วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มหัลโกปเทศ = Country For Old Men






ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของกลุ่มซีพีเปรยขึ้นมาเล่นๆ เมื่อไม่นานมานี้ทำนองว่า ในการประชุมสำคัญๆ ของผู้บริหารระดับสูงในเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้น "เมื่อเปิดประตูห้องประชุมเข้าไปแล้วจะตกใจ เพราะจะเจอผู้ที่นั่งอยู่ในนั้นซึ่งล้วน 'หัวขาว' เกือบทั้งสิ้น"

คนที่ติดตามเรื่องราวของซีพีมาบ้างคงไม่แปลกใจ เพราะแม้แต่ธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งอายุย่างเข้า 77 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมวางมือ ถึงแม้จะอยู่ในวัยเกษียณมานานแล้ว ดังนั้นจะแปลกอะไรที่บรรดาผู้บริหารรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งช่วยเขาสร้างเนื้อสร้างตัวมาแต่ต้น จะยังคงเคียงข้างเขาอยู่ในวันนี้

ท่านผู้อ่านที่มีความทรงจำยาวหน่อย คงจำได้ว่าธนินท์เคยประกาศออกสื่อให้ได้รับรู้กันทั่วประเทศ ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ว่า ตัวเองจะเกษียณหลังจากนั้นอีก 5 ปี โดยจะถอยออกมาให้คำปรึกษาอยู่ข้างหลังแบบห่างๆ และจะส่งไม้ให้คนรุ่นต่อไปขึ้นมารับผิดชอบการบริหารต่อจากตน

แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยถามเรื่องดังกล่าวกับผู้บริหารท่านหนึ่งของซีพีที่นั่งฟังคำให้สัมภาษณ์ของธนินท์ที่พูดกับสุทธิชัย หยุ่นในครั้งกระโน้นด้วย ว่าทำไมธนินท์ถึงไม่ยอมเกษียณตามที่ได้ลั่นวาจาไว้

ผู้บริหารคนนั้นบอกว่าธนินท์ยังมีห่วงอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้ต้องตระบัดสัตย์ คือเรื่องเมืองจีนเรื่องหนึ่ง และเรื่องเทเลคอม (หมายถึง True) อีกเรื่องหนึ่ง

คนนอกฟังข้อสันนิษฐานนี้แล้วอาจคิดว่ามันยังฟังดูขัดๆ เพราะทายาทของตระกูลที่เข้าไปนั่งบริหารในตำแหน่งสำคัญๆ มาตั้งนานแล้ว ก็ดูเหมือนจะพร้อมรับช่วงต่อทุกเมื่อ และผู้บริหารรุ่นใหม่นอกตระกูลที่มีฝีมือก็มีอยู่แยะ

ดังนั้น หากให้วิเคราะห์แบบหยาบๆ ก็คงเป็นไปได้สองอย่าง คือตัวธนินท์เองมองว่าคนรุ่นใหม่เหล่านั้นยังคงไม่พร้อม และยังต้องได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมจากตัวเองและผู้บริหารรุ่นเก่าอยู่ หรือไม่ธนินท์ก็มองว่าตัวเองเก่งที่สุด และยังคงจะเก่งต่อไป ถึงแม้อายุจะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ตราบใดที่ยังไหวอยู่ ก็จะต้องทำงานบริหารและตัดสินใจต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะไม่ไหวและสมองจะสั่งการช้าลง หรืออาจจะทั้งสองเหตุผลนั้น ที่ธนินท์ยังไม่ยอมวางมือ

ไม่ใช่ซีพีองค์กรเดียวที่เผชิญกับภาวะแบบนี้

องค์กรสำคัญๆ ส่วนใหญ่ในเมืองไทยจำนวนมากเวลานี้ ถูกควบคุมและตัดสินใจโดยคนแก่

แม้แต่การเมืองระดับสูงของไทย ก็ถูกควบคุมและคัดหางเสือโดยบรรดาคนแก่เสียเป็นส่วนมาก

ที่สำคัญคนแก่เหล่านี้ มักไม่ค่อยยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่ยอมวางมือให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมารับผิดชอบแบบเต็มตัว แต่มักอ้างว่าที่ทำอยู่บัดนี้ก็เพื่อลูกหลาน

แต่โดยทั่วไปแล้ว ในเชิงจิตวิทยา คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่าคนรุ่นหลังไม่ได้เรื่อง คุณภาพแย่ลงทั้งในเชิงความสามารถและในเชิงจริยธรรม เทียบกับคนรุ่นตัวและคนรุ่นก่อนไม่ได้

