วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สุเทพ เทือกสุบรรณ THE CHANGE AGENT?



อีกไม่นานคงจะมีคนเขียนชีวประวัติของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกวางจำหน่าย และผมทายว่าต้องเป็นหนังสือขายดี

ในฐานะนักเขียน ผมคิดว่าชีวิตและพัฒนาการทางความคิดของคุณสุเทพนั้นน่าสนใจมาก และชีวิตแบบนี้ต้องการนักเขียนชีวประวัติชั้นดี มาให้อรรถาธิบายอย่างลงลึก รอบด้าน และไม่ลำเอียง โดยชีวิตแบบนั้นมันน่าจะให้บทเรียนกับคนรุ่นหลังได้มาก

มันเป็นชีวิตที่กำกับโดยความคิดที่พลิกผันหันหลังกลับ และ Contradict จนคนดูอยู่วงนอกแบบผมต้อง ตะลึง!

พลิกผันหันหลังกลับชนิดร้อยแปดสิบองศา

จากนักเลือกตั้ง...สู่ผู้นำม็อบ
จากประชาธิปัตย์...สู่อนาธิปัตย์
จากนักระดมทุนหาเงินเข้าพรรค...สู่นักต่อต้านคอรัปชั่นตัวยง (โดยปาวารณาว่าจะออกกฎหมายให้ความผิดฐานฉ้อโกงไม่มีอายุความ เป็นต้น)
จากนักการเมืองอนุรักษ์...สู่นักปฏิวัติหัวก้าวหน้า
จากเลขาธิการพรรคที่กำกับการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย...สู่นักปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในสายตาของผมและเพื่อนๆ ตลอดจนผู้คนที่ผมรู้จักและสัมผัสมา (และผมเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกัน) เรียกว่าจัดอยู่ในประเภท Bad Guy”

ทว่า หลังจาก "วันนั้น" เป็นต้นมา ภาพลักษณ์ของสุเทพ สำหรับผม (และสำหรับคนชั้นกลางและชั้นสูงจำนวนมาก) ได้กลายมาเป็น Bad Guy With Some Good Qualities”

สื่อมวลชนแทบจะเลิกเรียกเขาว่า "เทพเทือก"

และในวงเหล้าหรือ Social Networks ที่เคยเรียกเขาว่า "เทพเทือก" หรือ "ไอ้เทือก" หรือแม้กระทั่ง "จรกาหน้าดำ" ก็กลายมาเป็น "ลุงกำนัน" บ้าง "ท่านกำนัน" บ้าง หรือแม้แต่ "คุณสุเทพ" ก็มีแยะ

คนจำนวนมากคิดไม่ถึงกับบทบาทของสุเทพในครั้งนี้

อย่าว่าแต่คนจำนวนมากเลย กระทั่งตัวของสุเทพเองก็อาจจะคิดไม่ถึง ว่าตัวเองมาไกลได้ถึงเพียงนี้

แกนนำผู้คร่ำหวอดบางคนแอบกระซิบว่า "คุณสุเทพแกถูกมวลชนกดดันให้ก้าวหน้า" อย่างกรณีคอรัปชั่นไม่มีอายุความนั้น หลายคนก็ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากแก

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คง Impossible” เขากล่าว และให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าสุเทพอยู่ในฐานะ "ตกกระไดพลอยโจน" เพราะนอกจากมวลชนจะออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดินเกินความคาดหมายแล้ว เขายังได้รับสัญญาณบางอย่างจากผู้ใหญ่อีกด้วย

บางคนว่าเขาเป็น Accidental Hero

ถ้าใครได้ติดตามฟังคำปราศรัยและการนำทัพของสุเทพในรอบเดือนที่ผ่านมา ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าเขาทำได้ค่อนข้างดีใน "โหมดสู้รบ"

แต่เมื่อสถานการณ์พัฒนาไป และ Life Cycle ของม็อบสุกงอมขึ้น จนต้องการการนำที่เปลี่ยนจาก "โหมดสู้รบ" มาเป็น "โหมดใช้ปัญญา"

ในฐานะหัวหน้าขบวนการประชาชนผู้อ้างชัยชนะ สุเทพต้องเสนอ Blueprint ของการเปลี่ยนแปลงสู่สาธารณะ และจารนัยอย่างละเอียดว่าจะสถาปนาประเทศต่อไปอย่างไร

ถ้าเขาสามารถชักจูงให้ราษฎรทุกชนชั้นเห็นด้วยกับแผนการสถาปนาประเทศของเขา การปฏิรูปเพื่อความเปลี่ยนแปลงย่อมมีโอกาสสำเร็จ

เขาต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้นำม็อบมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง หรือกำกับกระบวนการเปลี่ยนแปลง ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถณาโดยปราศจากความรุนแรง

หาไม่แล้ว พลังของราษฏรที่แสดงออกย่อมสูญเปล่า หรือไม่ความขัดแย้งก็อาจบานปลายจนกลายเป็นความรุนแรงได้

นับแต่นี้ บทบาทเชิงปัญญาของสุเทพย่อมสำคัญมากกว่าบทบาทเชิงสู้รบ

และผมย่อมเอาใจช่วยให้เขาทำได้และทำสำเร็จ โดยหวังว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น จะต้องเสริมให้อำนาจให้กับราษฏร และเพิ่มช่องทางให้สามารถต่อรองกันเองอย่างสันติ ทุนผูกขาดจะถูกทำลาย เจ้าสัวที่ชอบผ่องถ่ายทรัพย์สินของสาธารณะไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวจะถูกดำเนินคดี ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจะถูกตราไว้ในกฎหมายและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง อุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่คนเล็กคนน้อยเคยเข้าถึงได้ อย่างค้าปลีกค้าส่งจะถูกดึงกลับมาเป็น Social Safety Net แทนที่จะถูกผลักเข้าไปอยู่ในกำมือของบรรษัทข้ามชาติแบบทุกวันนี้ ระบบตุลาการจะทรงประสิทธิภาพขึ้น ระยะเวลาในการพิจารณาคดีต่างๆ ควรสมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้ และสถาบันแห่งนั้นควรมี Accountability ต่อราษฏร การคอรัปชั่นจะถูกกำราบอย่างเด็ดขาด การเลือกตั้งจะต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม การใช้อำนาจของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จะต้องถูกตรวจสอบได้ การศึกษาและสาธารณสุขจะต้องมีคุณภาพและอย่างเพียงพอ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะถูกแก้ไขโดยมาตรการภาษี ฯลฯ

อีกไม่นาน เราก็จะได้รู้ความจริงว่าสุเทพนั้นเป็น "เจ้าเงาะถอดรูป" ที่งำประกายมาช้านานหรือ "จรกา" ดังเดิมกันแน่

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
24 ธันวาคม 2556

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อนาคตเชียงใหม่



สมัยเด็ก ผมยังทันเห็นพิธีสักยันต์แบบเก่าของทางเหนือโดยอาจารย์เงี้ยว (ไทยใหญ่) และผมกับเพื่อนๆ ยังได้ขนขวายหาบทคาถาขณะสักยันต์ มาท่องจำกันตามประสาเด็ก หวังว่าจะช่วยในเชิงคงกระพันชาตรีได้อย่างที่บรรดาผู้เฒ่าเล่าขานให้ฟัง

ผมยังจำบรรยากาศได้ดีว่ามันค่อนข้างสนุกสนาน ลักษณะงานค่อนไปในทาง Entertainment มีเด็กๆ จำนวนมากไปมุงดู มีดนตรีเล่นเป็นระยะ และผู้ใหญ่นั่งดื่มเหล้ากันเต็มไปหมด...

พอได้ที่ คนที่ต้องการจะประทับรอยสักก็ละจากวง แล้วคลานเข้าไปกราบพระและครูบาอาจารย์ ก่อนจะเข้าประจำที่ เพื่อเตรียมตัวรองรับเข็มยาวใหญ่จุ่มน้ำหมึกที่กำลังจะปักเข้ามาในเนื้อหนังอย่างเป็นศิลปะ ควบกับคาถาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งจากปากพระอาจารย์ระหว่างที่มือปักเข็มไปด้วย...พี่ๆ น้าๆ บางคนทำหน้าเฉยเมย แต่บางคนก็หน้าแดง ถมึงตา ขมวดคิ้ว กัดฟัน และใบหน้าแสดงความเจ็บปวดจากความแหลมคมของปลายเข็มอย่างเห็นได้ชัด

“....(ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!)...ทัต ปาริ จ๋า ก๊ะ ตั๋ง ปั๋ง ละ กั๋น ตุ๊...(เพี้ยง)....(ฉึก ฉึก!)....กั๋นละหะ เนละหะ ป๋าละปาทะ คง คง คง...(ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!)....อุ่งสั่ว ทาละทัป จั๊กจ๋าหวุติ ชาลิหวู่จิ๊...(เพี้ยง)....(ฉึก ฉึก ฉึก!)....”

