสยามนิกร" เปนนิตยสารรายปักษ์ของบริษัทไทยพณิชยการ จำกัด เจ้าของ "สยามนิกร" "พิมพ์ไทย" และ "สยามสมัย" กำหนดออกทุกวันที่ ๑๕ และ ๓๐ ของเดือน


บรรณาธิการ ไชยยงค์ ชวลิต
ที่ปฤกษา อุดม เย็นฤดี
บรรณาธิการภาพ พหล หงสกุล


คัดลอกมาลงเว็บเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาจากน้ำท่วมใหญ่สมัยสร้างกรุงฯ





ผมเพิ่งอ่านพบข้อความใน “ประถมวงษ์แลพระราชพงษาวดารย่อ” ที่คนโบราณบันทึกเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ไว้ดังนี้

“ศักราช ๑๑๔๗ ปีมเสงสัปตศกเดือนสิบสอง นำ้มากฤกถึงแปดศอกคืบสิบนิ้ว เข้ากล้าในท้องนาเสียเปนอันมาก บังเกิดทุพภิกขไภย เข้าแพงถึงเกวียนละชั่ง ประชาราษฎรทั้งหลายได้ความขัดสนด้วยอาหารกันดานนัก จึงมีพระบรมราชโองการให้กรมนาจำหน่ายเข้าเปลือกในฉางหลวง ออกแจกจ่ายราษฎรทั้งปวงเปนอันมาก...” (ศักราช 1147 คือ พ.ศ. 2328 สร้างกรุงเสร็จใหม่ๆ)




และเหตุการณ์ระหว่างรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จากเรื่องเดียวกัน....ว่า


“จุลศักราช ๑๑๙๓ ปีเถาะตรีศก น้ำมากท่วมพระนคร เรือ ๑๑ ศอก เรือ ๓ วา เดินได้ในกำแพงพระนคร เข้าเปลือกเกวียนละ ๘” (ศักราช 1193 คือ พ.ศ. 2374)


(อ้างจาก "ประถมวงษ์แลพระราชพงษาวดารย่อ" (ฉบับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุธาทิพยรัตน์ฯ กรมหลวงรัตนโกสินทร) พลตรีหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี พิมพ์แจกเป็นมิตรบรรณาการในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓)




ถ้ายึดเอาตามข้อความที่คนโบราณบันทึกไว้นั้น (สมัยก่อนยังไม่มี กทม. และยังไม่มีเครื่องสูบน้ำประจำการไว้รอบกรุงเหมือนบัดนี้) ก็จะเห็นได้ไม่ยากว่าน้ำรอบนี้คงจะยังไม่แห้งไปโดยเร็ว อย่างน้อยต้องพ้นเดือนพฤศจิกายนไปก่อน และเมื่อได้ลองค้นดูอีกว่าสมัยน้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. 2485 นั้น น้ำก็เริ่มท่วมเมื่อประมาณวันที่ 22 ตุลาคม 2485 และเจิ่งนองไปจนเกือบ 2 เดือน กว่าจะแห้ง ซึ่งก็น่าจะปาเข้าไปกลางเดือนหรือปลายเดือนธันวาคมโน่นแหนะ (ลองดูสถิติปี 2536, 2538 ประกอบด้วยก็จะได้ความใกล้เคียงกันครับ)


ที่แน่ๆ ข้าวย่อมจะขาดแคลน ซึ่งรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด (รัฐบาลของ ร.๑ และ ร.๓ ก็ทำเหมือนกัน) เพื่อไม่ให้ "ขาดแคลน" พร้อมกับควบคุม "ราคา" ไม่ให้เดือดร้อนกันจนเกินไป 


ในแง่เราท่านคนกินคนบริโภคนั้น ข้าวนับเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตหลักของคนไทย ทีนี้ถ้าเราหาคาร์โบไฮเดรตจากข้าวไม่ได้ หรือได้ไม่เพียงพอ ผมแนะนำให้ลองหาจากอาหารชนิดอื่นเสริมไว้ก็จะดีครับ (อันนี้ศึกษาจากคนกรุงเทพฯ สมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้ ว่าพวกเขาหาคาร์โบไฮเดรตเสริมจากอาหารชนิดใด...ส่วนโปรตีนนั้นผมไม่ห่วง เพราะถ้าไก่ หมู เนื้อ ขาดตลาด เราก็คงหาโปรตีนจากปลาได้ไม่ยาก เพราะน้ำท่วมปลาจะแยะ ขนาดเมื่อคืนที่ผ่านมา เปิดทีวีดู ก็เห็นผู้คนตกปลาตัวใหญ่ๆ ได้ในคลองประปา เป็นต้น)


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
21 ตุลาคม 2554


โปรดคลิกอ่านข้อเสนอแนะของผมต่อรัฐบาล ว่าด้วยการจัดการน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ได้ตามลิงก์ข้างล่าง


***บันได 3 ขั้นกู้วิกฤติ: ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ซ่อมสร้าง






****วิกฤติทางใจของคนกรุงเทพฯ







วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันได 3 ขั้นกู้วิกฤติ: ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ซ่อมสร้าง