จึงไม่แปลกที่เรามักได้ยินคนรุ่นก่อนโน้นต่อว่าคนรุ่น Baby Boom หาว่าเป็นพวกฮิ้ปปี้ รักอิสระเกินขอบเขต ไม่มีระเบียบวินัย เป็นพวก5 " และคนรุ่น Baby Boom ก็ดูถูกคนรุ่น Generation X และคนรุ่น Generation X ก็ต่อว่าคนรุ่น Generation Y และคนรุ่น Generation Y ก็กระแนะกระแหนคนรุ่น Generation Z ซึ่งบางทีก็ตั้งชื่อให้เสียใหม่ว่า Generation Me เพราะถูกหาว่าสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เป็นต้น

ทว่า ในความเป็นจริง อายุไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข ซะเมื่อไหร่!

อายุเป็นเรื่องจริง

คนเราเกิดมาแล้ว ต้องแก่ลง เสื่อมลงทุกวัน

ฝืนไม่ได้ และไม่มีทางได้

อย่างน้อยทุกวันนี้ มนุษย์ก็ยังฝืนความแก่ไม่ได้ ยังไม่มีความรู้หรือเทคโนโลยีที่จะฝืนมันได้สำเร็จ

ทางเลือกเดียวที่มนุษย์รู้จักในตอนนี้ คือต้องตายเสีย ถ้าไม่อยากแก่

เป็นความจริงที่ในประเทศสำคัญๆ ของโลก เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ตลอดจนประเทศต่างๆ ในยุโรป รวมถึงประเทศไทยด้วย จะมีคนแก่แยะขึ้น และอัตราการเกิดน้อยลง

สมัยที่ผมยังเล็ก จำนวนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่มาเล่นหัวกันในซอยแถวบ้าน มีมากขนาดสามารถแบ่งเป็นทีมฟุตบอลแข่งกันเองได้ แถมยังมีตัวสำรองอีกจำนวนหนึ่งด้วย การมีลูกครอบครัวละ 3-5 คน เป็นเรื่องธรรมดามาก เพื่อนผมบางคนมีพี่น้องตั้ง 9 หรือ 10 คน

ผิดกับสมัยนี้ที่นิยมมีลูกกันน้อยๆ อย่างมากก็ 2 คน ใครมีลูก 3 คนนี่ถือว่าเข้าขั้น "ลูกดก" แล้วหล่ะ แถมคนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้า อัตราอย่าร้างสูง และเริ่มมีทัศนะคติไปในทางที่ไม่อยากมีลูก นักเรียนนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่บอกว่าถ้ามีโอกาศได้แต่งงานในอนาคต พวกเขาก็คิดว่าจะไม่มีลูก และยังบอกอีกว่า กลุ่มเพื่อนๆ ของพวกเขาและเธอ ก็มีทัศนะคติแบบเดียวกัน เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

ผมได้ยินมาว่าคนระดับสูงใน คสช. ก็เป็นห่วงปัญหานี้เช่นกัน และคิดจะวางยุทธศาสตร์ให้คนไทยมีลูกให้มากขึ้น โดยให้ถือเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติและเป็นหน้าที่พลเมือง คล้ายกับที่สิงค์โปร์ทำไปแล้ว (ทำนอง "มีลูกเพื่อชาติ")

ข้อมูลจากกรมอนามัยล่าสุด พบว่าอัตราการเกิดของคนไทยลดลงจาก 800,000 คนในปีก่อนหน้า เหลือเพียง 600,000 คนเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา

ในขณะที่สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ว่าจำนวนประชากรนับแต่นี้ไปอีกสามสิบปีจะอยู่ในสภาพ "คงตัว" และจะมีสัดส่วนของคนแก่แยะขึ้นแบบก้าวกระโดด คือสัดส่วนของคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9-10% แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 14% ในปี 2564 และเป็น 20% ในปี 2574

การที่สังคมจะมีคนแก่แยะขึ้น ไม่ใช่เรื่องดีหรือเลว แต่เป็นเรื่องที่มันจะส่งผลกระทบกับภาพรวม และเป็นเรื่องที่ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับทุกคน

สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แบบลอยๆ แยกขาดจากมนุษย์

การมีคนแก่แยะขึ้นในขณะที่คนวัยทำงานน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนแก่ย่อมผลิตน้อยลง อยู่โดยอาศัยเงินออมหรือทรัพย์สินเดิม ทั้งเงินออมของตัวเองและเงินออมของคนอื่น เช่นของลูกหลาน และของสังคมโดยรวม (ที่ต้องรับภาระโดยผ่านการจ่ายภาษีที่จะต้องจัดสรรมาเป็นสวัสดิการต่างๆ เช่น บำเหน็จ บำนาญ บริการประกันสุขภาพ ฯลฯ และรับภาระโดยการเสียสละแรงงานและเวลาเพื่อให้บริการคนแก่)

เมื่อการผลิตน้อยลง Capital Formation ลดลง รายได้ของสังคมย่อมลดลง (หากประสิทธิภาพในการผลิตเท่าเดิม) การเติบโตทางเศรษฐกิจย่อมลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายสำหรับคนแก่ที่สังคมต้องรับภาระจะมากขึ้น

GDP ในอนาคตเมื่อประเทศไทยเต็มไปด้วยคนแก่ย่อมต่างจาก GDP ในอดีต

และถ้าคนแก่กลายเป็นภาระ ดังนั้น (ถ้าพูดแบบใจดำๆ) ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ทั้งด้านโภชนาการ ด้านสุขภาพ และด้านการแพทย์ ที่ช่วยให้คนอายุยืนขึ้น ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะรังแต่จะสร้างภาระให้มากขึ้น

ตลาดสินค้าและบริการก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนรูปแบบไป เพราะตลาดย่อมประกอบด้วยมนุษย์ เมื่อมนุษย์เปลี่ยนไป ตลาดย่อมเปลี่ยนแปลงตาม

สินค้าและบริการหลายอย่างจะหายไป โดยที่สินค้าและบริการใหม่ๆ สำหรับคนแก่จะต้องมากขึ้น และระดับราคาสินค้ากับบริการจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ซึ่งจะต้องกระทบกับอัตราเงินเฟ้อในอนาคต

ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ย่อมถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของประชากรด้วยเช่นกัน

ที่ดิน หุ้น ทองคำ ตลอดจนของสะสมต่างๆ จะไปต่อกันยังไง เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องเพ่งเล็งและคิดวิจัยกันอย่างจริงจัง

แน่นอน เศรษฐกิจของประเทศย่อมแก่ตัวลงด้วย

เมื่ออายุเฉลี่ยขององค์กรเพิ่มขึ้น องค์กรก็แก่ลง และตามปกติขององค์กรที่แก่ตัว การตัดสินใจ ความยืนหยุ่น และความไวต่อการเปลี่ยนแปลง ย่อมช้าลง ลดลง และน้อยลง

ความเฉื่อยชาจะมีมากขึ้น ไม่เชื่อลองเปรียบเทียบองค์กรแบบ Google หรือ Facebook ที่อายุเฉลี่ยของพนักงานค่อนข้างน้อยกับองค์กรเก่าแก่อย่าง General Motor ดูก็ได้ว่าองค์กรไหนไวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่ากัน

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาองค์กรแก่ๆ ของไทยดู เช่น องค์กรราชการของไทย หรืออย่าง การรถไฟ ว่ามันมีชีวิตชีวาขนาดไหน

เพราะสมัยที่คุณยังหนุ่มแน่น คุณอาจขับรถด้วยความเร็วสูงและชอบ Take Risk แต่เมื่อคุณแก่ตัวลง ทุกอย่างย่อมช้าลงในนามของ "ความรอบคอบ"

อัตราการก่อเกิดธุรกิจใหม่ๆ หรือที่เรียกเป็นภาษาสมัยนี้ว่า Start-Up ย่อมลดลงด้วย

ความมีชีวิตชีวาของระบบเศรษฐกิจโดยรวมก็คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ขนาด IMF ยังออกงานวิจัยมายอมรับว่า Speed of Growth” (หมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ) จะช้าลงหรือชะลอตัวลง

การเมืองในสังคมที่มากด้วยคนแก่ คงจะต้านการเปลี่ยนแปลงน่าดู เพราะคนแก่มักเน้นให้สถานะและผลประโยชน์ที่เคยได้คงเดิม หรือที่เรียกว่า Status Quo”

การเมืองที่ถูกคุมโดยคนแก่มักมีแนวโน้มที่จะออกกฎระเบียบอะไรเพื่อผลประโยชน์ของคนแก่และองค์กรเก่าแก่