นั่นเป็น Fashion ในยุคเก่าแก่ แต่เหตุการณ์ที่ผมพูดถึงนี้ ยังหลงเหลือมาให้ผมได้เห็นในช่วงกลางทศวรรษ 1970s ณ กลางเมืองเชียงใหม่

เมื่อผมเติบโตขึ้น การสักยันต์กลายเป็นเรื่อง Old Fashion

คนที่มีรอยสักตามตัว กลายเป็น "คนนอก" ของสังคมกลายๆ ไม่มีใครเต็มใจรับเข้าทำงาน และพ่อแม่ก็ไม่อยากให้คบค้าเพื่อนแบบนั้น

สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงต้นทศวรรษ 1980s เคยเรียนวิชา Personnel Management และยังจำได้แม่นว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้สอบถามความเห็นของผู้จัดการฝ่ายบุคคลถึงเรื่องรอยสัก โดยผลลัพธ์ที่ออกมาค่อนข้างติดลบ คือเกือบทั้งหมดยอมรับว่าคนที่มีรอยสักมักก้าวหน้าในอาชีพการงานช้ากว่าคนที่ไม่มีรอยสัก โดยเฉพาะในตำแหน่งบริหาร และคนที่มีรอยสักมักปกปิดไม่ให้คนรู้ว่าตัวเองมีรอยสักเมื่อมาสมัครงาน เพราะโอกาสได้งานทำน้อยกว่าคนทั่วไป (สมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยี Laser ลบรอยสักเหมือนสมัยนี้) และอาชีพที่สักกันแยะมักได้แก่ทหาร เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าเร่



ในสมัยโบราณนั้น เราคงไม่แปลกใจที่ทหารต้องสักยันต์ เพราะทหารเป็นอาชีพที่เสี่ยงและต้องอาศัยความกล้าหาญ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางระงับความกลัวในใจของตัวเองลง ซึ่งรอยสักและคาถาประกอบย่อมมีวัตถุประสงค์เช่นนั้น

เช่นเดียวกับพ่อค้า ที่ต้องร่อนเร่รอนแรมไปในต่างถิ่นกับกองคาราวานวัวต่างหรือม้าต่าง ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงกว่าอาชีพอื่น

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อาจารย์สักยันต์ดังๆ ในภาคเหนือจะเป็นพวกเงี้ยวหรือไทยใหญ่ (หรือถ้าเป็นพระสงฆ์ก็มักจะร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์เชื้อสายเงี้ยวอีกทอดหนึ่ง) เพราะคนกลุ่มนี้เคยควบคุมเครือข่ายการค้าของเชียงใหม่อยู่ก่อนที่ชาวจีนจะอพยพเข้ามาในยุครัชกาลที่ 5 และทะลักเข้ามาอีกชุดใหญ่หลังเส้นทางรถไฟสายเหนือสร้างเสร็จเมื่อ พ.. 2464

โลกาสันนิวาสทำให้กลุ่มทุนเงี้ยวหมดอิทธิพลลง รัฐฉานหรือ "เมิงไต" ก็หมดอำนาจอิทธิพลลงด้วย แม้แต่พม่าเมืองแม่เองก็เอาตัวไม่รอด ถูกอังกฤษยึดครอง เช่นเดียวกับเจ้าเชียงใหม่ ที่สูญเสียอิทธิพลให้กับเจ้ากรุงเทพฯ และระบบราชการไปในที่สุด

กลุ่มทุนเชื้อสายจีนขึ้นมามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจของเชียงใหม่ บางตระกูลก็บังเกิดอภิชาติบุตร สามารถสะสมทุนและเคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของประเทศได้ภายในสามชั่วคน แม้ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ลูกหลานของตระกูลจีนแคะตระกูลหนึ่งของเชียงใหม่ที่คนรุ่นปู่ยังพูดไทยไม่ชัดนัก ก็กำลังนั่งบัญชาการอยู่ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า โดยมีพี่ชายที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกบัญชาการมาจากนอกประเทศอีกชั้นหนึ่ง

แต่โลกาสันนิวาสย่อมมีพลวัตรของมันอยู่ตลอดเวลา ความไม่แน่นอนจึงแน่นอน

ปัจจุบัน กลุ่มทุนเชื้อสายจีนท้องถิ่นต้องหลีกทางให้กับกลุ่มทุนเชื้อสายจีนจากส่วนกลาง และทำท่าว่าจะมีกลุ่มทุนจากต่างประเทศเพิ่มดีกรีความคุกคามเข้ามาอีก

ลูกหลานของพ่อค้าจีนเหล่านั้น ปัจจุบันเรียกตัวเองว่านักธุรกิจ ต่างพากันเข้าสู่อำนาจ และเรียกตัวเองใหม่ว่านักการเมือง และกลายเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการจัดสรรอำนาจทางการเมืองและทรัพยากรทางเศรษฐกิจของเชียงใหม่

ข้าราชการท้องถิ่นที่เคยยิ่งใหญ่ กลายเป็นเพียงลูกไล่ของนักการเมืองเหล่านี้

สมัยผมเด็กๆ ผมรู้สึกว่านายอำเภอฯ ผู้กำกับฯ หรือผู้ว่าฯ นั้น ยิ่งใหญ่มาก แต่ปัจจุบันคนเหล่านี้แทบไม่อยู่ในสายตาเด็กสมัยนี้ด้วยซ้ำ

การเปลี่ยนแปลงในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียและของโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ก็จะทำให้โลกาสันนิวาสของเชียงใหม่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงอีกรอบหนึ่ง

แต่มันน่าจะเป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ

การเปลี่ยนความคิดของชาวคอมมิวนิสต์ระดับสูงของจีน ลาว เวียดนาม และคณะทหารพม่า ทำให้บ้านเมืองแถบนี้ร่มเย็นขึ้น หันมาคบค้าสมาคม ไปมาหาสู่และค้าขายกันมากและบ่อยขึ้นกว่าเดิม

ถนนหนทาง สนามบิน ทางรถไฟ สะพาน และอุโมงค์ ที่จะเชื่อมต่อระหว่างกัน ย่อมส่งผลดีต่อเชียงใหม่อย่างแน่นอน เพราะภูมิศาสตร์ของเชียงใหม่ตั้งอยู่ในจุดที่เป็นเนื้อนาบุญอย่างยิ่ง

ยิ่งผู้คนในย่านตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของจีนร่ำรวยขึ้น ในลาวเหนือร่ำรวยขึ้น และในพม่าและเมิงไตและคะฉิ่นว้าแดงร่ำรวยขึ้น เชียงใหม่ย่อมได้ประโยชน์มาก ทั้งในทางส่งออกและรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งในแง่ของการใช้พื้นที่และแรงงานเหล่านั้นเป็นฐานการผลิตราคาถูก

คนจากต่างถ่ินคงจะหลั่งไหลเข้ามาในเชียงใหม่ และคณะผู้นำหรือผู้กุมชะตากรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตของเชียงใหม่ย่อมเปลี่ยนโฉมไป มีความหลากหลายยิ่งขึ้น และอาจจะสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นด้วย...ใครจะไปรู้

ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงจินตนาการในเชิง Geopolitics กระแสหลัก ที่กำลังถูกใช้เป็น Theme สำคัญใน Growth Story ของเชียงใหม่ที่กำลังขายความคิดกันอยู่ในขณะนี้ เพราะท่านผู้อ่านคงทราบดีอยู่แล้ว...การขึ้นมาของจีน รถไฟความเร็วสูง การเปิดประเทศของพม่า การเชื่อมทางหลวงผ่านพม่าไปสู่อินเดีย การเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างเชียงใหม่กับเมืองสำคัญในเอเชียและในโลก หรือแม้กระทั่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมที่อาศัยทักษะสูง และการให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ...ฯลฯ

แต่ผมจะยำ้ว่าโลกาสันนิวาสมันมีพลวัตร ดังนั้น "ความไม่แน่นอน" จึงเป็น "ความแน่นอน"

