วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์ VS อภิสิทธิ์








ถ้า X = 10
และ Y = 1

หลังเลือกตั้งคราวนี้ คนไทยเราอาจจะได้รัฐบาลที่ประกอบไปด้วยสูตรสองสูตรนี้คือ X+(ABC) หรือไม่ก็ Y+(ABC) ….ไม่อันใดก็อันหนึ่ง

หากเราแทนค่าด้วย X = อภิสิทธิ์ (เบอร์สิบ), Y = ยิ่งลักษณ์ (เบอร์หนึ่ง), และ ABC ก็คือบรรดาพลพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองประเภท Swinging Vote คือเมื่อพรรคใหญ่สองพรรคคะแนนมาสูสีกัน กินกันไม่ลง ต่างคนต่างสามารถเป็นแกนนำหรืออยู่ในวิสัยที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ พวก ABC ก็จะทรงอำนาจขึ้นมาทันที เพราะสามารถยักย้ายหันเหไปถือหางใคร คนนั้นก็จะชนะ

ดังนั้น เราอนุโลมแทนค่าให้ ABC = เนวิน, บรรหาร, สนั่น, พินิจและสหาย, สุวัฒน์, และอาจจะรวมสนธิบัง ด้วยก็ได้  
ทว่า พรรคพวกที่มัฆวานอาจจะแย้งว่า สูตรไหนก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ

X+(ABC) = Y+(ABC) = BS

เมื่อ BS = Bull Shit !

หรือ X+(ABC) = Y+(ABC) = Aa

โดย Aa = Animal ทั้งใหญ่และน้อย ซึ่งพวกเขาไม่อยากให้เดินเข้าไปเผ่นพ่านอยู่เต็มสภาฯ นั่นเอง


แต่เมื่อชนชั้นปกครองของเราเห็นควรร่วมกันให้กลับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งกันอีกครั้ง ตามหลักการแล้ว ไม่ X ก็ Y คนใดคนหนึ่ง ควรจะต้องได้นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...ใช่มั้ยละ

ในฐานะสื่อมวลชน ผมย่อมเคยพูดคุยกับทั้งคุณ X และคุณ Y มาแล้ว (ผมเคยสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวหรือ Exclusive มาแล้วทั้งคู่)

ผมจะไม่ขอประเมินความคิดอ่านของทั้ง X และ Y ณ เวลานี้ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเข้าข้าง แต่ผมประจักษ์กับตัวเองว่าทั้งสองเป็นคนบุคลิกดี แต่งตัวดี ปฏิพานไหวพริบดี แม้จะเชี่ยวชาญไปคนละด้านคนละทาง แต่เมื่อพูดคุยไปในเรื่องที่ตัวเองไม่เชี่ยวชาญหรือไม่อยากจะพูดจะตอบ ก็สามารถใช้ปฏิพานไหวพริบและคำพูดแก้ไขไปได้ค่อนข้างดี (บางที Y จะออกท่าออกทางร่วมด้วย ในขณะที่ X หนักไปทางใช้แต่เพียงคำพูดและเหตุผลล้วนๆ)

ทั้งคู่แสดงออกให้เห็นว่าเป็นคนสุภาพและอ่อนน้อม ซึ่งผมว่าในทางการเมือง โดยเฉพาะเมืองไทย นับเป็น Asset ที่สำคัญมากเลยทีเดียว

โดยรูปร่างหน้าตาแล้ว ทั้งคู่อยู่ในเกณฑ์หล่อ สวย น่ารัก...สำหรับคุณ X ผมชอบสังเกตุลูกกระเดือกของเขาเสมอ สมัยที่เขายังไม่อวบเหมือนเวลานี้ มันจะกระดกขึ้นลงเป็นจังหวะ เวลาเขาพูดหรือกลืนน้ำลาย น่าดูมาก ส่วนของคุณ Y นั้น ผมชอบมองดูทรงผมของเธอ ผมว่าเธอรักและให้ความสำคัญกับเส้นผมและทรงผมของเธอมาก ต้องมีคนคอยดูแลเสมอเวลาถ่ายรูป และทรงผมของเธอก็สวยเหมือนนกยูงทั้งตัวขึ้นไปรำแพนอยู่บนเรือนผม (ผมต้องขอยืมสำนวนของมนัส จรรยงค์ นักเขียนบทความระดับบรมครู)

