วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ผู้ก่อการร้าย ยิ่งปราบยิ่งเข้มแข็ง



วันนี้เป็นวันที่เกิดโศกนาฏกรรมโดยฝีมือผู้ก่อการร้ายครั้งที่โหดเหี้ยมและรุนแรงมากในฝรั่งเศส

เราขอประนามการกระทำอันโหดร้ายนี้ และขอแสดงความเสียใจกับญาตผู้บาดเจ็บล้มตาย อีกทั้งขออธิษฐานให้ดวงวิญญาญของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียชีวิต ไปสู่สุขติ ด้วยเทอญ

ผู้ก่อการร้ายก็เหมือนกับเชื้อโรค

ที่ยิ่งปราบยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งฉลาดในการเอาตัวรอด และกลายพันธุ์

คุณสมบัติสำคัญของสิ่งมีชีวิตคือรู้จักปรับตัวเพื่อหาทางเอาตัวรอด

ตั้งแต่เชื้อโรคแบคทีเรียไปจนถึงมนุษย์ที่ถือกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐและซับซ้อนที่สุด

ผู้ก่อการร้ายก็เป็นสิ่งมีชีวิตและมีคุณสมบัติเหมือนเชื้อแบคทีเรียที่รู้จักปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด

ยิ่งโจมตีมัน มันยิ่งหาทางเอาตัวรอด

ยิ่งโจมตีมันอีก มันก็ยิ่งเอาตัวรอดเก่งขึ้น

ยิ่งโจมตีมันหนักขึ้นไปอีก มันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และ Well-Organized” มากขึ้น

ตัวที่อ่อนแอจะถูกทำลาย แต่พวกที่แกร่ง ฉลาด และมีการจัดการที่ดี ย่อมอยู่รอด และทำให้เผ่าพันธุ์ของมันเข้มแข็งยิ่งขึ้น

สุดท้ายมันจะกลายพันธุ์ไปเป็นแบบที่ปราบยากหรือปราบไม่ได้เลย

การปราบโดยการโจมตีบุกทำลาย จึงไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดเพียงทางเดียว

แม้มันจะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนบริสุทธิ์ต้องมาบาดเจ็บล้มตายลง ด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้าย โดยอ้างสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ ที่ตัวผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไม่ได้ก่อขึ้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยเลย

ก่อนจะไปต่อ ผมอยากให้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 ซึ่งเรียบเรียงมาจากสำนักข่าวต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง

"เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า พวกเขาพบคนไข้ติดเชื้อแบคทีเรีย 'อีโคไล' ที่ดื้อยาปฏิชีวนะ 'ทุกชนิด' เป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ...


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คนไข้หญิงชาวรัฐเพนซิลเวเนีย อายุ 49 ปี ติดเชื้อแบคทีเรียโรคอุจจาระร่วง 'อีโคไล' (E. coli) ซึ่งเป็นเชื้อดื้อยา หรือซุปเปอร์บัก (superbug) ที่มีความต้านทานยาปฏิชีวนะมากมาย แม้แต่ยา 'โคลิสติน' (Colistin) ยาที่หมอจะใช้เมื่อยาปฏิชีวนะอื่นๆ ใช้ไม่ได้ผลแล้ว ก็ยังไม่อาจควบคุมการติดเชื้อได้

การค้นพบเชื้ออีโคไลดังกล่าว ถูกเปิดเผยในผลการศึกษาของศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติ วอลเตอร์ รีด ซึ่งปรากฏในรายงาน 'ยาต้านจุลชีพและเคมีบำบัด' (Antimicrobial Agents and Chemotherapy) ตีพิมพ์โดยสมาคมจุลชีววิทยาอเมริกัน โดยผลวิจัยนี้ระบุว่า เชื้ออีโคไลที่พบปนเปื้อนเศษดีเอ็นเอขนาดเล็กที่เรียกว่า 'พลาสมิด' ซึ่งจะส่งผ่านยีนตัวหนึ่ง ที่ชื่อว่า 'mcr-1' ทำให้ยาโคลิสตินใช้ไม่ได้ผล

ผลการศึกษาเผยด้วยว่า คนไข้หญิงรายนี้เดินทางเข้ารับการรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่งในรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 26 เม.. โดยทางคลินิกได้ส่งตัวอย่างไปตรวจสอบที่ศูนย์การแพทย์ฯ วอลเตอร์ รีด จนพบเชื้ออีโคไลในปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้ออีโคไลในสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ว่าเชื้อเข้าสู่ร่างกายของคนไข้ได้อย่างไร และเธอไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศตลอดในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

"นี่คือการอุบัติของแบคทีเรียที่ต้านทานยาปฏิชีวนะทุกชนิด ซึ่งจากความรู้ทั้งหมดที่เรามี นี่เป็นการพบยีน mcr-1 ครั้งแรกในสหรัฐเมริกา" ผลการศึกษาระบุ