"เงี้ยว" หรือ "ลื้อ" หรือ "ลัวะ" ที่เคยหมดความสำคัญต่อเชียงใหม่ไปนานแล้ว อาจกลับมามีความสำคัญอีก แต่ไม่ใช่ในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มอิทธิพล แต่ในฐานะ "ตลาด" หรือ Market คือทั้งในพม่า ลาวเหนือ และยูนนาน

เพราะ (ย้ำ!) โลกาสันนิวาสเป็นเรื่องของพลวัตรและการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ดูเหมือนมั่นคงกลับล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา และสิ่งที่ดูเหมือนล่มสลายหรือสูญหายไปแล้ว กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาและเติบโตได้อย่างมั่นคง

ดังวัฒนธรรมการสักเป็นพยานอยู่ เพราะในเมื่อผมนำท่านผู้อ่านเข้าท่องจินตนาการของผมต่อเชียงใหม่ผ่านประตูบานเล็กๆ ที่เรียกว่าการสัก ผมควรนำท่านผ่านประตูบานนี้กลับไปสู่โลกอนาคตเช่นกัน โดยหวังว่าท่านจะได้จินตนาการหรือมุมมองที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นหลังจากที่ท่านอ่านบทความนี้จบลง

อย่าลืมว่า การสักเพิ่งจะกลับมานิยมอีกครั้งในรอบสิบปีหลังมานี้เอง ทว่ารอบนี้มันไม่ได้มาในนามของความคงกระพันชาตรี แต่มาในนาม "Body Art” หรือศิลปะบนเรือนร่าง

ผมเข้าใจว่าที่มันกลับมาฮิตอย่างรวดเร็วรอบหลังนี้ เพราะคนดังๆ เช่นบรรดาดาราฮอลิวู๊ดอย่าง แองเจลินา โจลี และอีกหลายคน รวมถึงนักฟุตบอลระดับซูปเปอร์สตาร์อย่าง เดวิด เบคแฮม หันมานิยมสัก เลยกลายเป็นแฟชั่นที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว และการมีเทคโนโลยีลบรอยสักที่ค่อนข้างได้ผล ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจง่ายขึ้น

ทว่า ศูนย์กลางการสักได้ย้ายออกจากวัดหรือสำนักอาจารย์ผู้คงกระพันไปอยู่ตามย่านท่องเที่ยวหรือย่านงานฝีมือ เช่น สวนจตุจักร ถนนข้าวสาร เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย และพัทยา เป็นต้น

ถึงกระนั้นก็ตาม ในวงการระดับสูง การมีรอยสักอยู่ตามตัวยังคงเป็นเรื่องไม่ค่อยเหมาะสมและมิพึงปรารถณาอยู่ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้เองที่ Caroline Kennedy ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีเคนเนดี้ผู้ล่วงลับ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโอบามาให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงโตเกียว โดยเธอผู้นั้นได้พยายามหาทางลบรอยสักรูปผีเสื้อกระพือปีกที่ใต้ท่อนแขน แถมยังต้องหาชุดที่สามารถปกปิดตรงนั้นไว้ในบางโอกาสอีกด้วย

แม้การวาดและสักบนเรือนร่างจะเป็นศิลปะดึกดำบรรพ์ คงจะก่อนที่มนุษย์จะรู้จักวาดรูปลงบนผนังถ้ำด้วยซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องเปรียบกับแผ่นปาปิรุส แผ่นหิน Mosaic ดินเผา Terracotta แผ่นไม้ และผืนผ้าใบหรือ Canvas ที่เริ่มมาได้อย่างมากก็สักหาพันปีมานี้เอง

เพราะมนุษย์คงต้องการความสวยงามและดึงดูดเพศตรงข้าม นอกเหนือไปจากเป้าหมายในเชิงศิลปะคือมุ่งหาความงาม (พูดแบบภาษาสมัยใหม่ได้ว่า Fine Art) และเป้าหมายในเชิงสังคมคือการเข้าพวกให้รู้ว่าสักแบบนี้แล้วเป็นพวกเดียวกัน (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า Fashion Art

มนุษย์จึงพัฒนาศิลปะบนเรือนร่างแบบการสักหรือวาดลงไปบนผิวหนังตรงๆ ให้ต่อยอดมาสู่เครื่องสำอางและเครื่องประเทืองผิวตลอดจนปรับปรุงเสริมแต่งอวัยวะหลายส่วนของร่างกาย และมาสู่เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับอัญมณี กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่โตในทุกๆ ทาง จนปัจจุบัน สลับซับซ้อนก้าวหน้าไปถึงขั้น Cosmetic Surgery, High Fashion และ Brand Name อย่างโอ่อ่า อลังการณ์ และสูงมูลค่า

ถ้าปุจฉา วิสัจฉนา ความข้อนี้แตก จนเห็นทะลุปรุโปร่งแล้วไซร้ ก็จะเห็นอนาคตของเชียงใหม่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
14 พฤศจิกายน 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน พ.ย. 2556
ภาพโดย ฐิติวุฒิ บางขาม และภาพคนสัก จาก Facebook ของ Thanarak Suwannakij



วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

YGWYS


ในสมัยโน้น "พระสังข์" ต้องอาศัยการอธิษฐานถึงเบื้องบนให้ช่วยร่ายมนต์เพื่อดลใจสาวเจ้า "รจนา" จนเกิดสภาวะตาทิพย์่ และสามารถมองทะลุทะลวงเกราะกำบังรูปชั่วน่าชิงชังของ "เจ้าเงาะ" จนเห็นเนื้อในที่เป็นเจ้าชายรูปงามผิวทองเหลืองอร่ามโดยลำพัง ในขณะที่คนอื่นๆ ซึ่งนั่งและยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น มองไม่เห็น

ถ้าเป็นสมัยนี้ "พระสังข์" คงไม่จำเป็นต้องอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพราะสามารถกระทำการได้ด้วยตัวเอง โดยการส่ง Private Message ไปตาม Line หรือ Instagram หรือ Facebook ให้กับ "รจนา" โดยตรง เพราะมันจะสะดวกกว่า และสามารถตอบโต้กันได้ตลอดเวลาโดยที่คนอื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้เช่นกัน

ข้อแตกต่างระหว่างสมัยโน้นกับสมัยนี้ อยู่ที่ตอนถอดเงาะ เพราะเมื่อพระสังข์เผยตัวตนที่แท้จริง คนที่ได้เห็นรวมทั้งรจนาล้วนพอใจ ดังคำกลอนตอนที่นางมณฑาชื่นชมลูกเขยและรจนาเมื่อได้เห็นเจ้าเงาะถอดรูปว่า:

คิดคิดขึ้นมาน่าหัวเราะ เอารูปเงาะสวมใส่ทำใบ้บ้า
อัปยศอดอายขายหน้าตา เจ้าแกล้งแปลงมาแม่ไม่รู้
รจนายาจิตเจ้าคิดถูก หมายมั่นพันผูกก็ควรอยู่
ทีนี้แหละลอยแก้วแล้วลูกกู โฉมตรูแย้มยิ้มกระหยิ่มใจ

แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ อาจจะมีอะไรให้ Surprise! มากกว่า "รูปทอง" ก็เป็นได้

เพราะสมัยนี้เป็นสมัยของกล้องดิจิทัล เป็นสมัยของมุมกล้อง เป็นสมัยของคลิป เป็นสมัยของแอ๊พผิวขาว แอ๊พผิวเนียน แอ๊พตาคม และแอ๊พแต่งภาพ ลบส่วนที่ไม่พึงปรารถนา หรือบิดเบือนภาพสารพัดชนิด 

แถมยังเป็นสมัยของการสร้าง Story สร้างเรื่องสร้างราวบน Facebook และ Twitter และ Instagram ให้คนติดตาม พร้อมภาพ คลิป และกราฟฟิกเก๋ๆ ที่จูงใจหรือหลอกให้คนหลงเชื่อได้ง่ายๆ

จึงไม่แปลกที่เราจะสามารถเนรมิตพระสังข์ใน Social Media ได้ง่ายๆ โดยที่ตัวจริงอาจเป็นคนละคน และเรื่องราวของตัวจริงนอกจอก็อาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยก็ได้...แบบว่า Another Stories เลยอ่ะ