การจัดการกับภาวะวิกฤตอันเนื่องมาแต่ภัยธรรมชาติหรือการก่อการร้ายหรืออุบัติเหตุขั้นร้ายแรงที่ส่งผลกระทบในวงกว้างย่อมเป็นภาระกิจสำคัญอันหนึ่งของรัฐบาล โดย Performance ของมันย่อมสะท้อนให้ประชาชนเห็นถึง "กึ๋น" ของรัฐบาลนั้นๆ ด้วย เพราะผลลัพธ์ของทุกนโยบายทุกปฏิบัติการย่อมเผยตัวแสดงตนให้เห็นอย่างทันตา วัดได้ สัมผัสได้ ผ่านดีกรีความรุนแรงที่คลี่คลายผ่ายผ่อนลดน้อยถอยลงหรือเขม็งเกลียวถั่งโถมโหมหลากขึ้นหลังปฏิบัติการนั้นๆ และยังรู้เห็นรับสัมผัสผ่านสื่อได้ตลอดวันตลอดคืน


ถ้าจะพูดให้ง่ายที่สุด กลยุทธ์เชิงจัดการกับอุทกภัยครั้งนี้ ควรแบ่งงานออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ


1. ขั้นช่วยเหลือ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองด้านคือ "ต้านน้ำ" และ "ช่วยคน"


การจัดการกับมวลน้ำและทางเดินของน้ำลงสู่ทะเลนั้นรัฐบาลทำได้ดีอยู่แล้วในขณะนี้ (และกำลังแสดงความ "เป็นมวย" ขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตั้งหลักและกระชับอำนาจสั่งการได้) ทว่า กระบวนการช่วยเหลือประชาชน โดยมุ่งรักษาชีวิต ทรัพย์สิน และจัดหาที่อยู่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และจัดระบบขับถ่ายของเสีย ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เท่าที่ผ่านมาผมถือว่ารัฐบาลจัดการได้ในระดับพอใช้เท่านั้นถ้านับเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนพื้นที่นอกกรุงเทพฯ ยังถือว่าสอบตก (ผมต้องขอออกตัวตรงนี้เลยว่าผมและครอบครัวเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายจัดการน้ำครั้งนี้ เพราะบ้านผมอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน แถวๆ ซอยทองหล่อ)


หากเราลองจินตนาการไปข้างหน้าอีกสักนิด เมื่อผู้ประสบภัยมีที่อยู่ชั่วคราวและได้รับอาหารไม่อดอยากอย่างทั่วถึงแล้ว ปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญต่อไปคือปัญหาสุขภาพ อันเนื่องมาแต่เชื้อโรคที่มากับน้ำและที่เกิดจากความเบียดเสียดยัดเยียดหรือดำเนินชีวิตผิดแผกไปจากครรลองเดิม และจากความเบื่อหน่ายหรืออึดอัดกลัดกลุ้ม เป็นต้น


ดังนั้นหมอ พยาบาล บริการสาธารณสุข ย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดเตรียมให้เพียงพอ ผมเห็นตัวอย่างในต่างประเทศ เขาจะใช้โรงพยาบาลสนาม (อย่างเช่น EADS' TransHospital เป็นต้น) ซึ่งค่อนข้างครบครันและสะดวกเหมือนโรงพยาบาลทุกประการ โดยระยะนี้ หากจำนวนแพทย์และพยาบาลของเราไม่เพียงพอ หรืออุปกรณ์ไม่พร้อม เราก็สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์กรนานาชาติ เช่น กาชาดสากล และหน่วยงานบางหน่วยของสหประชาชาติ รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน NGOs ที่เชี่ยวชาญพื้นที่ ให้เข้าช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง


รัฐบาลจะต้องคิดการณ์และวางแผนขั้นตอนต่อไปอย่างรัดกุมตั้งแต่บัดนี้


2. ขั้นฟื้นฟูเยียวยา


พร้อมกับมาตรการช่วยเหลือที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลจะต้องเริ่มปฏิบัติการฟื้นฟูเยียวยาไปพร้อมกัน โดยกลยุทธ์ทั้งหมดในข้อนี้ต้องมุ่งไปที่ "มนุษย์" ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัต เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมาดำเนินชีวิตแบบปกติโดยเร็ว 


ในขั้นตอนนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงต้องจัดหาแต่เนิ่นๆ และในขั้นตอนนี้เองที่รัฐบาลจะต้องแสวงความร่วมมือจากภาคเอกชน ทั้งองค์กรธุรกิจ และจากกลุ่มคนในซีกที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัตโดยตรง ทว่ามีจิตสาธารณะ หรือจากหน่วยงานสากลและรัฐบาลต่างชาติ


หากรัฐบาลมีแผนการขั้นฟื้นฟูเยียวยาที่ดีแบบบูรณาการ ก็จะสามารถรวบรวมและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เกิดการรวมศูนย์ และจัดแบ่งหน้าที่ของแต่ละองค์กรได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกัน ดีกว่าต่างคนต่างทำ รัฐทำอย่าง เอกชนมาทำซ้ำซ้อนเข้าไปอีก (หรือรัฐดันไปทำในส่วนที่เอกชนถนัดกว่า) ส่วนองค์กรสากลก็มีแบบแผนปฏิบัติของตนเอง ฯลฯ