ผมว่าทั้ง X และ Y มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมาก คือทั้งคู่เป็นคนมีโชควาสนาดีมาแต่กำเนิด



ทั้ง X และ Y เป็นคนโชคดีที่ได้ผู้ใหญ่คอยอุ้มชูมาตลอดชีวิต ทั้งสองคนเกิดมาถูกที่ถูกเวลาถูกจังหวะ เลยได้รับโอกาสในวันนี้

X มีพ่อที่มองการณ์ไกลและเครือข่ายของพ่อคอยอุ้มชูช่วยเหลือ ส่วน Y ก็มีพี่ชายและพี่สะใภ้ที่คอยฟูมฟักและให้โอกาส...

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มีเรื่องสำคัญและน่าตื่นเต้นให้ได้ลุ้นกันอยู่เรื่องนึง ที่่ผมว่ามันเป็นมิติซึ่งใหม่มากๆ 

นั่นคือ ถ้าเผอิญ Y เกิดได้รับมติเอกฉันท์จากการตัดสินใจเลือกของราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ก็ต้องถือว่า การเมืองไทยนี้ได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง...สำหรับผม มันเป็นก้าวยาวๆ เลยทีเดียวละ


เพราะสมมติว่าคุณ Y เกิดได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมา นอกจากจะเป็นเกียรติแก่สุภาพสตรีอีกเป็นจำนวนมากซึ่งมีอาชีพนักบริหารแล้ว ก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าในเมืองไทยเรานี้ สตรีจะได้รับเกียรติ ได้รับความไว้วางใจ และมีความสามารถที่จะรับผิดชอบในกิจการที่ใหญ่และสำคัญ ได้เท่าเทียมกับบุรุษเสียที

สังคมไทยนั้นไม่ได้ยอมรับผู้หญิงง่ายๆ อย่างที่มักคิดกันโดยผิวเผิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นปกครอง ซึ่งแต่เดิมมาได้ยึดเอาความเชื่อ ประเพณี และวิถีปฏิบัติแบบพราหมณ์มาเป็นสรณะ ก็มิได้ยอมรับราชกุมารีเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแต่เก่าก่อนร่อนชะไร แม้เมื่อในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ตรากฎมณเฑียรบาลขึ้น ก็ทรงมีพระราชดำริไว้ในข้อนี้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้ แม้รัฐธรรมนูญปัจจุบันจะมิได้กีดกันราชกุมารีอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เป็นเพียงในทางทฤษฎีเท่านั้น
เมื่อมองมาที่ชนชั้นชาวบ้านร้านตลาด คติเกี่ยวกับสตรีก็มิได้ต่างกัน
ในเสภาขุนช้างขุนแผน ซึ่งเป็นวรรณคดีสำคัญสำหรับชาวบ้านนั้น ตามสำนวนครูแจ้งวัดระฆังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นำมาบรรยายไว้ใน “ขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่” มีบทสั่งสอนลูกสาว ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของสังคมชนชั้นกลางและชั้นล่างต่อบทบาทของผู้หญิงไว้ดังนี้:

ครั้นเมื่อยามดึกกำดัดสงัดหลับ คนระงับนอนนิ่งทั้งเรือนใหญ่
ท่านยายปลอบลูกน้อยกลอยใจ แม่จะไปนิทรากับสามี
งามปลื้มแม่อย่าลืมคำสอนสั่ง อุตสาห์ฟังจำไว้ให้ถ้วนถี่
อันการปรนนิบัติของสตรี ถ้าทำดีแล้วชายไม่หน่ายใจ
สู้ถ่อมตัวปรนนิบัติคอยจัดแจง เมื่อเขาแข็งแล้วอย่าขัดอัชฌาสัย
รู้จิตผัวว่าสมัครรักท่าไร ก็ยักย้ายส่ายให้ถูกใจกัน