คนใหม่ๆ ยากจะเกิด เพราะสภาวะผูกขาดโดยองค์กรเก่าแก่จะถูกปกป้อง เพราะอิทธิพลของคนเหล่านั้นต่อรัฐบาลหรือต่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะมีมากขึ้น

อีกทั้ง นักการเมืองก็คงจะต้องหันมาออกนโยบายที่เอาใจคนแก่มากขึ้น เพราะเป็นฐานเสียง

ทว่า นโยบายที่เอาใจคนแก่มักจะต้องเกี่ยวพันกับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ดังนั้น มันจึงไปกระทบกับผลประโยชน์ของคนรุ่นหลัง

ยกตัวอย่างเช่น นโยบายประกันสุขภาพที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก หรืออะไรก็ตามที่ต้องก่อหนี้ในวันนี้ ย่อมริดรอนผลประโยชน์ของลูกหลานที่จะเกิดมาในวันข้างหน้า เพราะพวกเขาต้องแบกภาระหนี้ ภาระดอกเบี้ย และภาระภาษีเพื่อการนี้

แต่นักการเมืองคงจะไม่สนใจ เพราะบรรดาลูกหลานที่ว่านี้ ยังลงคะแนนเสียงไม่ได้ ไม่เหมือนคนแก่ที่ลงคะแนนให้ตัวเองได้

ที่พูดมานี้ มิได้หมายความว่าคนแก่จะเป็นภาระไปเสียทั้งหมด

อย่าลืมว่าคนแก่ย่อมมีประสบการณ์มากกว่า มีทักษะสูงกว่า และมีสายสัมพันธ์กว้างขวาง เข้าถึงทุนได้ง่ายกว่า

คนแก่ที่ยังไม่หยุดริเริ่มสร้างสรรค์โดยยังพร้อมรับความเสี่ยงหรือยังมี “จิตวิญญาณแบบผู้ประกอบการ” (Entrepreneurial Spirit) เป็นกลุ่มคนที่น่ายกย่องและสนับสนุนและเอาเป็นแบบอย่าง

คนอย่าง Ray Krock เริ่มสร้าง McDonald’s ตอนอายุ 50 กว่า และพันเอก Harland Sanders ก็เริ่มสร้าง Kentucky Fried Chicken เมื่ออายุ 60 กว่าแล้ว Verdi ประพันธ์โอเปร่าเรื่อง Falstaff ตอนอายุ 80 เช่นเดียวกับเบโธเฟนที่แต่งซิมโฟนีหมายเลข 9 เมื่ออายุ 54 และตอนที่รัชกาลที่ 1 สร้างกรุงก็ทรงมีพระชนมายุมากกว่ากึ่งหนึ่งของพระชนม์ชีพแล้ว และ Peter Drucker ก็เพิ่งจะมาดังสุดขีดและสร้างสรรค์สุดขีดในฐานะ Management Guru ระหว่างช่วงอายุ 60-94 นี่เอง 

เชอร์ชิลนำอังกฤษสู้ฮิตเล่อร์เมื่ออายุ 65 เช่นเดียวกับนายพลไอเซนฮาวที่นำกองทัพสัมพันธมิตรยกพลขี้นบกในวัน D-Day เมื่ออายุ 54 และไมเคิลแองเจโลก็ปีนขึ้นไปวาดภาพบนเพดานโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ตอนอายุ 71 แล้ว หรือคนอย่าง แอ็ด คาราบาว เพิ่งจะก่อตั้งบุกเบิกกิจการ คาราบาวแดง” ตอนอายุ 50 นี่เอง และยังคงแต่งเพลงและ Produce งานเพลงให้ศิลปินรุ่นหลังอยู่อย่างต่อเนื่องแม้จะย่างเข้าวัยเกษียณแล้ว (อย่าลืมว่า Rolling Stone ยังตระเวนแสดงสดอยู่ และสมาชิกวงก็ยังแต่ตัวสไตล์เดิม ไม่ต่างจากสมัยที่พวกเขายังเป็นวัยรุ่น และ Mick Jagger ก็ยังกระโดดโลดเต้นอยู่อย่างเดิม แม้จะอายุ 71 แล้ว)

แม้ตัวอย่างชีวิตของคนเหล่านี้ จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังอย่างเราไม่กลัวความแก่ และทำให้เราวางใจได้ว่าสังคมในอนาคตที่คาดกันว่าจะเต็มไปด้วยคนแก่นั้นจะยังสร้างสรรค์ต่อไปและไม่หยุดผลิต

