วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หลวงตามหาบัว พระครีเอตีฟ



ผมได้ยินชื่อหลวงตาบัวครั้งแรกจากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งให้ความเคารพหลวงตาอย่างสูงยิ่ง เวลาเอ่ยถึงหลวงตา เพื่อนคนนี้จะแสดงความศรัทธาอย่างมาดมั่นจริงจัง ถึงความเป็นพระอรหันต์ของหลวงตา พร้อมให้เหตุผลสนับสนุนในเชิงพุทธคุณบุญบารมี หลายประการ

ต่อมาอีกหลายปี ผมถึงเริ่มได้ยินข้อถกเถียงอันเผ็ดร้อน ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่เชื่อว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่เชื่อ ต่างฝ่ายต่างเยาะเย้ยถากถางกันต่างๆ นาๆ

นั่นเป็น Issue สำคัญ สำหรับหลวงตาบัว และยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้

ผมหวังว่าต่อไปจะมีคนเขียนชีวประวัติชั้นดีของหลวงตาขึ้นมาสักหลายเล่ม

ชีวิตของหลวงตาเป็นชีวิตที่น่าศึกษาและควรค่าแก่การเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง จากครอบครัวชาวบ้านธรรมดา หนึ่งในลูก 15 คนของพ่อแม่ การศึกษาไม่เคยได้รับ จนเข้าสู่ร่มกาสวพักตร์เมื่อเป็นหนุ่มแล้ว เคยเดินปฏิบัติธรรมธุดงค์ไปทั่วเขตแคว้นแดนอีสานและเหนือ และทันศึกษาพระธรรมและวิปัสนากรรมฐานโดยตรงกับหลวงปู่มั่น พระป่าซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 19 เคยจำวัดอยู่ที่วัดบวรนิเวศฯ สนิทสนมกับสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันเป็นอย่างดี และสนิทสนมกับสมาชิกแห่งราชวงศ์ชั้นสูงและราชตระกูล ตลอดจนพ่อค้าคหบดี ข้าราชการ และนักการเมืองจำนวนมาก แถมยังมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกด้วย

ผมเอง สนใจหลวงตาบัวในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งที่มี “ความคิดสร้างสรรค์สูง” มิได้สนใจในเชิงว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่พระอรหันต์

ผมสังเกตุเวลาท่านให้สัมภาษณ์ หรือให้ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ ก็เห็นว่าคำพูดและท่าทางที่แสดงออกนั้น ดุเดือดในบางครั้ง

ท่านรักใครก็แสดงความรักความเอ็นดู และท่านก็กล้าเกลียดชัง เมื่อท่านหมดรักหมดเอ็นดู ได้เหมือนกัน

ผมว่าท่านเป็นพระประเภท Creative โครงการเชิงสังคมที่ท่านทำมาอย่างหลากหลายนั้น แม้เดี๋ยวนี้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในสมัยโน้นถือว่าเป็นโครงการที่ก้าวหน้า โครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ ช่วยเหลือสังคม และ CSR ที่นิยมทำกันภายหลังนั้น หลวงตาบัวท่านทำมาตั้งนานแล้ว

แน่นอน โครงการที่เป็นที่สุดของท่าน ย่อมเป็นโครงการระดมทองคำจากทั่วประเทศ แล้วหลอมบริจากให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ไว้ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ โดย Timing ของการระดมทองคำครั้งนั้นเหมาะเจาะอย่างเหลือเชื่อ เมื่อหันกลับไปพิจารณาภายใต้บริบทใหญ่ของโลก ที่ความน่าเชื่อถือของเงินดอลล่าร์เริ่มถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ และราคาทองคำตลอดจนสินทรัพย์อื่นทะยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผมถือว่าอันนี้เป็นความริเริ่มสร้างสรรค์ (Innovation) ที่มีลักษณะเป็นแบบฉบับของตัวเอง เป็นต้นแบบ มิได้ลอกเลียนใครมา (Originality) ในเชิงนโยบายสาธารณะและในเชิงเศรษฐกิจมหภาค แม้กระทั่งในเชิงการลงทุนก็ตามที

ค่อนข้างแปลกที่ Campaign แบบนี้ ถูกคิดขึ้นมาโดยพระสงฆ์

ผมสังเกตุว่าพระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่นนี้จะมีความคิดสร้างสรรค์สูง อย่างสายท่านพระอาจารย์ชา ลูกศิษย์ก็สร้างเครือข่ายออกไปยังประเทศสำคัญในโลก และนำฝรั่งมาใฝ่ธรรมจำนวนมาก

ความคิดสร้างสรรค์ของคนอีสาน ส่วนใหญ่จะมาจากความแร้นแค้นยากลำบาก หรือความทุกข์ยาก และวิธีการ ตลอดจนกระบวนทัศน์ ในการออกจากทุกข์ ขจัดทุกข์ หรือพ้นทุกข์ ของมนุษย์นี่แหละ คือบ่อเกิดหนึ่งของ Creativity


ผมเข้าใจเอาเองว่ากระบวนการทำนองนี้แหละ ที่ช่วยให้เจ้าชายสิทธารถะ ซึ่งผมว่าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมากที่สุดหนึ่งในสามลำดับแรก ของบรรดามนุษย์ทั้งมวลที่เคยมีมา สามารถ Breakthrough ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้


อีกอย่าง การที่พระธุดงค์มีโอกาสได้เดินทางท่องไปในที่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง พบปะผู้คนอย่างกว้างขวางหลากหลาย พบปะสัตว์และพืช ดำเนินชีวิตอย่างสันโดดท่ามกลางธรรมชาติ ได้มีโอกาสตรึกตรองมาก สังเกตุมาก ทั้งสิ่งรอบตัวและในใจตัวเอง ย่อมช่วยหนุนเสริมให้ความคิดความอ่านกว้างขวางลึกซึ้งกว่าพระสายบ้านได้เหมือนกัน


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น สมัยที่ยังทรงผนวดอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ได้มีโอกาสเดินทางอย่างกว้างขวาง มากกว่ากษัตริย์พระองค์ใดในอดีตก่อนหน้านั้น จึงเกิดวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง กว้างขวาง ลึกซึ้ง จนเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินวิเทโศบายและรัฐประศาสโนบาย ที่ค่อนข้างปรีชาสามารถในเวลาต่อมา


ปฏิเสธได้ยากว่าสถาบันสงฆ์ไทยเป็นอนุรักษ์นิยมในดีกรีแรง แต่ก็ผลิตพระที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นระยะๆ


หลวงตามหาบัวคือหนึ่งในนั้น


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
7 กุมภาพันธ์ 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น