และยังบอกตำราทำกับข้าวให้ผัว (ซึ่งดูเหมือนจะเป็นยาโป้วทั้งสิ้น) ไว้ยาวเฟื้อย แต่ขอคัดมาบางส่วนว่า:
อุตส่าห์จำทำให้ผัวกินลอง ล้วนแต่ของมีกำลังทั้งสามสิ่ง
ทำให้กินเนืองเนืองเปรื่องขึ้นจริง ทุกสิ่งของแท้เป็นแน่นอน
ทำให้กินทุกวันหมั่นสำเหนียก แม้อ่อนเปียกก็จะแข็งเป็นไม้ท่อน
พอตกค่ำขึ้นท้ายไม่หลับนอน พายเรือคอนเหยาะเหยาะจนเคาะระฆัง





(อ้างจาก “คึกฤทธิ์วิจารณ์นักเขียน” ของทองแถม นาถจำนง สำนักพิมพ์แม่คำผาง, 1 พ.ค. 2554)
เอาแค่หอมปากหอมคอกันแค่นี้ก่อนครับ เอาเป็นว่าไทยเราไม่เหมือนฝรั่ง ซึ่งเขาผ่านเรื่องนี้กันมามาก โดยเห็นว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ที่จะเอาความสามารถของผู้หญิงมารับใช้สังคมการเมืองกัน นอกจากจะจำกัดให้เป็นแต่เพียง “เมีย” และ “แม่” เท่านั้น (บทบาทนี้ก็สำคัญมากนะครับ เพราะอย่างสังคมญี่ปุ่นที่เขาไม่ให้ผู้หญิงเข้ามายุ่มย่ามในเรื่องการปกครองเลย เพราะเขาให้ความสำคัญกับเยาวชนมาก เขาเห็นว่าแม่ควรทุ่มเทเพื่ออบรมสั่งสอนลูกๆ ให้เต็มที่ ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจและการเมือง ซึ่งดูเผินๆ เหมือนเขาดูถูกผู้หญิง แต่ลึกๆ แล้วไม่ใช่ทีเดียว)
ส่วนฝรั่งนั้น เขาไม่ปฏิเสธสตรีให้ได้มีบทบาทสำคัญเป็นผู้นำสูงสุด เอกสารที่สำคัญที่สุดของฝรั่งและอารยธรรมตะวันตกทั้งมวลคือพระคัมภีร์ไบเบิล ได้กล่าวถึงบทบาทของสตรีในฐานะผู้นำไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นเดโบร่าและยาเอล (อยู่ใน “ผู้วินิจฉัย” หรือ Book of Judges) หรือ มิเรียมและแอนนา (สองคนนี้เป็นศาสดาพยากรณ์ ทำนอง Spiritual Leader, คนแรกอยู่ใน “อพยพ” หรือ Exodus และคนหลังอยู่ในพันธสัญญาใหม่) หรือจูดิธ (รวมอยู่ใน Apocrypha เล่ม Book of Judith) หรืออย่าง “ประวัตินางรูธ” (Book of Ruth) ก็ว่ากันว่าเป็นฝีมือของผู้หญิงเขียน ฯลฯ
จึงไม่แปลกที่ฝรั่งจะมีพระนางเจ้าเอลิสเบธที่หนึ่ง พระนางเจ้าแคเธอรีนมหาราช พระนางเจ้าวิกตอเรีย หรือพระนางเจ้าเอลิสเบธที่สอง อยู่ในฐานะองค์อธิปัตย์
ในความเห็นของผม ผมว่าสังคมใดที่ไม่รู้จักใช้ “พลัง” ของผู้หญิงให้เกิดประโยชน์ สังคมนั้นย่อมจะไม่ก้าวหน้าไปได้มาก
“พลัง” ในที่นี้ย่อมหมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ ความหวัง ความฝัน ความเห็น อารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ  
และด้วยผู้หญิงประกอบกันเข้าเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ การละเลย “พลัง” ของผู้หญิง หรือไม่เปิดโอกาสให้ “พลัง” อันนั้นสำแดงตนออกมาได้สุดกำลัง ย่อมเป็นความสิ้นเปลืองอย่างใหญ่หลวงในเชิงเศรษฐกิจ
สังคมที่ใช้พลังเพียงครึ่งเดียว ย่อมสู้สังคมที่ใช้พลังเต็มที่ไม่ได้
โดยส่วนตัวแล้ว แม้ผมจะไม่เคยมีเจ้านายโดยตรงเป็นผู้หญิง แต่ผมก็เห็นความสำคัญของสตรีมาก เมื่อหันมาดูทีมงานนิตยสาร MBA ที่ผมเป็นบรรณาธิการอยู่และท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ก็เป็นฝีมือของสตรีเสียเป็นส่วนใหญ่ หรืออย่างกิจการบ้านช่อง ผมยอมให้ภรรยาเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่เรื่องธุรกิจในปัจจุบัน ภรรยาก็เป็นใหญ่ไปเสียแล้ว
ชีวิตและการงานก็เจริญงอกงามดี (ฮา)