สมัยนี้ผู้คนจึงถูกหลอกกันแยะ เพียงเพราะดูรูปและติดตามเรื่องราวจาก Social Media แต่เวลาเจอตัวจริง กลับไม่ใช่ "พระสังข์ถอดรูป" อย่างที่จินตนาการไว้

ไม่ต่างจากสินค้าและบริการที่ถ้าดูใน Facebook แล้ว   เริ่ดมาก! แต่พอเห็นของจริงหรือสถานที่จริงแล้วน่าผิดหวัง

ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเหล้า ร้านสปา ร้านหนังสือ หรือแม้แต่คอนโดฯ จำนวนมากในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ที่โปรโมทโดยใช้กลยุทธ์ Social Media เสียเริ่ดหรู เลือกแต่มุมกล้องที่สวยและคึกคักด้วยผู้คน แต่พอไปใช้บริการจริง กลับเงียบเหงาและทรุดโทรม

เหมือนกับบ้านตัวอย่างสมัยก่อนที่เจ้าของชอบหลอกต้มคนซื้อ แบบว่าเมื่อสร้างเสร็จและส่งมอบแล้วกลายเป็นคนละหลังไปเลย

แบบนี้ ภาษาการตลาดเขาเรียกว่า Delivery Discrepancy”

ปัญหานี้ มักเป็นภัยต่อชื่อเสียงและทำให้แบรนด์มัวหมอง หากเราเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหาร เราต้องคอยสอดส่อง ระมัดระวังมิให้เกิดปัญหาดังว่านี้กับสินค้าและบริการของเรา

ต้องหมั่นสำรวจ Perception ของลูกค้าและผู้ที่มีศักยภาพจะเป็นลูกค้าอยู่เสมอ

เพราะถ้าปัญหาเกิดขึ้นในใจของลูกค้าแล้ว กระบวนการแก้กลับจะยากมาก

ตัวอย่างของ Bad Perception ที่เกิดจาก Delivery Discrepancy ซึ่งเรามักเห็นเป็นประจำคือ "นักการเมือง" เพราะนักการเมืองจำนวนมาก พูดแล้วทำไม่ได้ และมักไม่ทำตามที่พูดหาเสียงโฆษณาไว้แต่แรก นักการเมืองจึงเป็นอาชีพที่คนเหม็นเบื่อและเอือมกันมาก

ในยุค Social Media แบบปัจจุบัน แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องอาศัยมันในเชิงการตลาด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังปัญหาที่กล่าวมาด้วย 

เพราะมันเป็น Side Effect หรือผลข้างเคียงของ Social Media Marketing

ดีไม่ดี ในอนาคต นักการตลาดและนักกลยุทธ์ อาจจะต้องระบุห้อยท้ายไปด้วยว่า YGWYS

“You Get What You See”

คงเก๋ไม่เบา

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
20 พฤศจิกายน 2556

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ม็อบเชิงยุทธ์



ผมเริ่มเขียนต้นฉบับนี้ในสถานการณ์สู้รบ ขณะที่ม็อบสามม็อบที่ราชดำเนิน นางเลิ้ง และมัฆวาน รวมเข้าด้วยกัน...เป็น M&A (Mergers & Acquisitions) หรือ Joint Venture "แบบม็อบๆ"

ในฐานะบรรณาธิการของนิตยสาร MBA ซึ่งว่าด้วยกลยุทธ์ธุรกิจและการจัดการเป็นหลักใหญ่ ผมย่อมสนใจศึกษาและสังเกตุม็อบในเชิงกลยุทธ์ตลอดถึงแง่มุมเชิงบริหารจัดการอยู่เสมอ

เช่น ผมมักสนใจว่าคนที่มาชุมนุมเป็นล้านบนถนนราชดำเนินนั้น จะอุจจาระปัสสาวะกันยังไง สะดวกสบายหรือทุลักทุเลหรือไม่ในมาตรฐานของแต่ละม็อบ (เช่นม็อบเสื้อเหลืองหรือฟ้าหรือหลากสีซึ่งเป็นชนชั้นกลางย่อมรู้สึกถึงความไม่สะดวกสบาย ในขณะที่ม็อบเสื้อแดงไม่ค่อยแคร์เรื่องแบบนี้เท่าใดนัก เป็นต้น) และกลยุทธ์การลุกขึ้นสู้ในแต่ละขั้นตอน โดยประเมินว่ามันสอดคล้องกับ Life Cycle ของม็อบในช่วงนั้นๆ หรือไม่ ตลอดไปจนถึงขั้นตอนเผด็ดศึกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น แต่ละทีมทำกันยังไง และอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลว และที่ละเลยไม่ได้คือสไตล์การนำของแต่ละทีมว่ามีดีกันตรงไหน

ที่สำคัญคือความคิดสร้างสรรค์ของม็อบแต่ละม็อบเหล่านั้นสำแดงออกด้วยวิธีใดกันบ้าง

ความคิดสร้างสรรค์นั้นสำคัญมากสำหรับการจัดม็อบและการนำม็อบ!

เพราะม็อบมันประกอบด้วยราษฎรธรรมดา ต่างคนต่างมา ไม่ได้ถืออำนาจรัฐ มีลักษณะเป็นเบี้ยล่าง จึงต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างมากและหนักหน่วง กว่าจะให้ม็อบเดินไปในทิศทางเดียวกัน หรือยอมปฏิบัติการณ์เชิงยุทธ์ตามแผนที่วางไว้แบบลับๆ หรือกึ่งลับกึ่งแจ้ง...จนสามารถเผด็จศึกจนเอาชนะได้

ผู้นำม็อบที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเปิดกว้างรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และพร้อมที่จะ Improvise ไปกับจังหวะจะโคนของโอกาสที่เปิดให้ในแต่ละชั่วโมง

เพราะแม้จุดเริ่มต้นหรือการ "จุดติด" ของม็อบขนาดใหญ่ที่อาจสามารถโค่นล้มรัฐบาลได้ในที่สุดนั้น มักมีที่มาจาก "อุบัติเหตุ" ซึ่งเกิดจากความประมาทของฝ่ายตรงข้าม อย่างเช่นคราวนี้ที่ทักษิณ ชินวัตร ทำตามอำเภอใจและมองข้ามความรู้สึกของประชาชนคนชั้นกลาง หรือคราวก่อนที่จงใจหลบเลี่ยงภาษีจากการขายหุ้นให้กับเทมาเส็ก เช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้ามที่เลือกใช้วิธีรัฐประหารและตั้งศาลเตี้ย หรือใช้เล่ห์เพทุบายให้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในค่ายทหาร เป็นต้น...ถึงกระนั้นก็ตาม การนำม็อบจำนวนมากๆ ให้เผชิญหน้าและกดดันต่อผู้กุมอำนาจรัฐในสถานการณ์สู้รบนั้น คงไม่มีใครสามารถอ่านสถานการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำเท่าใดนัก

ดังนั้น กลยุทธ์ที่ฝ่ายม็อบต้องใช้ ย่อมต่างกับฝ่ายรัฐบาลที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในมือโดยถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถใช้อำนาจผ่าน State Apparatus ได้อย่างรุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการ หน่วยงานความมั่นคง หรือสื่อมวลชนในเครือข่าย เป็นต้น

นักเรียนหรือผู้บริหารที่ชอบและศึกษาเรื่องกลยุทธ์หรือ Strategy มักคุ้นเคยกับแนวการวางกลยุทธ์มาจากเบื้องบน

คือเข้าใจกันไปว่ากลยุทธ์ย่อมต้องถูกกำหนดโดยคณะผู้บริหาร บนยอดปิรามิดขององค์กรเสมอ

Vision+Mission+Strategy...