ในโลกนี้ มีรัฐบาลของหลายประเทศอย่างเช่นอิสราเอล ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสวิตเซอร์แลนด์ ที่ล้วนเป็นยอดในเรื่องทำนองนี้ เพราะบ้านเมืองเขาประสบวิกฤติบ่อย และมีหน่วยงานตลอดจนผู้เชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะทางซึ่งมีประสบการณ์สูง ตลอดจนแผนปฏิบัติการณ์ฟื้นฟูเยียวยาระดับชาติที่ทดลองใช้อย่างได้ผลมาแล้วกับวิกฤติร้ายแรงสำคัญๆ ทั่วโลก


หากรัฐบาลไทยจะแสวงหาคำปรึกษาจากรัฐบาลที่ว่ามานั้นได้ก็จะเป็นประโยชน์ยิ่ง และไม่เห็นจะเสียหายอันใด


3. ซ่อมสร้างและพัฒนา


ขั้นตอนนี้จะเกี่ยวเนื่องด้วยเศรษฐกิจและการทำมาหากิน อย่าลืมว่า แม้จะเกิดวิกฤติร้ายแรงแค่ไหน ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังจะดำเนินชีวิตใกล้เคียงเดิมตอนก่อนวิกฤตินั่นแหละ จะมีปรับเปลี่ยนบ้างก็ไม่ห่างไกลไปจากแบบแผนเดิมเท่าใดนัก 


หน้าที่ของรัฐบาลคือการซ่อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กลับมาทำงานได้ดังเดิม คือถ้าพูดภาษานักเศรษฐศาสตร์ก็ว่าต้องอำนวยการและยื่นมือเข้าไปส่งเสริมให้ "ตลาด" กลับมาทำงานอย่างปกติให้เร็วที่สุด หากมีสิ่งอันใดกีดขวาง รัฐบาลต้องเป็นผู้ถากถางหรือถอนทิ้งไป 


รัฐบาลจำต้องซ่อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ระบบสาธารณูปโภค ระบบคมนาคม ระบบสื่อสาร ระบบสินเชื่อ สภาพคล่องทางการเงินสำหรับธุรกิจ (เช่นเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ) และสำหรับครอบครัวผู้เสียหาย (เพื่อซ่อมแซมบ้านช่องไร่นา) หรือยกเว้นการจัดเก็บภาษีอากรบางชนิดชั่วคราว หรือมาตราการส่งเสริมการลงทุนในเขตประสบภัยพิเศษบางเขตสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ควบคุมระดับราคาของสินค้าอันจำเป็นสำหรับการซ่อมสร้าง และอำนวยการให้ผู้ผลิตสินค้าจำเป็นเหล่านั้น (เช่นปูน หิน ดิน ทราย เหล็ก สี เฟอร์นิเจอร์ ปุ๋ย คอมพิวเตอร์ อาหาร ฯลฯ) ดำเนินการผลิตให้เพียงพอแต่เนิ่นๆ อย่าให้เกิดขัดสนหรือขาดแคลน เป็นต้น 


หากรัฐบาลทำ 3 ข้อนี้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ (ตอนนี้ต้องเริ่มทำข้อ 2 กับข้อ 3 แล้วหล่ะ เพราะข้อแรกนั้นคงจะกลับไปแก้มือยากสักหน่อย) ย่อมจะยังพอชนะใจประชาชนได้


ขอเพียงแต่ต้องมีจินตนาการ มองเห็นการณ์ไกล แม้เราจะไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติกันได้ แต่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
วันน้ำหลาก
15 ตุลาคม 2554


***โปรดคลิกอ่านบทความเกี่ยวเนื่องได้ตามลิงก์ข้างล่างครับ


ปัญหาจากน้ำท่วมใหญ่สมัยสร้างกรุงเทพฯ



และ
***วิกฤติทางใจของคนกรุงเทพ​ฯ ในวันน้ำหลาก



วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tomas Transtromer กวีโนเบลคนล่าสุด



วิดีโอนี้จัดทำโดยคนที่มีความนับถือเลื่อมใส Transtromer และงานของเขามาก ฟังแล้วก็พอจะทำให้เราเข้าใจแนวคิดของกวีท่านนี้เป็นเบื้องต้นครับ...ปัจจุบันกวีท่านนี้พูดไม่ได้ อันเนื่องมาแต่เส้นเลือดในสมองแตก




***โปรดคลิกอ่านบทความเกี่ยวกับนักเขียน Ernest Hemingway และความคิดสร้างสรรค์ของเขา ที่ผมเคยเรียงเรียงไว้ได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้ครับ

***ชีวิตอันแสนสร้างสรรค์และแสนห้าวของเอร์เนสต์ เฮมิงเวย์


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Steve Jobs: บทเรียนสำหรับ "คนเป็น"