แต่นโยบายสาธารณะไม่ใช่เป็นเรื่องของความวางใจ เพราะไม่แน่ว่าคนแบบพวกเขาเหล่านี้จะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด

ดังนั้น นโยบายที่ว่าด้วยคนแก่จะต้องเป็นเรื่องจริงจัง และนโยบายที่ดีจะต้องดึงเอาจุดดีของคนแก่มาเอื้ออำนวยต่อสังคมโดยรวม และสนับสนุนกลไกที่จะป้องกันไม่ให้คนแก่กลายเป็นภาระของลูกหลานวัยทำงานในอนาคต (เช่นสนับสนุนธุรกิจประกันฯ และนโยบายที่จะสนับสนุนให้มีการดึงเอาประสบการณ์และทักษะของคนแก่มาเป็นพี่เลี้ยงให้คนรุ่นใหม่ และสร้างแรงจูงใจให้คนแก่วางมือจากการบริหารและการตัดสินใจเสีย เมื่อถึงเวลาอันควร)

นโยบายเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับองค์กร และระดับครอบครัว

ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงความแก่ของสังคมไทย หรือหลีกเลี่ยงที่จะรับภาระคนแก่ แต่เพื่อให้สังคมของเราเข้าสู่ความแก่ (หรือที่เรียกเป็นภาษาหรูๆ ว่า "สังคมสูงอายุ") อย่างสร้างสรรค์ที่สุด

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
3 พฤษภาคม 2558
ต้องขอขอบคุณรูปประกอบจาก www.gotomanager.com มา​ ณ ที่นี้ด้วย


วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

ระเบียบการเงินโลกใหม่ ที่จะกระทบกับไทย


พวกเราที่ติดตามภาวะเศรษฐกิจการเงินโลกอย่างใกล้ชิดย่อมรู้จักนโยบาย QE หรือ Quantitative Easing ดีอยู่แล้ว ว่าเป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยธนาคารชาติหรือธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Federal Reserve) ญี่ปุ่น (Bank of Japan) และสหภาพยุโรป (European Central Bank) แต่ส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่านโยบายอันนี้มันเป็นการเสกเป่าให้หนี้สินเดิมของรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หายไปราวกับมายากล

มันเป็นการยิงปืนนัดเดียวทว่าหวังให้ได้นกหลายตัว ทั้งการเพิ่มปริมาณเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงราคาสินทรัพย์ (ทั้งหุ้นและพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์) ทั้งหวังกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวไว้ไม่ให้สูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค และที่สำคัญคือปฏิบัติการลดหนี้ภาครัฐแบบแอบแฝง เพราะเป็นการกว้านซื้อหนี้ของตัวเองกลับมาถือครองไว้เสียเอง ซึ่งผมจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป

มันเป็นนวัตกรรมทางด้านนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคที่ชาติพี่เบิ้มของโลกคิดขึ้นมาใช้

และตอนนี้ ชาติสำคัญๆ ก็ถูกกระทบโดยนโยบายนี้อย่างจัง จนต้องทยอยลดดอกเบี้ยลงกันเป็นแถบ ทั้งจีน (จีนต้องลดดอกเบี้ยเพราะค่าเงินหยวนสูงขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับเงินเยน) อินเดีย และประเทศในเอเชียและโอเชียนเนีย หรือแม้แต่ไทยก็ตาม เพราะถ้าไม่ทำ ค่าเงินของตนก็จะแข็งขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือไม่ราคาหุ้นและสินทรัพย์จะสูงขึ้นโดยการเก็งกำไร

ดีไม่ดีในอนาคต หากจีนเจอทางตัน จีนอาจหันมาสมาทานนโยบาย QE แบบนี้ด้วยก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะขณะนี้ แม้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของจีนก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแล้ว ทว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังไม่ดีขึ้น และรัฐบาลจีนก็คงไม่อยากให้ประชาชนรู้สึกว่าตัวเองจนลง หากราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน และหุ้น ตกลงอย่างฮวบฮาบ

หรือแม้แต่สหรัฐฯ เอง หากภายในปีนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญยังไม่ดีขึ้นจริง และตลาดหุ้นทำท่าจะวิกฤติ ธนาคารกลางอาจกลับมาประกาศใช้ "QE4" อีกก็ได้ เพื่อป้องปรามไม่ให้ราษฎรรู้สึกว่าตัวเองจนลง หรือพูดแบบนักเศรษฐศาสตร์คือหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความมั่งคั่งของตน (Negative Wealth Effect) นั่นเอง


สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ได้พิสูจน์ให้เห็นไปแล้วว่า QE สามารถพยุงราคาสินทรัพย์ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ (ทั้งๆ ที่ฟองสบู่แตกไปแล้ว)

แน่นอน นโยบาย QE ที่ถูกปฏิบัติโดยยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งสามเส้า คือสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (ธนาคารกลางของสหภาพยุโรปประกาศว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรผ่านโครงการ QE เป็นวงเงินอย่างต่ำ 1 ล้านล้านยูโร โดยได้เริ่มเข้าซื้อไปแล้วเมื่อประมาณอาทิตย์ที่สามของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา) และญี่ปุ่น ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระดับโลก และย่อมส่งผลกระทบกับเราด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ในช่วงนั้น ได้รายงานให้เห็นถึง Impact ของกระบวนการอัดฉีดเงินของ ECB และ BOJ ว่าเฉพาะในช่วงสั้นๆ ตั้งแต่ต้นปีมาก็มีจำนวนมหาศาลแล้ว ดังนี้

"So far this year, $36 billion has flowed into European equity funds and $7.6 billion into Japanese stock funds, with $15 billion going to “international” developed-market equity funds, said fund tracker EPFR. The three categories together more than offset net outflows from US and emerging-market equities, which had previously enjoyed strong gains...

Behind these numbers are the asset-buying programs - also known as quantitative easing, or QE – instituted by the Bank of Japan and European Central Bank.

The BOJ's purchase of both bonds and stock index-based exchange-traded funds are topping up Japan's financial system each month with an average 6.7 trillion yen, or $56 billion."

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จู่ๆ ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสองสกุลนั้น เพราะการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโรและเยนและเงินของประเทศเพื่อนบ้าน ทว่าอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ (เพราะเงิน QE ของยุโรปและญี่ปุ่นบางส่วนหันไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือใน US Dollar Assets เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่า นอกจากนั้นการทำ Carry Trade โดยการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำในญี่ปุ่นและยุโรปเพื่อนำไปฝากหรือทำการซื้อหุ้นคืนตามโครงการ Share Buy-back ของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ ก็ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโร) หรือการที่ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบหลายปีที่ผ่านมาโดยตัวเลขเศรษฐกิจพื้นฐานไม่ได้รองรับแต่อย่างใด หรือการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ราคาทองเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติแล้วก็ดิ่งลง ราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งข้าว น้ำตาล ยางพารา ลดลงอย่างฮวบฮาบในระยะหลัง หลายส่วนเป็นผลกระทบโดยตรงจากการใช้ (และหยุดใช้) นโยบาย QE ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ทั้งสิ้น

การจะดำรงตนอยู่ในระเบียบโลกใหม่ให้ได้อย่างไม่ลำบาก จึงต้องเข้าใจมันให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะหาจุดยืนของเราในระเบียบโลกใหม่นี้ ซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของเรา จุดอ่อนจุดแข็งของเรา เพื่ออนาคตของลูกหลาน

กระแสสูงของการเปลี่ยนแปลง

"ระเบียบโลกใหม่" ย่อมส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตและผลประโยชน์และความมั่นคงปลอดภัยและความมั่งคั่งของเราในหลายแง่มุมด้วยกัน เพราะมันกำลังก่อให้เกิด "คลื่นของการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก"

ยิ่งเราไม่รู้เท่าทันหรือไม่สามารถทำความเข้าใจกับกระแสสูงของการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกได้ ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อม เพราะนอกจากจะไม่สามาาถเอาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ได้แล้ว ยังต้องถูกคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดพาไปอย่างไร้ภูมิต้านทาน ไร้อำนาจต่อรอง และไร้จุดหมายปลายทาง อย่างไร้จุดยืนที่มั่นคงปลอดภัยและเหมาะสมกับจุดแข็งจุดอ่อนและธรรมชาติของตัวเราเอง


"คลื่นของการเปลี่ยนแปลงระดับโลก" จะวางแนวทางและกำหนดกฎเกณฑ์ความเป็นไปของสังคมโลกตลอดจนกรอบพฤติกรรมของผู้คนในสังคมว่าจะทำอะไรได้ไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นตัวกำหนด "คลื่นลูกกลาง" และ "ระรอกคลื่นลูกเล็กๆ" หรือแม้แต่ "รอยกระเพื่อมวิบๆ วับๆ" นับแต่นั้นไปอีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง

บางช่วงก็นาน บางช่วงก็ไม่นานนัก

แล้วก็จะเกิดมี "คลื่นลูกใหม่" มาหักล้างเปลี่ยนแปลงหันเหและวางพื้นหรือชักนำกำหนดให้เกิดแนวโน้มใหม่ ที่อาจจะแปรเปลี่ยนหันเหเฉไฉไปจากเดิมบ้าง หรือกระทั่งหักกลบลบของเก่าและหันหลังกลับแบบ 180 องศาเลยก็เป็นได้

นักปราชญ์ นักปกครอง นักกฎหมาย นักการทหาร นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักการตลาด นักการเงิน นักการเมือง และนักอะไรต่อมิอะไร ที่ฉลาด รอบคอบ มองการณ์ไกล และลึกซึ้ง มักเข้าใจประเด็นนี้

ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ เราจะพบ "คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงระดับโลก" เหล่านี้เต็มไปหมด

การเปลี่ยนแปลงของแนวคิดหรือมุมมองที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติและต่อมนุษย์ด้วยกัน พัฒนาการของวิทยาศาสตร์และการทหาร การเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ หรือฉับพลันของภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศยักษ์ใหญ่ หรือการเปลี่ยนสถานะทางเศรษฐกิจจากจนเป็นรวยและจากรวยเป็นจนอันเนื่องมาแต่วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ สงครามครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคหรือความนิยมที่มีต่อสินค้าและบริการ ฯลฯ

เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด (และยังคงจะทำให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต) "คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก"

ตัวอย่างของคลื่นลูกใหญ่ที่เรากำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ก็มีเช่น การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีน การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์และการก่อเกิดของระบบโลกานุวัตร พัฒนาการอย่างต่อเนื่องแบบยิ่งมายิ่งเข้มข้นรุนแรงของดิจิตัลเทคโนโลยีและการสื่อสารทั้งมวล การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของประชากรโลกและช่องว่างการเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนที่ถ่างขึ้นเรื่อยๆ การรื้อฟื้นความเชื่อแบบสุดกู่ของศาสนาบางศาสนาอันเป็นที่มาของลัทธิและพฤติกรรมการก่อการร้าย และการเสื่อมสลายของระบบนิเวศในอัตราเร่ง...เป็นต้น

คลื่นเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มย่อยๆ อีกทอดหนึ่งเช่น ราคาโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและต่ำลงอันเนื่องมาแต่ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจจีนและการค้นพบนวัตกรรมใหม่ในการขุดเจาะแบบ Fracking ในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้หันเหไปสู่จีนทั้งในแง่การค้า การลงทุน และการเมืองระหว่างประเทศ โดยรวมถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อไปรอเชื่อมต่อกับจีนด้วยเงินภาษีของพลเมืองของตนเอง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยไปสู่ออนไลน์และการเติบโตของ E-commerce การเติบโตของสินค้าและบริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการเติบโตของพรรคการเมืองและกฎหมายที่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม...เป็นต้น

แน่นอน ผู้ที่มีญานทัศนะและวิสัยทัศน์ สามารถมองเทรนขาด หรือแม้แต่สามารถ sense ได้บ้าง ย่อมจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าพวกเขาจะประกอบการสิ่งไร

ดังนั้น แนวทางการลงทุน กลยุทธ์ธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด ของภาคธุรกิจเอกชน ย่อมต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ "คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลก" ใหม่นี้ด้วย

และการที่บรรดาชาติพี่เบิ้มของโลกหันมาพร้อมใจกันใช้นโยบาย QE นี้ ย่อมก่อให้เกิดคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระดับโลก อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ระเบียบการเงินโลกใหม่ อันน่าทึ่งและน่าอัศจรรย์ใจ

เพื่อให้ง่ายเข้า ผมได้เขียนแผนผังประกอบการทำความเข้าใจของท่านผู้อ่านดังนี้



ใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และบางประเทศในสหภาพยุโรป (เช่นอิตาลี สเปน กรีซ ไอร์แลนด์เหนือ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเยอรมัน) มีหนี้สินจำนวนมาก และเมื่อคิดเทียบเป็นร้อยละของ GDP ล้วนสูงกว่าอัตราของไทยมากมายนัก