ทั้งนี้ ปัจจุบันคนไข้หญิงรายนี้ได้รับการรักษา และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว โดยไม่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบคทีเรียตัวนี้ ขณะที่ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) และกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ กำลังสืบสวน และตามรอยผู้ที่ติดต่อกับคนไข้หญิง รวมทั้งที่สถานพยาบาลที่เธอเคยไป เพื่อดูว่าเชื้ออีโคไลดื้อยานี้แพร่ไปยังคนอื่นๆ หรือไม่

กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงการเกษตรสหรัฐฯ (ยูเอสดีเอ) ก็พบร่องรอยของเชื้ออีโคไลต้านยาโคลิสติน ในตัวอย่างลำไส้หมู ซึ่งยูเอสดีเอกำลังตรวจสอบว่า หมูตัวนี้มาจากฟาร์มแห่งใด เพื่อดูว่ามีสัตว์ตัวอื่นติดเชื้อด้วยหรือไม่

ขณะที่ ดร.อเล็กซ์ คัลเลน จากซีดีซี กล่าวว่า การค้นพบอีโคไลดื้อยาโคลิสตินทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนของหายนะที่อาจจะเกิดขึ้น หากคุณสมบัติต้านยาโคลิสตินในอีโคไลกระโดดข้ามไปยังแบคทีเรียตัวอื่น ที่ตอบสนองต่อยาโคลิสตินเท่านั้น ก็อาจทำให้เกิดซุปเปอร์บักที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้

อนึ่ง แม้นี่จะเป็นการพบอีโคไลดื้อยาโคลิสตินครั้งแรกในสหรัฐฯ แต่เชื้อแบบนี้เคยถูกพบแล้วในหลายประเทศในยุโรป แคนาดา และจีน ขณะที่ปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะกำลังเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในสหรัฐฯ โดยทุกปีจะมีประชาชนกว่า 2 ล้านคนติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาเกือบทุกชนิด ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23,000 คนทุกปี ส่วนองค์การอนามัยโลกเตือนว่า เชื้อดื้อยาเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสาธาณสุขยุคปัจจุบัน"

การตัดสินใจบุกอัฟริกานิสถาน อิรัก และซีเรีย ของชาติตะวันตก นับเป็นโอกาสอันประเสริฐที่สุดของบรรดาเหล่านักรบอิสลามที่เรียกตัวเองว่า "Jihadists”

เฉกเช่นเดียวกับการจ่ายยา Antibiotics แบบไม่ยั้งคิดของแพทย์ยุคก่อนนั่นเอง

มันเป็นสถานการณ์อันท้าทายสำหรับบรรดาผู้ก่อการร้ายและเชื้อโรค เช่นเดียวกัน

เป็นสถานการณ์ที่บังคับให้พวกเขาและพวกมันต้องพลิกแพลง ต้องเติบโต ต้องจัดองค์กรให้เข้มแข็ง (ทั้งในแง่การเงิน การตลาด การประชาสัมพันธ์ การจัดการ การทหาร การเมือง ฯลฯ ในเชิงขององค์กรก่อการร้าย และการแลกพลาสมิกกับเชื้อโรคสายพันธ์ใกล้เคียงหรือสร้างภูมิคุ้มกันยาปฏิชีวนะ ในเชิงของเชื้อโรค) และต้องปรับตัวเองให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา

การจ่ายยาปฏิชีวนะแบบล้นเกินทำให้เชื้อโรคดื้อยาฉันใด การโจมตีของกองทัพสหรัฐฯ และชาติตะวันตกต่ออัฟริกานิสถาน อิรักและซีเรีย ก็ได้ทำให้กลุ่มก่อการร้ายที่อ่อนแอล่มสลายไป และก่อให้เกิดกลุ่มกลายพันธุ์ซึ่งเข้มแข็ง รุนแรง และบ้าระห่ำยิ่งกว่าเก่า ฉันนั้น

สงครามในอัฟกานิสถาน อิรัก และซีเรีย เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายสามารถลองผิดลองถูกและคิดค้นนวัตกรรมการก่อการร้ายนานาประการ ทั้งในเชิงการทหารและในเชิงการจัดองค์กรและการจัดการ

จากผู้ก่อการร้ายเพียงไม่กี่กลุ่มที่จัดองค์กรแบบหลวมๆ ณ ขณะนั้น กลายมาเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งน่ากลัวและมีองค์กรจัดตั้งและเครือข่ายทั่วโลกในขณะนี้

มองไปที่สามจังหวัดภาคใต้ของเราก็ไม่ต่างกัน

เวลาเพียงไม่กี่ปี ที่ลูกหลานชาวบ้านธรรมดา ซึ่งเข้าร่วมขบวนการก่อการร้ายสามารถประกอบระเบิดเวลาที่จุดชนวนด้วยวิธีต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งที่ใช้เทคโนโลยีแบบบ้านๆ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย

วิธีการซุ่มโจมตีและหลบหนีก็พัฒนาขึ้นมาก

อีกทั้งแนวทางมวลชน จัดตั้ง และการเคลื่อนไหวต่อรองในเชิงนโยบายระดับสูง ก็เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

มันเป็นคู่ต่อสู้แบบไหนกัน?