ขอไว้อาลัยแด่ Steve Jobs และการตายของเขาทำให้เราต้องระมัดระวังการกินการดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ ที่ชมชอบการดื่มเมรัย และสาวๆ ที่ชอบทานหวานมากๆ คงต้องเพลาๆ ลงมั่ง และคงต้องเช็คสุขภาพกันบ้าง เพราะขนาดมหาเศรษฐีระดับนำของโลก ยังยื้อชีวิตได้เพียงเท่านี้เอง





ชีวิตของ Steve Jobs เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ให้บรรดา Outsider ได้มีแรงบันดาลใจ โดยสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวพลิกขั้วเอาชนะพวก Establishment ในอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่เป็นตัวสร้างความมั่งคั่งยุคใหม่ได้

***โปรดคลิกอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ได้ตามลิงก์ข้างล่าง

***สร้าง "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ในความเห็นผม



วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

I Avoid, Therefore I Survive




เชิงจัดการของยิ่งลักษณ์ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสะดุดขาตัวเองสไตล์ทักษิณ


ความล่มสลายของรัฐบาลทักษิณในครั้งนั้น ถึงขั้นหัวหน้ารัฐบาลผู้ซึ่งกุมอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปอย่างไม่รู้ว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอีกหรือไม่ ย่อมเป็นบทเรียนสอนใจให้นักการเมืองร่วมสมัย และผู้ที่คิดจะเดินสู่เส้นทางสายอำนาจ โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็น Derivative ของรัฐบาลทักษิณ ทั้งในเชิงนโยบาย สไตล์ และตัวบุคคล

ผมได้คุยกับคุณยิ่งลักษณ์ก่อนจะประกาศตัวเข้าต่อกรบนสังเวียนการเมืองไม่กี่วัน ผมเห็นว่าเธอเป็นคนมี Common Sense และติดดิน แม้จะเป็น "เพชรสร้าง" ที่รีบบ่มรีบเจียรนัย แต่ก็มีความรู้ทางด้านการจัดการเป็นอย่างดี และตอบคำถามเชิงการบริหารจัดการ หรือมองปัญหาและทางแก้ จากจุดยืนเชิงประสบการณ์ มิใช่จากจุดยืนทางความคิด

พูดแบบชาวบ้านคือตอบจากใจ มิใช่จากสมอง

ในเชิงวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้น เธอแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย ผมถามเธอว่าเธอสรุปบทเรียนอะไรได้บ้างกับความทุกข์ที่เกิดกับพี่ชายและครอบครัวเธอในรอบหลายปีมานี้ และเธอเจ็บปวดมากน้อยเพียงใด...เธอก็ตอบได้ดี ดังจะขอคัดมานิดหน่อยสำหรับท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยอ่านบทสัมภาษณ์นั้นมาก่อนว่า “ต้องบอกว่าอดทนและทำให้เข้าใจว่าแต่ละคน ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดได้ แต่เรามีหน้าที่พิสูจน์หรือเรารู้อยู่แก่ใจถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็สบาย ก็ทำให้ผ่านมาก็ไม่ได้คิดเกลียดหรือโกรธกับสิ่งที่ได้รับ แต่คิดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด เรารู้ว่าเราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และก็เชื่อว่าวันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”

ผมถามต่อ: ที่น้อยใจที่สุดคือเรื่องอะไร...เธอตอบ: ไม่ค่อย ไม่ค่อยมองอะไรให้เศร้า เพราะถ้าเศร้า ยิ่งเวลาผ่านมาเราต้องผ่านชั่วโมงบิน อายุมากขึ้น ส่วนใหญ่จะไม่เศร้า พอเศร้าก็ต้องยืนให้ได้ หาแรงขับให้เจอ แล้วเราจะอยู่ได้อย่างมีความสุข”

ผมถามต่อไปอีก: Hurt หรือไม่...เธอตอบ: “คนเรามนุษย์ปุถุชนธรรมดาก็ต้องมีบ้าง แต่อย่าจมปลักกับความรู้สึกนั้นนานไป ต้องพยายามเข้าใจบริบทรอบข้างว่าการที่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร แล้วค่อยหาทางออก ไม่งั้นเราจะวน แล้วก็เศร้า คิดไม่ออก ตันไปหมด เราเศร้าแวบเดียวพอแล้วยืนขึ้นมาใหม่ อดทน สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไร เดินหน้าต่อไป”......