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
27 พฤษภาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน พ.ค. 2554

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

33 Vignettes เล็กๆ แต่งาม



ผมเห็นรอยสักบนก้นคนครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ

เป็นการเห็นกับตาไม่ใช่จากรูปถ่าย

ผมตะลึง ทึ่ง ขำ ทว่าประทับใจ จนทุกวันนี้ยังจำได้ดี

คอนเทนต์ของมันประกอบด้วยตัวหนังสือโบราณ ตัวเลข ยันต์ และพญานาค ผสมปนเปกันทว่าได้สัดส่วนสวยงาม สีน้ำเงินแก่ออกดำแกมเขียว ลายพร้อย ดีไซน์เป็นกางเกงขาสั้นพันรอบตัวตั้งแต่เอวต่ำจนถึงโคนขา แม้แต่องคชาติก็ไม่เว้น ดูผ่านๆ เหมือนกำลังนุ่งขาสั้นรัดติ้ว แต่ไม่ใช่

งานสักเล็กๆ บนเนื้อหนังมังสามนุษย์เป็น Art Form เก่าแก่ เก่ากว่างานขีดเขียนบนผนังถ้ำ ก้อนหิน หรือหน้าผาซะอีก

งานเขียนก็เป็น Art Form เก่าแก่อีกอัน อาจเก่ากว่าการพูดด้วยซ้ำไป (ผมหมายถึงพูดเป็นประโยคไม่ใช่พูดออกเสียงเอ๊าะๆ แอ๊ะๆ อ้อแอ้ๆ) แต่การอ่านมักต้องอาศัยพลังแยะ สิ้นเปลืองทั้งกำลังกาย เวลา และกำลังสมอง ผมจึงไม่แปลกที่คนไทยอ่านหนังสือน้อย ยิ่งไปเจองานเขียนแย่ๆ มันช่างน่าเจ็บใจเสียนี่กระไร

สมัยก่อน งานสักกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กัน งานสักที่ไม่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์เพิ่งเกิดเมื่อไม่นานนี้

“ไสยศาสตร์” เอง ก็เป็นความสร้างสรรค์อีกแขนงหนึ่ง เพราะช่วยจัดการความกลัว ความหวัง ความฝันของมนุษย์ เตรียมใจให้มนุษย์พร้อมรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ในชีวิต

เจ้าของรอยสักรูปกางเกงบอกเด็กๆ ว่าถ้าได้ท่องคาถาไปด้วยก็จะทำให้ “คงกระพันชาตรี”

มันเป็นกลวิธี “ระงับความกลัว” อันแยกคาย และคนเราลองสามารถระงับความกลัวในเวลาคับขันหน้าสิ่วหน้าขวานได้ คนอื่นก็จะมองว่า “กล้า” ทันที

ความกล้าเป็นนิสัยของนักสร้างสรรค์ทุกคน ฝรั่งเรียกว่า Creative Courage

อย่างผมตอนนี้ ก็ต้องอาศัยความกล้ามาก กว่าจะพรมนิ้วลงบนแป้นคอมฯ เพื่อถ่ายทอด ความรู้สึก-นึก-คิด อารณ์ และความกระทบใจ ลงไปบน Word ว่างๆ ตรงหน้า โดยต้องให้ได้ก่อนเส้นตายที่พรรคพวกจะปิดต้นฉบับซะด้วย