นั่นคือสูตรสำเร็จที่นักเรียน MBA และผู้บริหารองค์กรสมัยใหม่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

ถ้าเป็นธุรกิจก็จะว่าด้วยการที่คณะกรรมการและคณะผู้บริหารกำหนดกลยุทธ์การแข่งขันในแต่ละด้านอย่างละเอียด เพื่อเอาชนะคะคานคู่ต่อสู้ เพื่อแย่ง Market Share หรือ Mind Share หรือเพื่อสร้างปมเด่นในการแข่งขัน หรือ Competitive Advantage ให้เหนือกว่าคู่แข่งขันทั้งมวลในอุตสาหกรรม

หรือถ้าเป็นสงครามก็คือการจัดทัพ เคลื่อนทัพ การรุก การรับ การเข้าตี...ไปจนถึงการข่าวและการส่งกำลังบำรุง

ซึ่งทั้งหมดนั้นจะกระทำโดยคณะเสนาธิการ ในระดับแม่ทัพและผู้บัญชาการเหล่าทัพเท่านั้น

กระทั่งกลยุทธ์การแข่งขันระดับชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจสมัยใหม่ ที่ว่าด้วยการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย การสร้าง Cluster ตลอดจนแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการ และ ฯลฯ ที่เรียกว่า Industrial Policy ดังตัวอย่างของชาติที่เคยประสบความสำเร็จในแนวนี้มาก่อนเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์....เหล่านี้ย่อมถูกกำหนดโดยข้าราชการระดับสูงและรัฐบาลทั้งสิ้น

ตำราที่ว่าด้วยกลยุทธ์ที่ได้รับการยกย่องในระดับโลก นับตั้งแต่ ซุนวู สามก๊ก Xenophon, Alexander, Julius Caesar, Machiavelli, Clausewitz, Napoleon มาจนถึง Nuclear Games ในยุคสงครามเย็น และ Michael E. Porter กูรูทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่ยังมีชีวิตอยู่ ล้วนว่าด้วยกลยุทธ์จากเบื้องบนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

ทว่า การเอาชนะด้วยม็อบ ต้องอาศัย "กลยุทธ์จากเบื้องล่าง"!

อหิงสา สัตยาเคราะห์ อนาระยะขัดขืน อนาธิปไตย ก่อการร้าย จรยุทธ์ ไปจนถึงการปิดล้อม หรือยึดสถานที่สำคัญ และ Insurrection Strategies ตามแนวทางของ Marx หรือ Lenin หรือเหมาเจ๋อตง ย่อมเป็นกลยุทธ์จากเบื้องล่างที่ผู้นำม็อบในโลกนี้ใช้ล้มผู้ปกครองเดิมแล้วเข้ายึดอำนาจรัฐสำเร็จมาแล้วนักต่อนัก

การยึดเมืองหลวงและสถานที่สำคัญหรือพื้นที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่หรือระบบปกครองที่ฉ้อฉลนับเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ฝ่ายมวลชนมักใช้ต่อรองกับฝ่ายกุมอำนาจรัฐ

แต่ถ้าจะเผด็จศึก ก็จำเป็นต้องเข้ายึดครอง State Apparatus ที่เป็นกลไกการใช้อำนาจรัฐสำคัญ เช่นทหาร ตำรวจ และระบบราชการ หรืออย่างน้อยต้องให้ผู้มีอำนาจในองค์กรเหล่านั้นอยู่เฉยๆ ไม่ต่อต้านการลุกขึ้นสู้ของมวลชน การอภิวัฒน์จึงจะสำเร็จ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเป็นรัฐรวมศูนย์และอาวุธหนักส่วนมากอยู่ในกรมกองที่กองบัญชาการในกรุงเทพฯ สามารถเอื้อมถึงได้โดยง่าย (ไม่ว่าจะเป็นรถถัง ปืนใหญ่ เครื่องบินรบ หรือปืนกลหนัก) ดังนั้น การจะทำให้การอภิวัฒน์ของราษฏรประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องให้ฝ่ายทหาร ซึ่งเป็นผู้ถืออาวุธหนักเกือบทั้งหมดในสังคมไทยและมีศักยภาพสูงสุดในการจัดระเบียบสังคมหากเกิดวิกฤติการณ์ เข้าข้างราษฏรหรืออย่างน้อยต้องตั้งอยู่ในความเป็นกลาง

พูดง่ายๆ คือฝ่ายม็อบจำเป็นต้องเข้ายึดครองหัวใจของผู้บัญชาการขององค์กรราชการที่จัดตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ และรัฐบาลต่อจากนั้นรับช่วงสืบทอดมาจนถึงบัดนี้นั่นเอง

ม็อบที่ผ่านมาสำแดงความคิดสร้างสรรค์โดยการเข้ายึดครองสถานที่สำคัญทางเศรษฐกิจสมัยใหม่เพื่อต่อรองกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ และสี่แยกราชประสงค์

เดชะบุญที่ม็อบไทยยังไม่เคยถึงขั้นบุกเข้ายึดเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งควบคุมระบบการเงินและระบบการชำระเงินของประเทศไว้ทั้งระบบ แถมยังครอบครองโรงพิมพ์ธนบัตร และเป็นผู้ดูแลทรัพย์ก้อนใหญ่ของประเทศ คือทุนสำรองระหว่างประเทศ ไว้อีกด้วย

เพราะถ้าทำเช่นนั้น แม้รัฐบาลอาจพ่ายแพ้ไปโดยเร็ว แต่ความเสียหายของระบบเศรษฐกิจโดยรวมที่จะตามมาย่อมมากมายหนักหน่วงจนราษฎรบางฝ่ายตลอดจนนักธุรกิจอุตสาหกรรมรับไม่ได้ และหันมาเป็นปฏิปักษ์กับการอภิวัฒน์ในระยะยาว

ทว่า กลยุทธ์อันนั้นเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบขาด รวดรัด และเบ็ดเสร็จ อันหนึ่งในสงครามประชาชน

Karl Marx บรมครูของนักปฏิวัติทั่วโลกเอง ยังเคยวิเคราะห์สรุปบทเรียนความล้มเหลวของการลุกฮือของ “ม็อบปารีส” ที่เรียกว่า Paris Commune เมื่อปี ๒๔๑๔ ทั้งๆ ที่สามารถยึดครองปารีสอยู่ได้ถึง 70 วัน ว่าความผิดพลาดฉกรรจ์ของฝ่ายคอมมูนที่สำคัญมีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือการใช้กลยุทธ์ทางทหารที่ผิดพลาด คือแทนที่จะบุกไปตีกองกำลังฝ่ายรัฐบาล (ซึ่งตั้งทำการอยู่ที่แวร์ซาย) แล้วทำลายให้สิ้นซากเสียแต่ต้นมือ ขณะที่ยังตั้งตัวไม่ติด กลับใช้วิธีตั้งรับ สร้างปราการและ Barricade ทั่วปารีส แล้วรออยู่ในปารีสจนรัฐบาลตั้งตัวติดแล้วยกทัพมาปราบ ส่วนข้อที่สอง คือการเพิกเฉย ไม่ยอมเข้ายึด Banque de France ยังคงปล่อยให้ธนาคารแห่งนั้นดำเนินการอย่างอิสระ 

(ผู้สนใจ ผมแนะนำให้อ่านข้อเขียนเรื่อง Civil War in France ของ Marx และคำนำใหม่ของ Engels ได้ที่เว็บไซต์ www.marxists.org/archive/marx/works/download/Marx_The_Civil_War_in_France.pdf ซึ่ง Engels พูดไว้ชัดเจนว่าIt is therefore comprehensible that in the economic sphere much was left undone which, according to our view today, the Commune ought to have done. The hardest thing to understand is certainly the holy awe with which they remained standing respectfully outside the gates of the Bank of France. This was also a serious political mistake. The bank in the hands of the Commune — this would have been worth more than 10,000 hostages. It would have meant the pressure of the whole of the French bourgeoisie on the Versailles government in favor of peace with the Commune.”)

ดังนั้น เมื่อเลนิน (Vladimir Llyich Lenin) ซึ่งเป็นสาวกคนสำคัญของ Marx นำพลพรรคบอลเชวิก (Bolshevik) เข้ายึดอำนาจรัฐในรัสเซียเมื่อปี ๒๔๖๐ เขาจึงใช้วิธีเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเข้ายึดธนาคารชาติไว้ในกำมือเสียก่อน

สมัยนโปเลียนยังรุ่งเรืองอยู่ในยุโรป ก็เคยคิดจะบุกเกาะอังกฤษ โดยสถานที่แห่งแรกๆ ที่นโปเลียนวางแผนว่าจะยึกครองทันทีที่ยกพลขึ้นบกได้ก็คือ Bank of England” ซึ่งมีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิอังกฤษ และว่ากันว่าเก็บทองคำและทรัพย์สินมีค่าของ British Empire ไว้เป็นจำนวนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผมกำลังเขียนถึงบรรทัดนี้ ม็อบก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกรัฐบาลลงได้

ผมได้แต่หวังว่า เมื่อราษฏรชนะแล้ว ทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