เห็นมั้ยละว่าคำตอบนั้นน่ารัก Innocent มองโลกในแง่ดี และค่อนข้าง Romantic แต่ก็ Practical และรู้จัก “หลีกเลี่ยง” แบบพองาม

อย่าลืมนะครับ ว่ารัฐบุรุษทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของโลก หรือนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ และกษัตริย์ผู้เกรียงไกร หรือแม้แต่องค์พระศาสดาผู้เหนืออัจฉริยะและเป็นทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย ก็ล้วนเคยเป็นเด็กและเป็นคนธรรมดากันมาก่อนทั้งสิ้น

ในทำนองเดียวกัน บรรดาทรราชผู้น่าเกรงขาม ทว่ามีความทะเยอทะยานและอุดมการณ์วาดฝันถึงโปรเจกอันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติอย่าง นายพลซีซ่าร์ จักรพรรดินโปเลียน นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์ จอมพลสตาลิน หรือประธานเหมาเจ๋อตง ก็ล้วนแต่เคยมีวันเวลาที่ “ใสๆ” มาก่อนเช่นกัน

แม้แต่หลอดโวเดอมอร์ เจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้เก่งกาจและน่าเกลียดน่ากลัวมัวเมาอำนาจ ก็ต้องเคยหน่อมแน้มมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

ทว่าคนฉลาดและผู้คะเนการณ์และทำการสำเร็จลุล่วง ย่อมเรียนรู้และประยุกต์พลิกแพลงเอาจากข้อพลั้งพลาดและข้อสำเร็จในอดีตของตัวเองและของผู้อื่น ทั้งในแบบอุทาหรณ์ และในแบบ Case Studies นั่นเอง

ในความเห็นของผม ถ้าคุณยิ่งลักษณ์สามารถจัดการกับ 6 ประเด็นหลักต่อไปนี้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดแบบในอตีตก็มีสูง คือเป็นการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดอันเนื่องมาแต่ภายในหรือจากการกระทำของตัวเอง และถ้าไม่สะดุดขาตัวเองล้มลงเสียแล้ว ความสำเร็จในระยะยาวย่อมรออยู่


1. ความสามารถในการตีความประวัติศาสตร์


ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ทุกคนเรียนรู้ได้เสมอหน้ากัน แม้ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกโดยคนแต่ละกลุ่มจะต่างมุมมองกันเป็นธรรมดา แต่ประวัติศาสตร์ฉบับหลักมักถูกบันทึกโดยผู้มีอำนาจ (ผมชอบอุปมาอุปมัยของ George Orwell ที่ว่า “Who controls the past controls the future. Who controls the present controls the past”) ทว่าความสามารถในการตีความและเข้าถึงความจริงของแต่ละคนจะต่างกัน ผู้นำที่ตีความประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงข้ออ่อนและเอาข้อแข็งมาเตือนใจตน และมาประกอบนโยบายอันจะนำความมั่งคั่งผาสุขมาสู่ปวงชน และจะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตนได้ไม่ยาก

เช่นถ้าผู้นำเยอรมนีตีความประวัติศาสตร์ไปในแนวเดียวกับไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 และฮิตเล่อร์ ชนชาติอารยันก็คงจะ Agressive ขึ้นเรื่อยๆ เยอรมนีก็ต้องดันทุรังสร้างกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์และต่อรองโน่นต่อรองนี่จนสุดท้ายก็อาจถึงรุกรานเพื่อนบ้านแล้วลุกลามต่อไป...ผู้นำของเราและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็เคยตีความประวัติศาสตร์แนวนี้กันมา

หรือถ้าผู้นำเกิดตีความประวัติศาสตร์ไปแบบโรเบียสปิแอร์ หรือ Marx หรือเหมา หรือสตาลิน หรือพอลพต โอกาสที่จะเกิดปะทะกันระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคมย่อมมีสูง และอาจจะนำไปสู่การปฏิวัติและระบอบปกครองที่เผด็จอำนาจและการยึดทรัพย์สินทั้งมวลให้ตกเป็นของรัฐและการกวาดล้างครั้งใหญ่ เป็นต้น

การวางท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนทรัพย์สินทั้งมวลที่สถาบันแห่งนั้นครอบครองอยู่ ย่อมขึ้นอยู่กับผลแห่งการตีความประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน

จุดนี้เคยเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายหรือ Achilles’ Heel ของรัฐบาลทักษิณ บรรพบุรุษของรัฐบาลปัจจุบันมาก่อน เราคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์และรัฐบาลนี้จะต้อง Preempted

ผมคิดว่ารัฐบาลใหม่ควรอุดหนุนให้เกิด Dialogue อย่างเปิดเผยและกว้างขวาง (ทว่าด้วยความเคารพ หวังดี และเทิดทูล) เกี่ยวกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในอนาคต อุดหนุนการวิจัยเชิงลึก และวิทยานิพนธ์ ที่จะศึกษาทางเลือกบรรดามีในโลกนี้ อย่างไม่ต้องหวาดผวาหรือต้องเซ็นเซ่อร์ตัวเอง ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกและกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางเลือกที่สร้างสรรค์อย่างลึกซึ้งและครอบคลุม

นั่นจะเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และจะเป็นคุณมหันต์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และการเมืองไทยในระยะยาว


2. ความเว่อร์ของตัวผู้นำและคณะและคนแวดล้อม


ไม่มีประชาชนที่ไหนชื่นชอบผู้นำที่ทำตัวอวดร่ำอวดรวย อวดอัครฐานต่างๆ อย่างฟุ้งเฟื้อเห่อเหอม ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังจนกันอยู่โดยมาก

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าผู้นำหรือราชวงศ์ที่ถูกโค่นล้มหรือล่มสลายไปเองนั้นร้อยทั้งร้อย มาจากสาเหตุทำนองนี้