อันที่จริง ประเทศไทยเราตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่ภูเขาจรดแม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม ป่าชายเลน ป่าฝนชุก ป่าโปร่ง ชายแดน ชายทะเล เกาะแก่ง วัด สุเหร่า โบสถ์ ศาลเจ้า ที่ร้อน และที่เย็น ฯลฯ ล้วนประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ ใช้ชีวิตประจำวัน ปะปน เก่งแย่ง แข่งขัน ผลิต ซื้อขาย แลกเปลี่ยน และเกื้อกูลกัน

ไทย จีน มอญ ฝรั่ง แขก ม้ง กะเหรี่ยง อีก้อ มูเซอ พม่า ไทยใหญ่ คะฉิ่น ปะโอ ลาวพุงขาว พุงดำ ลาวโซ่ง ยอง เวียดนาม เขมร ขมุ มาลายู หรือแม้แต่มอแกน ฯลฯ

แม้แต่ เชียงราย เพียงจังหวัดเดียว ยังมีประชากรถึง 30 ชาติอาศัยอยู่ คุณบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ เคยทำวิจัยสืบสวนสอบสวนไว้ในหนังสือ "30 ชาติในเชียงราย" นานมาแล้ว

ดังนั้น ถ้าคุณถามคำถามว่า "คนไทยคิดยังไง?” และ "เขาอยากจะให้เป็นอย่างไรในอนาคต?"

คุณกำลังหมายถึงเฉพาะคนเชื้อชาติไทย หรือที่เฉพาะมีเลือดและบรรพบุรุษเป็นเชื้อชาติไทยเท่านั้น หรือคุณกำลังหมายถึงคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย (หรือคนที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมาแล้วอย่างน้อยสามชั่วคน ซึ่งต้องรวมคนจีนที่บรรพบุรุษเคยอพยพมาด้วย)

แม้กระนั้นก็ตาม แม้จะเป็นแค่อย่างแรก คุณก็จะได้คำตอบที่หลากหลายแล้ว

มิพักต้องบอกว่าคำตอบจะหลากหลายมากเพียงใด ถ้ารวมอย่างหลังเข้าไปด้วย

และยิ่งคุณเปลี่ยนคำถามให้ซับซ้อนขึ้น และถามความเห็นมากอย่างขึ้น คุณก็จะได้คำตอบที่ต่างกันออกไปเป็นล้านๆ แบบ

สุดท้ายคุณอาจพบว่า คุณจะไม่สามารถตอบได้เลยว่า "คนไทยคือใครกันแน่?"

ยิ่งคุณเห็นประเทศไทยมากยิ่งขึ้น กว้างยิ่งขึ้น ลึกยิ่งขึ้น ครอบคลุมยิ่งขึ้น และนานยิ่งขึ้น คุณจะยิ่งเห็นและรู้จักว่า "ประเทศไทย" ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ต้องเป็นของเฉพาะคนเชื้อชาตินั้นเชื้อชาตินี้ หรือมีรูปทรงและความหมายที่ชัดเจนแบบนั้นแบบนี้ น้อยลงไปเรื่อยๆ

เพราะมันจะเบลอ

เบลอเพราะความหลากหลายของมัน

หลากหลายในเชิงเชื้อชาติ ความคิด ความเชื่อ ความใฝ่ฝัน และจินตนาการ

ไม่มีอะไรที่เป็นมาตรฐานหนึ่งเดียวที่ต้องยึดไว้ ถือไว้ และผูกพันไว้ กับทุกคนได้

ประเทศไทยกว้างใหญ่ หลากหลาย สำหรับทุกอย่าง เกินกว่าจะถูกบังคับให้ผูกติดไว้กับความคิด ความเห็น หรือความเชื่อหนึ่งใด

เพราะมันจะมีความคิด ความเห็น และความเชื่ออื่น ที่คอยแย้งอยู่เสมอ

แม้จะเป็นส่วนน้อย (ในช่วงนั้นๆ) ก็ต้องรับฟัง

ทว่า ปัญหาใหญ่ของเรา ที่จะเรียกว่าเป็นความท้าท้ายที่ลมๆ แล้งๆ ก็ได้ คือเราต้องการให้มันเหมือนกัน และมีมาตรฐานหนึ่งเดียว

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ก็ต้องการยกระดับมาตรฐานของตัวเอง ให้เป็นมาตรฐานกลางและมาตรฐานศักดิ์สิทธิ์ ด้วยกันทั้งนั้น

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ในโลกสมัยใหม่

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

14 พฤษภาคม 2559
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน พ.ค. 2559
ภาพประกอบจาก Pantip.com ผู้เขียนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้