33 เป็นตัวเลขที่อ่านจากทางซ้ายหรือขวาก็ได้ผลลัพธ์เดียวกัน ฝรั่งเรียกว่า Palindrome

กลุ่มตัวเลขแบบนี้มีความขลังในตัวเอง และเป็นใหญ่หรือมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าการเรียงเลขแบบอื่น ไม่เชื่อก็ลองดูป้ายทะเบียนรถ หรือเบอร์โทรศัพท์ ที่เอามาประมูลขายกันแพงๆ ดูก็ได้

33 Vignettes เป็นงานประดิษฐ์คำขนาดสั้นของผม ที่มุ่งให้แต่ละชิ้นของมันประกอบกุมขึ้นเป็นขุมปัญญาสำหรับผู้ประกอบการและ Players ทั้งมวลแห่งยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

แม้ผมจะจัดเป็นสี่กลุ่มย่อยและเรียงมันไว้จากซ้ายไปขวาหน้าไปหลัง แต่ท่านก็สามารถอ่านจากขวามาซ้ายจากหลังมาหน้าได้เช่นกัน 

(หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสาร MBA ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมในเวอร์ชั่น Blog นี้ ผมได้ตัดต่อจัดเรียงข้อความใหม่ และแยกออกเป็นบทความย่อยอีก 3 ตอน ซึ่งท่านจะสามารถอ่านได้โดยคลิกตามลิงก์ข้างล่างนี้ครับ)

อ่านต่อ: บทความชุด "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" Series 1+2+3 ได้ที่ลิงก์ข้างล่าง....คลิกได้เลยครับ


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
24 มีนาคม 2544

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิถีเมฆ



มิเพียง “ฟ้า” และ “ดาว” เท่านั้น ที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตคน “เมฆ” ก็หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไม่

เวลาเกิดความหวัง แรงบันดาลใจ และมองโลกในแง่ดี มนุษย์เรามักสมมติให้ “ดวงดาว” เป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์ เปล่งปลั่ง แวววาว สุกสกาว สุกใส สว่างไสว และให้ “เมฆ” แทนความอิ่มเอิบ สดสวย สนุกสนาน หรรษา เบิกบาน ปุกปุย บางเบา และไร้กังวล.....Sheen & Fell Good
ทว่า เวลาหดหู่ ดวงดาวก็จะริบหรี่ ห่อเหี่ยว หม่นหมอง ฟ้าก็จะมืดครึ้ม พิโรธคำราม และเมฆก็จะทะมึน ทรงอำนาจ น่ากลัว น่าหวาดหวั่น และร้ายกาจ....Gloom & Insidious
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เปรียบอินเทอร์เน็ตกับเมฆ แต่มารู้ตัวอีกที ก็เห็นว่าหมู่เมฆเหล่านี้มันมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่เข้าจริงๆ เสียแล้ว และมีนัยะสำคัญอย่างมาก จนจะละเลยไม่กล่าวถึง และไม่นำมา “ขึ้นปก” ของนิตยสาร MBA ไม่ได้เสียแล้ว
เดี๋ยวนี้ ใครๆ ก็ฝากชีวิตไว้กับอินเทอร์เน็ต ฝากข้อมูล ฝากตัวอักษร ฝากภาพนิ่ง ฝากภาพเคลื่อนไหว ฝากเสียง ฝากแฟ้ม ฝากสไลด์ ฝากข้อสอบ ฝากสินทรัพย์ ฝากสินค้า ฝากผลิตภัณฑ์ ฝากผลผลิต ฝากร้านค้าทั้งร้าน ฝากความคาดหวัง ฝากการบริโภค ฝากรสนิยม ฝากความเห็น ฝากความลับ และอะไรต่อมิอะไรไว้บนนั้น
ตั้งแต่จดหมายส่วนตัวไปจนถึงข้อมูลการเงินของบริษัทและข้อมูลความลับของรัฐบาล
Google App., 100% Web, Amazon Connected, Netflix Connected, Polyvore, Kaboodle, Ecademy, Swipy, Blippy, Shopsite, Facebook, Twitter, YouTube, Video-haulers, Social Media, E-commerce, E-learning, Social Commerce, PayPal, Peer-to-Peer Banking, P2P Financing, Sales Cloud....ฯลฯ ตลอดจน Cloud Software, Cloud App, และ Cloud System อีกเป็นจำนวนมากล้วนเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การตัดสินใจ และการบริโภคของคนรุ่นใหม่ และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา 24/7 และจากทุกสถานที่
ผมลองทิ้งเงินไว้ใน PayPal มาหลายปีแล้ว ก็รู้สึกสะดวก และปลอดภัยดี และราวๆ ปลายปี 2552 ผมก็ตัดสินใจเลิกใช้ Thumdrive และหันมาเขียนต้นฉบับลงบน Google Docs ก็รู้สึกสะดวก ประหยัด และปลอดภัยกว่า นักธุรกิจหลายคนที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็เริ่มนำ Operations ของกิจการไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตกันแล้ว ทั้งในเชิงการเงิน การขาย และการตลาด นัยว่า Cloud กับ SMEs เป็นของคู่กัน และกำลังไปได้ดีมากๆ ในต่างประเทศ กิจการอย่าง Salesforce.com, eBay, หรือ Google App เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้เพราะหากินกับ SMEs แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสำคัญๆ ก็เลิกทำระบบเอง หันมาฝากระบบ E-learning ของตนไว้กับ Cloud เอาเวลาไปมุ่งผลิต ยกระดับ และเพิ่มคุณภาพของ Content ตามความถนัดดีกว่า หรือแม้กระทั่งมูลนิธิ องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรไม่แสวงกำไรหลายแห่ง ก็หันมาเอาประโยชน์จาก Cloud ได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ น่ายกย่อง และประสบความสำเร็จ ช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากให้กับมวลชน
วิถีชีวิตแนวใหม่และเทรนด์เหล่านี้ จำเป็นสำหรับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักการตลาด นักโฆษณา หรือแม้กระทั่งรัฐบาล ให้ต้องศึกษาทำความเข้าใจกับมัน จริงจังกับมัน เพราะมันย่อมจะกระทบต่อกลยุทธ์ แบบแผนปฏิบัติ และการดำเนินงานของท่านอย่างจังเข้าสักวัน