การล่มสลายของคุณทักษิณในกาลครั้งนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความอิจฉาริษยาในความร่ำรวย Luxury และ Extrvagant ต่างๆ ของตัวคุณทักษิณและครอบครัว ที่แสดงออกผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด โดยเฉพาะกับกลุ่มชนชั้นสูง ข้าราชการและอดีตตุลาการชั้นผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูงที่เกษียณไปแล้วและยังไม่เกษียณและผูกพันอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิด นักวิชาการหลายกลุ่ม ปัญญาชนหลายกลุ่ม และสื่อมวลชนที่เคยเป็นมิตรแต่กลับกลายไปเป็นศัตรู และคนชั้นกลางในเมืองจำนวนหลายล้านคน ที่ตอนหลังแสดงตัวโดยสวมเสื้อหรือโพกผ้าสีเหลือง

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลประโยชน์ของคนเหล่านี้ถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลทักษิณนำพามา แต่อีกส่วนหนึ่งย่อมเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าทักษิณและสหายกำลังใช้อำนาจเกินขอบเขต อย่างแทบจะตามอำเภอใจเลยทีเดียว

ภาษาอังกฤษเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า Hubris ซึ่งเป็นปัญหาเชิงการจัดการที่สำคัญ เพราะเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการล่มสลายจากภายในหรือ Self-inflicted Nemesis โดยอธิบายได้ทั้งกับคนหรือองค์กรหรือแม้แต่กับอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจมากๆ แล้วก็มักจะทำอะไรตามใจตน โดยขาดการไตร่ตรอง ไม่ฟังเสียงทัดทาน จะทำอะไรก็ทำเกินไปมาก เช่น โลภก็โลภมากเกินไป ตักตวงก็ตักตวงมากไป จนแทบจะไม่เหลือให้คนอื่น ฟุ้งเฟ้อก็ฟุ้งเฟ้อเกินมาตรฐานของคนส่วนใหญ่เกินไปมาก รุกรานคนอื่นก็รุกรานไม่เลือกหน้าและไม่ยอมหยุดยั้ง แล้วยังแสดงท่าหมิ่นแคลนคน เห็นเป็นเสียงนกเสียงกาไปหมด จนสุดท้ายก็เกิดผลย้อนกลับที่ทอนพลังตัวเองลง...แม้กระทั่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่าง Roman Empire และ British Empire ก็ได้รับการอธิบายว่ามันค่อยๆ ล่มสลายลงเพราะ Hubris เช่นกัน

“Hubris” เป็นคำกรีก แปลเป็นภาษาชาวบ้านแบบง่ายๆว่า “การกระทำอันเว่อร์ๆ ที่ผู้กระทำหลงตัวเองไปว่ามีฤทธิ์มีเดชเหนือมนุษย์ทั่วไปเพราะอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในมือ และอาจจะเคยประสบความสำเร็จซ้ำๆ มาตลอด แบบว่าหลงมัวเมาอำนาจและความสำเร็จในอดีตจนนึกไปเองว่าตัวเป็นเทวดาไปแล้ว ต้องชี้ไม้เป็นไม้ ชี้นกเป็นนก แม้จะฝืนโชคชะตาก็ยังได้”...สุดท้ายก็เสียผู้เสียคนไปเพราะอำนาจนั่นแหละ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Corrupted by Power”

รัฐบาลทักษิณเคยพังครืนมาครั้งนึงแล้วด้วยโรค Hubris ซึ่งออกฤทธิ์คุกคามพวกเขาอย่างหนักหน่วงตอนที่มีอำนาจมากในช่วงหลัง  จึงค่อนข้างมีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าพวกเขาฉีดวัคซีนป้องกันมาอย่างดีแล้วสำหรับการหวนคืนกลับมาในรอบนี้

แต่อย่างที่เห็นกันในประวัติศาสตร์ทั่วโลกแล้วว่าโรคนี้เป็นโรคแรงและดื้อยา!

ดังนั้นความสำเร็จของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการทัดทานและเหนี่ยวรั้งจิตใจตนมิให้ไปสมาทานโรคนี้เสียเอง




3. การบริหารประเทศกับการบริหารธุรกิจ



การค้าขาย ถ้าไม่ผิดกฎหมาย ย่อมเป็นเรื่องน่ายกย่องและต้องสนับสนุน เดี๋ยวนี้นักธุรกิจและนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ ก็ได้รับคำสรรเสริญเยินยอไปทั่วทุกหนแห่ง ในทุกวัฒนธรรม ไม่เหมือนสมัยโบราณที่หลายวัฒนธรรมยังยึดค่านิยมดูถูกพ่อค้าและดูแคลนกิจกรรมที่แสวงหา “กำไร”

องค์กรธุรกิจที่มั่นคง อุปมาก็เปรียบเหมือนต้นโพธิ์ต้นไทรที่ให้หลายครอบครัวได้อาศัยร่มเงา คือเป็นประโยชน์ต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของชาติโดยรวมนั่นเอง

แต่การค้าขาย ที่ทำไปด้วยในขณะที่บริหารประเทศไปพร้อมกัน กลับเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ!