การอภิวัฒน์ควรต้องก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยราษฏรจะมีอำนาจมากขึ้น และเพิ่มช่องทางให้สามารถต่อรองกันเอง ทุนผูกขาดจะถูกทำลาย เจ้าสัวที่ชอบผ่องถ่ายทรัพย์สินของสาธารณะไปเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวจะถูกดำเนินคดี ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจะถูกตราไว้ในกฎหมายและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง อุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่คนเล็กคนน้อยเคยเข้าถึงได้ อย่างค้าปลีกค้าส่งจะถูกดึงกลับมาเป็น Social Safety Net แทนที่จะถูกผลักเข้าไปอยู่ในกำมือของบรรษัทข้ามชาติแบบทุกวันนี้ ระบบตุลาการจะทรงประสิทธิภาพขึ้น ระยะเวลาในการพิจารณาคดีต่างๆ ควรสมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้ และสถาบันแห่งนั้นควรมี Accountability ต่อราษฏร การคอรัปชั่นจะถูกกำราบอย่างเด็ดขาด การเลือกตั้งจะต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม การใช้อำนาจของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จะต้องถูกตรวจสอบได้ การศึกษาและสาธารณสุขจะต้องมีคุณภาพและอย่างเพียงพอ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะถูกแก้ไขโดยมาตรการภาษี ฯลฯ

ผมขอจบบทความนี้ด้วยความตอนหนึ่งของ Marx ที่เขาเขียนไปถึง Dr. Kugelmann ต่อความเห็นเกี่ยวกับ "ม็อบปารีส" ว่า ...If you look at the last chapter of my Eighteenth Brumaire you will find that I say that the next attempt of the French revolution will be no longer, as before, to transfer the bureaucratic-military machine from one hand to another, but to smash it, and this is essential for every real people's revolution on the Continent....”

ผมก็หวังเช่นนั้น

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 พฤศจิกายน 2556
ภาพประกอบจาก ASTV/ผู้จัดการ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เกี้ยเซี้ยะ! มองอเมริกามาแก้ปัญหาไทย




ผมว่าคนไทยกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจาก "วิกฤติปิดหน่วยงาน" หรือ "Shutdown Crisis" ไม่ใช่นักธุรกิจโลกานุวัตร หรือผู้ส่งออกนำเข้าที่ไหนหรอกครับ

คือบรรดานักข่าวอย่างพวกผมนี่แหละ!

เพราะนอกจากจะต้องอดตาหลับขับตานอน คอยติดตามข่าวสารอ่านเกมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดกับประเทศเราแล้ว ยังโดนจังๆ ในกรณีที่ประธานาธิบดีโอบามาประกาศยกเลิกแผนการเดินทางมาเยือนภูมิภาคแถบนี้

อย่างกรณีของผมเอง ตอนแรกก็ว่าจะต้องไปร่วมประชุมสัมนาในงานเอสเอ็มอีโลกที่เรียกว่า 4th Annual Global Entrepreneurship Summit ซึ่งคุณโอบามามีคิวมากล่าวเปิดที่กัวลาลัมเปอร์ แต่ก็ได้รับแจ้งตอนต้นเดือนว่าประธานาธิบดีขอยกเลิก โดยจะส่งเป็นภาพเสียงมาแทน เล่นเอาเรา "ผงะ" และหันมาจริงจังกับ Shutdown Crisis ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะคิดว่ามันคงต้องเอาเรื่องพอควร เพราะขนาดประธานาธิบดียังไม่กล้าจากบ้านไปไหน

แม้ว่าขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ทุกคนจะโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว เพราะบรรดา Elite ของประเทศซึ่งทำหน้าที่อยู่ในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้ตกลงผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ทำให้วิกฤติสิ้นสุดลง (อย่างน้อยก็สิ้นสุดลงชั่วคราวจนกระทั่งกฎหมายฉบับนี้จะหมดอายุลงอีกคราในราวต้นปีหน้า) และที่สำคัญคืออนุญาติให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปจนสามารถดึงให้รัฐบาลรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ หากกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านสภาฯ

สหรัฐอเมริกาผ่านวิกฤติมาได้อีกครั้ง ด้วย "การประนีประนอมกัน" ของผู้ที่ได้รับเลือกมาให้เป็น "ผู้นำ" ประเทศของพวกเขา!

ผมอยากจะให้ตราไว้ตรงนี้เลยว่า "การประนีประนอมกัน" นั้น แม้จะเป็นหลักการง่ายๆ แต่ก็เป็นหัวใจอันสำคัญอย่างยิ่งยวดของการเมืองอเมริกัน ช่วยให้ประเทศของพวกเขาผ่านวิกฤติครั้งสำคัญๆ มาได้โดยตลอด และช่วยรักษาและส่งต่อสาธารณรัฐของพวกเขามาได้จนถึงบัดนี้


ประนีประนอม

คนอเมริกันมาจาก "ร้อยพ่อพันแม่" ดังนั้น ความคิด ความเชื่อ ความเห็น ความฝัน ความหวัง อุดมคติ โลกทัศน์ ความกลัว และผลประโยชน์ ของแต่ละกลุ่ม ย่อมมีความหลากหลายและแตกต่างกันมากเป็นธรรมดา

จากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง จากดำไปขาว...ไปเหลือง...ไปน้ำตาล

เรียกว่า ไม่ใช่เฉพาะเสื้อเหลืองเสื้อแดง แต่เป็นสารพัดสี และความคิดความเห็นที่แสดงออกก็หลากหลายมาก มีตั้งแต่สุดขั้วด้านหนึ่งไปจนสุดขั้วอีกด้านหนึ่ง

การประนีประนอม" จึงสำคัญมากในสังคมแบบนั้น!

รัฐธรรมนูญอเมริกันจึงสั้นๆ กว้างๆ เพื่อให้คนทุกกลุ่มที่มาจาก "ร้อยพ่อพันแม่" ยึดถือหรือพึ่งพิงได้เหมือนกันหมด

ดูไปแล้ว รัฐธรรมนูญอเมริกันก็คล้ายๆ กับคัมภีร์พันธสัญญาเดิมนั่นแหละ ที่บางครั้งคนสองกลุ่มที่มีความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็สามารถนำไปอ้างเพื่อทิ่มแทงอีกฝ่ายหนึ่งได้

สมดังคำของ Mr. Justice Holmes ที่ว่า "A constitution is made for people of fundamentally differing views.”

และกระบวนการประนีประนอมกันก็สำคัญในทางปฏิบัติสำหรับสังคมอเมริกันด้วย เพราะนอกจากจะระบุไว้เป็นกฎหมายแล้ว ยังมีกระบวนการในที่ลับซึ่งสำคัญมากพอกัน

อย่าลืมว่าอเมริกาเป็นประเทศที่มี Lobbyist อย่างถูกกฎหมายจำนวนมากมายทำงานอยู่ในทุกวงการ พวกเขามีเป้าหมายให้คนที่มากกว่าสองกลุ่มขึ้นไปซึ่งมีความเห็นไม่ลงรอยกัน สามารถตกลงกันได้ด้วยวิธีเจรจา ประนีประนอม ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน หรือยื่นหมูยื่นแมวกัน....ให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้โดยราบรื่นภายใต้กรอบของกฎหมาย


หากยังตกลงกันไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็ยังมี "ศาลสูง" หรือ Supreme Court ให้พึ่งได้เป็นไม้สุดท้าย

Supreme Court มีหน้าที่ตัดสินความขัดแย้งทุกเรื่องในสังคมอเมริกัน เรียกว่าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดยยึดเอารัฐธรรมนูญเป็นไม้บรรทัด

เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอย่างการเต้นระบำโป๊ หรือการที่จู่ๆ ตำรวจเอาประแจมาล็อกล้อรถยนต์ที่เราจอดไว้ในที่สาธารณะและลากไปโดยพละกาล ไปจนถึงเรื่องสำคัญระดับชาติอย่างการที่คนของประธานาธิบดีไปแอบดักฟังและขโมยเอกสารของฝ่ายคู่แข่งทางการเมือง ล้วนอยู่ในขอบข่ายที่ Supreme Court วินิจฉัยตัดสิน (ว่ากระกระทำนั้นๆ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่) ได้ทั้งสิ้น

ข้อสรุปของผู้พิพากษา 5 คนใน 9 คน ถือเป็นอันสิ้นสุด

และคำตัดสินย่อมศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ว่าคนที่ถูกตัดสินให้เสียประโยชน์จะไม่พอใจและผิดหวังในตัว Supreme Court แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม

คุณสมพงษ์ สุวรรณจิตรกุล นักเขียนนักแปลซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ เป็นเวลานานเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่วิกฤติการณ์คดีวอเตอร์เกตกำลังจะถึงศาลสูงและรู้แน่แล้วว่าประธานาธิบดีนิกสันอาจต้องมีอันเป็นไปถึงขั้นติดคุกติดตาราง และบรรดาวงในของทั้งสองพรรคและแกนนำของประเทศในขณะนั้น ได้ตกลงไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้วว่าให้ประธานาธิบดีลาออก แล้วจะมีกระบวนการ Pardon ให้ และหาทางยกย่องให้เกียรติในทางอื่น เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี

ท่านประธานาธิบดีได้หันไปปรึกษา Alexander Hiag ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้นว่าท่านมีทางเลือกอื่นหรือไม่นอกจากลาออก

อเล็กซานเดอร์ เฮก ตอบนิกสันไปว่า "You've got the army.”