บทความต่อไปนี้ เป็นเรื่องสั้น 4 เรื่อง ที่ผมทดลองเขียนขึ้น โดยใช้เทคนิคทางวรรณกรรม เพียงแต่มันจะบอกเล่าเรื่องราวขององค์กรจริง เทรนด์จริง ตลอดจนกิจกรรมธุรกิจที่มีจริง ที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ผมเขียนมันขึ้นมาจากเรื่องที่รับรู้มาจริง หาข้อมูลมาจริง พูดคุยกับแหล่งข่าวมาจริงในฐานะนักข่าว และใช้หรือประสบกับตัวมาจริงในฐานะตัวละคร และจากสถานที่จริง ยกเว้นการดำเนินเรื่อง ที่บางทีผมได้อาศัยจินตนาการปะปนเพิ่มเติมเข้าไปกับเรื่องจริง ช่วงเวลาในจินตนาการปนกับช่วงเวลาจริง และบทบรรยาย Landscape ในบทความสุดท้าย ที่ผมเสริมแต่ง Landscape ในจินตนาการ ต่อเติมเข้าไปกับฉากสถานที่จริง (สถานที่ในสามบทความแรกเป็นฉากจริงไม่ได้แต่งเติม) เพื่อเร้าอารมณ์ โดยคิดว่ามันมิได้กระทบต่อแก่นสารสำคัญ หรือบิดเบือนความจริงของกิจกรรมที่ผมต้องการสื่อเลย 

ตัวละครเกือบทุกตัวล้วนมีตัวตนจริง (ยกเว้นตัวละครประกอบบางตัวในบทความแรกและบทความสุดท้าย) แต่ผมได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ ตามที่เห็นสมควร โดยบทสนทนาและบทรำพึงรำพันกับตัวเองในเชิงกระแสสำนึกนั้น ผมแต่งมันขึ้น เพื่อให้มีความงามตามสมควรในเชิงศิลปะ

หวังว่าท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำจะพอใจ และจะช่วยสร้างจินตนาการให้ท่านตามสมควร

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับพิเศษ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2554