ในวัฒนธรรมที่เจริญแล้วทั้งหลาย ไม่มีใครยอมให้ผู้นำและคณะผู้นำของตัวเอง บริหารประเทศไปด้วยและเซ็งลี้กิจการของตัวเองไปด้วยพร้อมกัน คือถ้าพ่อค้านักธุรกิจนักลงทุนจะมาดำรงตำแหน่งทางด้านบริหารหรือตุลาการหรือนิติบัญญัติ ก็อาจต้องมี Blind Trust เป็นต้น

การหลบเลี่ยงภาษี Capital Gain Tax โดยอาศัย Tax Haven และ Shell Company หรือ Holding Company หรือ SPV และจ้างทนายและ Investment Banker ระหว่างประเทศ ตลอดจนการเก็งกำไรจากค่าเงิน หรือการเจรจาสัมปทานข้ามชาติ นับเป็นเรื่องปกติ ในแวดวงธุรกิจ

แต่ถ้าผู้รับประโยชน์ดันเป็นผู้นำรัฐบาลและสหายหรือสมาชิกในครอบครัว มันอาจส่งผลให้รัฐบาลนั้นล่มลงได้เหมือนกัน


ทว่า ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลนั้นๆ ขยันค้าขาย ขยันไปเปิดตลาดการค้าที่นั่นที่นี่ ขยันไปเจรจรการค้าหรือช่วยให้การเจรจาการค้าเกิดผล และขยันไปเจรจาเปิดทางให้กับการลงทุน การร่วมทุน การให้และรับสัมปทาน การส่งออก การแสวงหาทรัพยากรและเทคโนโลยีอันมีค่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทย แต่ผลประโยชน์แทนที่จะตกอยู่กับตัวเองและครอบครัวและสหาย กลับไปตกอยู่กับภาคเอกชน กับเอสเอ็มอี กับผู้ประกอบการไทย กับนักลงทุนไทย กับนักอุตสาหกรรมไทย กับพ่อค้าไทย กับธนาคารพาณิชย์ไทย กับเกษตรกรไทย และกับรัฐวิสาหกิจไทยแล้ว รัฐบาลนั้นย่อมมีเกียรติมีศรี และได้ชื่อว่าช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ ช่วยสร้างความสามารถเชิงแข่งขัน และจะเป็นขวัญใจของประชาชนและยากที่ใครจะมาโค่นล้มลงไปได้ง่ายๆ




4. คิดไกลแล้วต้องสื่อสารเข้าใจ


ผมสังเกตุว่ากลุ่มคนที่เข้าร่วมหรือเห็นด้วยกับคุณทักษิณและเครือข่าย มักเป็นผู้ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง เป็นพวกที่คิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ยังไม่ดีพอ น่าจะดีได้ยิ่งกว่านี้ เป็นพวกที่ชอบเสี่ยง ชอบลงทุน ชอบพนันขันต่อ ชอบเล่นกับความคิดใหม่ๆ ชอบแสวงหาและให้คุณค่ากับความรู้และความสำเร็จจากผู้คนในบ้านเมืองอื่นที่เขาก้าวหน้า และชอบต่อสู้ดิ้นรนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกวิถีทางเพื่อตัวเองจะได้ดีขึ้นสบายขึ้นและมีผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ตัวคุณทักษิณเองก็เป็นคนแบบนั้น


นั่นจึงทำให้นโยบายของพรรคการเมืองของคุณทักษิณและสหาย ตลอดจนวิถีปฏิบัติเมื่อได้เข้ามาบริหารประเทศแล้ว มีความผิดแผกแตกต่างไปจากวิธีการเดิมๆ โดยเฉพาะธรรมเนียมของระบบบริหารราชการแผ่นดินและระบบราชการไทย


จะว่ามีความคิดก้าวหน้าไปมาก และมองการณ์ไกลออกไปมาก ก็ว่าได้

แต่การคิดไกลออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องสำเร็จหรือดีเสมอไป เพราะมันต้องอาศัยการตัดสินใจที่จะต้องเดินไปบนหนทางใหม่และใช้ทรัพยากรของส่วนรวมไปกับหนทางใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต้องเห็นว่าเสี่ยงกว่าหนทางเดิมที่คุ้นเคยและทำกันมานานแล้ว


สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดความ “กังวล” “หวั่นใจ” “หวาดหวั่น” “หวาดกลัว” หรือแม้กระทั่ง “เกลียด” ขึ้นในใจคนที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือไม่เข้าใจ หรือรับไม่ได้ทันที ทั้งนี้ความในใจนั้นจะรุนแรงเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับดีกรีของความเปิดกว้างเชิงทัศนคติของคนผู้นั้น ว่าสามารถรับการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน

คือดีกรีของการปฏิเสธจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก เริ่มจาก “กังวล” เฉยๆ ไปสู่ “หวั่นใจ” แล้วก็กลายเป็น “หวาดกลัว” และ “เกลียดกลัว” ไปในที่สุด