เล่นเอาประธานาธิบดีต้องถอนหายใจเฮื้อกใหญ่ เพราะความหมายของคำพูดนั้นคือหมดหนทางแล้ว เพราะถ้าจะดึงดันก็ต้องปฏิวัติรัฐประหารกัน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในสังคมอเมริกัน

(ประธานาธิบดีนิกสันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

แม้ตลอดระยะเวลากว่า 200 ปีตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐของพวกเขามา ความเห็นของศาลสูงสหรัฐฯ ก็ใช่ว่าจะคงเส้นคงวาตรงเป๊ะไปเสียทุกเรื่อง เช่นครั้งหนึ่งเคยตัดสินว่าการที่คนขาวกับคนดำต้องแยกกันเรียนแยกกันใช้ชีวิตนั้นไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่อีก 60-70 ปีต่อมาก็ว่ามันขัดรัฐธรรมนูญ เพราะมันเป็นสิทธิของคนดำที่จะนั่งเรียนในห้องเดียวกับคนขาวได้ ดูหนังโรงเดียวกับคนขาวได้ หรือขึ้นรถบัสคันเดียวกับคนขาวและนั่งด้วยกันได้ และ...เป็นต้น ซึ่งหมายความว่าความเห็นของศาลสูงก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมและศีลธรรมของยุคสมัยเช่นเดียวกัน

แต่ทว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของคำตัดสินและความเชื่อถือในตัวศาล ยังคงไม่สั่นคลอน

ผมคิดว่าวันใดที่ความเชื่อถือในตัวศาลสูงสหรัฐฯ เกิดสั่นคลอน จนเกิดความคิดในมวลหมู่ราษฎรส่วนใหญ่ว่าศาลสูงไม่ยุติธรรมและพึ่งไม่ได้ อาจจะด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เช่นเกิดสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตหรือความโน้มเอียงเชิงเล่นพรรคเล่นพวกต่อตัวผู้พิพากษา 9 คนนั้น หรือความคิดความเห็นของบรรดาผู้พิพากษาเหล่านั้นเกิดล้าสมัยตามไม่ทันค่านิยมและศีลธรรมของยุคสมัย วันนั้นจะต้องเป็นกลียุคของชาวอเมริกันเป็นแน่แท้

               (55 คนประชุมร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2330 และใช้มาจนกระทั่งทุกวันนี้)
ประนีประประนอม

ที่เล่ามานั้นเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของกระบวนการประนีประนอมของสังคมอเมริกันที่ถูกออกแบบมาเพื่อคลี่คลายวิกฤติของสังคม และเป็นมรดกตกทอดมาจากไอเดียของบรรดา Founding Fathers หรือคณะผู้นำเมื่อ 200 กว่าปีก่อน ร่วมสมัยกับช่วงก่อร่างสร้างสยามของราชวงค์จักรี

ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นสาธารณรัฐแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ ก่อตั้งมาพร้อมๆ กับกรุงเทพฯ โดยเมื่อเราย้อนไปดูไอเดียของผู้นำของพวกเขาในตอนนั้น เราก็จะเข้าใจปัจจุบันได้

ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง เราย่อมเข้าใจปัจจุบันได้ถ่องแท้!

และถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง เราย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันนั้นเป็น "การประนีประนอม" หรือ "Compromise” ของความคิดเห็นหลายกระแส

กระบวนการได้มาซึ่งข้อสรุปแต่ละข้อในรัฐธรรมนูญอเมริกัน (เช่นการถกเถียง ศึกษา วิเคราะห์ ลงความเห็น และให้ความเห็นชอบ) ก็เป็นกระบวนการประนีประนอมเช่นกัน

สมัยเมื่อบรรดาผู้นำที่มาเรียกขานกันในตอนหลังว่า Founding Fathers จำนวน 55 คนไปประชุมร่วมกันที่ Independence Hall ฟิลาเดลเฟีย ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 17 กันยายน พ.. 2330 (เรียกกันในเวลาต่อมาว่า Constitutional Convention) รัฐบาลอเมริกันกำลังมีปัญหา และสังคมก็เริ่มมีปัญหาที่ทำท่าว่าจะแก้ไม่ได้ด้วยวิธีปรกติ เพราะปัญหาใหญ่ๆ จำเป็นต้องแก้ด้วยการเมือง

                    (หน้าแรกของรัฐธรรมนูญอเมริกันที่มีคำขึ้นต้นว่า  "We the People...")
หลังชนะสงครามปลดแอกต่ออังกฤษ (ที่เรียกว่า American Revolutionary War) ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน และสนใจแต่ตัวเองและรัฐตัวเอง ตั้งกำแพงภาษีกันเอง พิมพ์เงินใช้เอง และต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจปัญหาของประเทศโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ก้อนโตที่ก่อมาเพื่อสู้สงครามปลดแอก ทำเหมือนไม่่ใช่ปัญหาของตัวเอง

รัฐบาลกลางตอนนั้น (ดำเนินการภายใต้ธรรมนูญเดิมที่แต่ละรัฐมารวมกันแบบหลวมๆ เรียกว่า Articles of Confederations) ก็อ่อนแอ ถังแตก เก็บภาษีไม่ได้ เงินที่พิมพ์มาใช้ก็ด้อยค่า จะจ้างทหาร จ้างข้าราชการลำบาก แม้เกิดจลาจลก็ปราบไม่ไหว ฯลฯ

United States of America กำลังจะกลายเป็น Disunited States of America (ผมอยากจะให้ตราความข้อนี้ไว้เพื่อเปรียบเทียบกับสหภาพยุโรปในปัจจุบัน)

ผู้นำของแต่ละรัฐจึง "จำใจ" ต้องมารวมตัวกันเพื่อหาทางออก

ผมใช้คำว่า "จำใจ" เพราะพวกเขาไม่ค่อยเต็มใจในตอนแรก สังเกตุจากที่กว่าจะมากันครบองค์ประชุมได้ (7 รัฐจาก 13 รัฐ) ต้องใช้เวลาถึง 10 วัน และ Rhode Island ก็ไม่ส่งสมาชิกมาร่วมเลยตลอดการประชุม

อย่าลืมว่าพวกเขาล้วนเป็น Big Guys ในรัฐของตนๆ พวกเขาเป็นผู้นำธุรกิจ เป็นผู้นำรัฐบาลท้องถิ่น และเป็นนักวิชาชีพที่ประสบความสำเร็จ เช่น เจ้าของกิจการเรือสมุทรและกิจการอุตสาหกรรมจากทางเหนือและเจ้าของไร่ฝ้ายและบรรดาผู้ทรงภูมิจากทางใต้ 29 คนในจำนวนนั้นจบมหาวิทยาลัยจากอเมริกาหรืออังกฤษ กว่าครึ่งเป็นทนาย และอายุเฉลี่ย 42 ปี

ถ้าเทียบกับสมัยนั้นแล้ว พวกเขาคงต้องเป็นคนฉลาด รอบรู้ ทันสมัย ตื่นตัว และเป็นนักปฏิวัติ ถึงสามารถร่างรัฐธรรมนูญออกมาแบบนั้นได้

อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันที่เกิดจากมันสมองและข้อตกลงร่วมกันของพวกเขาในช่วงนั้นเป็นกรอบโครงสำคัญที่วางพื้นฐานให้ประเทศสหรัฐฯ สามารถพัฒนาขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยจนยิ่งใหญ่ทั้งในทางทรัพย์สฤงคารและอำนาจอิทธิพล และยังคงสำคัญยิ่งต่อชีวิตและวิญญาณของชาวอเมริกันอยู่ในปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานมากแล้ว

พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบ 17 อาทิตย์ โดยเห็นร่วมกันก่อนอื่นเลยว่า Article of Confederations มันโหลยโท่ย ต้องฉีกทิ้งโดยไม่ต้องหาทางแก้ไขมัน และต้องสถาปนาประเทศใหม่ขึ้นมาบนรัฐธรรมนูญอันใหม่เลย

พวกเขาใช้เวลา 2 เดือนแรก ชำแหละระบบสาธารณรัฐในอดีตตั้งแต่สมัยกรีกเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ณ ขณะนั้น แต่ก็ไม่พบระบบที่น่าเอาอย่าง พวกเขาจึงเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า "อะไรบ้างที่พวกเขาจะไม่เอา หรือจะตัดทิ้ง"

เช่น พวกเขาจะไม่เอาระบบ Parliamentary System ไม่เอาระบบกษัตริย์ ไม่เอากองทัพประจำการ เพราะพวกเขาพบจากการศึกษาระบบการเมืองในประวัติศาสตร์ว่า กษัตริย์สามารถควบคุมกองทัพเพื่อไปควบคุมรัฐสภาอีกทอดหนึ่งได้

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ระหว่างการประชุม ความคิดความเห็นของพวกเขาแยกเป็นสองขั้วในเรื่องสำคัญๆ อุปมาเหมือนเสื้อเหลืองเสื้อแดงในบ้านเราปัจจุบัน

อย่างประเด็นการจัดสรรอำนาจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐว่าจะแบ่งและคานกันอย่างไรนั้น ถือว่าสำคัญมากในช่วงเริ่มต้น


ความเห็นแตกเป็นสองขั้ว นำโดย Alexander Hamilton ฝ่ายหนึ่งที่เสนอให้รวบอำนาจสู่ส่วนกลางและสามารถวีโต้กฎหมายของรัฐในทุกกรณี (เขายังเสนอให้ประธานาธิบดีและสมาชิกสภามาจากขนชั้นสูงและดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต)


อีกขั้วหนึ่งนำโดย George Mason จากเวอร์จิเนียซึ่งสนับสนุน Individual Rights และเน้นออกแบบรัฐบาลกลางให้มีอำนาจน้อยเพื่อก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลให้น้อยที่สุด และให้รัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจเท่าเทียมกับรัฐบาลกลาง

ระหว่างสองขั้วก็มีความเห็นของ James Madison ผู้คงแก่เรียนซึ่งเคยศึกษาและนำเสนอต่อที่ประชุมถึงรายละเอียดของระบบสาธารณรัฐเท่าที่เคยมีมาบนโลก โดยเขาให้ข้อสังเกตุว่า "ไม่มีสมาพันธรัฐแห่งใดที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยการออกแบบให้อำนาจและขอบข่ายการดำเนินการของรัฐบาลกลางขัดแย้งกันกับรัฐบาลท้องถิ่น

เขาจึงเสนอว่ารัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นต่างต้องมีอำนาจ เพราะเขาเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่น่าวางใจ เขากล่าวครั้งหนึ่งในที่ประชุมว่า "If man were virtuous, there will be no need of governments at all.”

แต่เขาเห็นว่ารัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นไม่ได้มีไว้เพื่อแข่งขันกัน และรัฐบาลกลางมิได้ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมรัฐบาลท้องถิ่น แต่ทั้งคู่ต้องตั้งอยู่เพื่อร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของราษฎรอเมริกัน

และไอเดียของเขานี้เองที่กลายมาเป็นหลักการสำคัญของระบบการเมืองอเมริกันจนกระทั่งบัดนี้


โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับความคิดเขาและร่างเป็นหลักการในรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับความคิดสำคัญๆ ในรัฐธรรมนูญ ที่เห็นร่วมกันได้ด้วยการประนีประนอมทางความคิดของบรรดา Founding Fathers นั่นเอง

ตัวอย่างอันดีที่นักการเมืองรุ่นหลังน่า "เอาเยี่ยง" ก็คือผู้แพ้อย่าง Hamilton ที่เมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้ ก็ไม่ทำตัวขวางโลก แต่กลับหันมาสนับสนุนมติกลาง และช่วยพูดช่วยเขียนสนับสนุนและปกป้องหลักการของ Federalism ให้กระจายไปสู่สังคมวงกว้าง (แม้จะขัดกับหลักการที่ตัวเองเชื่อ) และข้อเขียนของเขานี้เอง ที่ต่อมาได้มีผู้รวบรวมพิมพ์กับข้อเขียนของ Madison และ John Jay และเรียกกันว่า "Federalist Papers” จนยึดเอาเป็นดั่งคัมภีร์การเมืองกันในภายหลัง แม้แต่ Supreme Court ก็มักนำไปใช้ประกอบในการตีความอยู่เสมอ

เมื่อ Benjamin Franklin หนึ่งใน Founding Fathers ผู้อาวุโสเดินออกจากประตูห้องประชุมในวันสุดท้าย หญิงสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยถามเขาว่า 
"Well, Doctor, What have we got? A republic or a monarchy?”
เขาตอบทันทีว่า "A republic, madam, if you can keep it.”

                            (ตัวอย่าง Federalist Paper หมายเลข 10)
และ ประนีประนอม

เป็นที่น่ายินดีสำหรับชาวอเมริกันที่ยังคงธำรงไว้ซึ่งสาธารณรัฐที่บรรพบุรุษออกแบบไว้ให้ แม้จะผ่านวิกฤติหลายครั้งและสงครามกลางเมืองใหญ่ครั้งหนึ่ง

แต่ก็รอดพ้นและพัฒนาต่อยอดมาได้ด้วยหลักการง่ายๆ แต่สำคัญอย่างยิ่งยวด ซึ่งเป็นแกนกลางของการเมืองอเมริกันเสมอมา

นั่นคือ "การประนีประนอมซึ่งกันและกัน" และนั่นเป็นความสามัคคีในความหมายของอเมริกัน ที่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนคิดและเชื่อเหมือนกัน

คนอเมริกันทราบจากประวัติศาสตร์ของตัวเองและของสาธารณรัฐมาแล้วว่า ถ้าเมื่อใดความคิดของผู้คนหรือผู้นำเกิดสุดขั้วและประนีประนอมกันไม่ได้ เมื่อนั้นสาธารณรัฐและสังคมของพวกเขาจะเกิดวิกฤติ ดังในช่วงก่อนและระหว่างสงครามกลางเมืองพิสูจน์ให้เห็นแล้ว

ตราบเท่าที่คนอเมริกันยังยึดเอา "การประนีประนอม" เป็นตัวตั้งดังที่บรรพบุรุษเคยทำมา วิกฤติการณ์ย่อมจะไม่เกิดขึ้น

แต่วิกฤติของอเมริกาที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ฉากนี้ ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้างล่ะ!

บ้านเมืองของเราตอนนี้ ต้องการคณะผู้นำประเภท Founding Fathers ที่เฉลียวฉลาด ทรงภูมิ รอบรู้ และทันสมัย และต้องเด็ดขาด พร้อมที่จะหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน เพื่อโละทิ้งระบบเดิมที่มีปัญหามากโดยไม่ต้องไปคิดแก้ไขมันอีก แต่ควรร่วมกันออกแบบระบบใหม่ขึ้นมาบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ล้วงลึกถึงประวัติศาสตร์ของตัวเองภายใต้บริบทของโลกสมัยใหม่ ความคิดใหม่ และความคิดความเชื่ออื่นบรรดามีในโลก สนับสนุนความคิดความเชื่ออันหลากหลาย และอาศัยจินตนาการที่กำกับด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์และบริบทของโลกสมัยใหม่อันนั้น แสวงหาข้อสรุปภายใต้หลักการ "ประนีประนอม" ที่จริงๆ แล้วก็อยู่คู่กันกับการเมืองไทยมาช้านานแล้วเช่นกัน

โดยผมเชื่อว่า ระบบใหม่จะก่อกำเนิดขึ้นได้ด้วย "การประนีประนอม" เท่านั้น

และ "การประนีประนอม" เท่านั้น จะทำให้สังคมไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
18 ตุลาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนตุลาคม 2556

คลิกอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้จากลิงก์ข้างล่าง:

**เราต้องยกขาจากหล่มโคลน