วิธีแก้หรือป้องกันไม่ให้ผู้คนเกิดความรู้สึกแบบนี้ หรือขจัดความรู้สึกแบบนี้ในใจคนออกไป มีวิธีเดียว คือต้อง “อธิบาย” และต้องมีกลยุทธ์ในการอธิบาย และต้องอธิบายอย่างมีกลยุทธ์


หัวหน้ารัฐบาลและคณะย่อมต้องขยันอธิบาย รู้จักอธิบาย และต้องอธิบายให้ทันเวลาและถูกเวลา


ดังนั้นทีมงานที่เกี่ยวกับการอธิบายความ การสื่อความ การบริหารความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน จึงต้องมีความสามารถสูงกว่าปกติ ควรเป็นทีมที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และมีเครือข่ายกว้างขวาง ในทุกภาษา


โดยเฉพาะหัวหน้ารัฐบาลคือคุณยิ่งลักษณ์ ต้องหมั่นฝึกฝนให้ตัวเองเกิดไหวพริบในการพูด การเขียน และใช้กริยาท่าทางเพื่อสื่อความหมาย และต้องรู้จักเลือกคำ เลือกใช้ถ้อยคำ วลี ประโยค ที่ให้ความหมายชัด กระจ่าง sharp กินใจ และมีความงามในเชิงภาษา และหาสไตล์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับตัวเองที่สุด ไม่ต้องลอกเลียนแบบใคร ตลอดจนหมั่นฝึกหัด ตระเตรียม และซ้อมด้วยตัวเองเสมอ อย่างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว


รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ล้วนมีความสามารถพิเศษในการสื่อความทั้งสิ้น




5. การบริหารฟีดแบ็ก


รัฐบาลที่นำการเปลี่ยนแปลงนั้น ตัวเองก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมตลอดเวลาด้วยเช่นกัน อุปมาเหมือนดังวงดนตรีแจ๊สที่ต้อง Improvise ไปตามความเหมาะสม ทว่ายังอยู่ในกรอบใหญ่ที่ตกลงกันไว้แล้วล่วงหน้า

การจะทำแบบนั้นได้อย่างทรงประสิทธิภาพ รัฐบาลจะต้องอาศัยการบริหารฟีดแบ็ก ต้องมีทีมงานที่ประเมินผลตลอดเวลา และต้องมีความรู้สึกไวต่อปัญหา

ครั้งที่รัฐบาลจีนตัดสินใจจับกุมปราบปรามเจ้าลัทธิและสาวกฝ่าหลุนกง ก็ได้อาศัยจังหวะนั้นจัดการกับลัทธิเล็กลัทธิน้อยไปด้วย แม้พวกที่มีสมาชิกเพียงหลักสิบก็ไม่มีเว้น

นั่นเป็นเพราะว่ารัฐบาลจีนมีหน่วยงานข่าวกรองที่ทรงประสิทธิภาพ และมีความรู้สึกไวต่อปัญหา


อย่าลืมว่ารัฐบาลจีนปัจจุบันเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ และสืบทอดมาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นขบวนการใต้ดินเล็กๆ มาก่อน ผู้นำจีนรุ่นนี้รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นล้ม ลัทธิหรือขบวนการเหล่านั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต แบบที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยเก็บเล็กผสมน้อย จนขยายใหญ่และเข้มแข็งขึ้น แล้วก็สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในที่สุดภายใต้การนำของประธานเหมาเจ๋อตง อย่างที่เราท่านทราบกันดีอยู่แล้ว


นั่นเป็นตัวอย่างของการบริหารฟีดแบ็กขององค์กรที่ระมัดระวังตัว Sensitive และไม่ละเลยแม้กระทั่งเรื่องเล็กเรื่องน้อย ตรงข้ามกับกรณีของโตโยต้าที่ต้องเรียกคืนรถยนต์เป็นแสนคันหรือ British Petroleum ซึ่งทำงามหน้าไว้ที่อ่าวเม็กซิโก เพราะการบริหารฟีดแบ็กล่าช้า จนปัญหาเพียงเล็กน้อยลุกลามใหญ่โตและแก้ไขยาก


(ตัวอย่างหนังสือเล่มที่เธออ่าน และทำคั่นหน้าที่เธออยากจะจดจำเอาไว้)


6. คอร์รัปชั่น


ข้อนี้ผมจะไม่ขออธิบายให้มากความ...ถือซะว่าท่านกำลังอ่านงาน Post-modernism ราวกับกำลังเสพศิลปะล้ำสมัยที่เมื่อได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ได้สัมผัสแล้ว หรือรู้สึกแล้ว ก็ต้องตีความเอาเอง...ของใครของมัน.....





บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสาร MBA ฉบับควบเดือนสิงหาคม-กันยายน 2554 โดยภาพถ่ายทุกภาพที่ใช้ประกอบนี้ถ่ายโดยคุณฐิติวุฒิ บางขาม


***โปรดคลิกอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์ได้ตามลิงก์ข้างล่าง


***ยกขาจากหล่มโคลน


และ


***ผู้นำหญิงในทัศนะชาวบ้านชาววังและฝรั่งมังค่า