ผมจะใช้ตัวอย่างของสหรัฐฯ ในการอธิบายว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และธนาคารกลาง (FED) อาศัยนโยบาย QE แฝงการลดหนี้สินภาครัฐของตัวเองลง

เว็บไซต์ www.cliffkule.com ซึ่งติดตามตัวเลขหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ (US National Debt) โดยแสดงยอดหนี้แบบ Real Time คือเพิ่มขึ้นทุกเสี้ยววินาที ได้แสดงตัวเลข ณ วันที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ (27 มีนาคม 2558) ว่ามีมากกว่า 18 ล้านล้านเหรียญฯ แล้ว

ลองคูณเป็นเงินบาทดูแบบคร่าวๆ ก็จะได้ประมาณ 590 ล้านล้านบาท นับว่ามากกว่า GDP ของไทยไม่รู้กี่เท่าตัว

นักทฤษฎีสมคบคิดหรือ Conspiracy Theory ถึงกับบอกว่าสหรัฐฯ คงไม่มีปัญญาจ่ายหนี้คืนแน่ ดังนั้นสหรัฐฯ อาจต้องก่อสงครามเพื่อล้างหนี้

ในจำนวน 18 ล้านล้านเหรียญฯ นั้น ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของตราสารหนี้ของหน่วยงานรัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill หรือ T-Bill) และ Asset-Backed Securities (ABS) ในรูปแบบต่างๆ โดยผู้ที่ถือครองส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงิน กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุน Hedge Funds ประชาชนทั่วไป และรัฐบาลต่างประเทศ เช่นธนาคารกลางของญี่ปุ่น จีน ไทย และธนาคารกลางทั่วโลก ที่ต้องนำเงินดอลล่าร์ในบัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve) ของตัวเองออกมาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทน

ในจำนวนนี้ คาดการณ์กันว่าเป็นของจีนอยู่เกือบ 4 ล้านล้านเหรียญฯ

ผู้ถือพันธบัตรและตั๋วเงินคลังเหล่านี้ย่อมมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นเอง และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงหน่วยงานเจ้าของตราสารเหล่านั้น ย่อมต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ซึ่งเฉพาะยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละวันก็เป็นจำนวนมหาศาลแล้ว

ทีนี้ เมื่อธนาคารกลางริ่เริ่มโครงการ QE เมื่อหลายปีก่อน (อ่านรายละเอียดใน "ล้อมกรอบ") ในทางปฏิบัตินั้น ธนาคารกลางต้องเข้ากว้านซื้อตราสารเหล่านี้ทุกเดือน (พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และ ABS) ในตลาดรอง ทั้งโดยการสั่งซื้อผ่าน Dealer/Broker บนกระดานโดยตรง และซื้อตรงจากพอร์ตของสถาบันการเงินผู้ถือตราสารเหล่านั้น เช่น ธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจ (Investment Bank) ธนาคารกลางของประเทศเจ้าหนี้ และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนประเภทต่างๆ (เช่น Hedge Fund หรือกองทุนตราสารหนี้ เป็นต้น)

สมมติว่าธนาคารกลางซื้อจากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลางก็เพียงแต่เครดิตบัญชีธนาคาพาณิชย์นั้นๆ เท่ากับเพิ่ม Reserve ให้กับธนาคารแห่งนั้น สามารถนำไปปล่อยกู้หรือซื้อสินทรัพย์ชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นได้ ซึ่งถือเป็นการอัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยในตัว โดยธนาคารกลางก็รับโอนตราสารเหล่านั้นมาถือไว้ในพอร์ตของตัวเอง (เดบิตบัญชีตราสารของรัฐบาล) เท่ากับธนาคารกลางได้โอนกรรมสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์มาเป็นของตัว

ดังนั้น At the end of the day ก็เท่ากับว่า ธนาคารกลางกลายเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตรง และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ต้องหันมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารกลาง แทนที่จะจ่ายให้กับธนาคารพาณิชย์เหล่านั้น

เห็นหรือยังครับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เล่นกลยังไง

เพราะเท่ากับว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้ตัวเอง แล้วก็จ่ายดอกเบี้ยให้ตัวเอง (ซึ่งอย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารชาติจีนและธนาคารกลางของชาติอื่น) ซึ่งเมื่อถึงปลายปี ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ก็จะต้องนำส่งเงินกำไร (หรือที่เรียกว่ารายรับมากกว่ารายจ่าย) คืนให้กับกระทรวงการคลัง ตามที่ระบุไว้ตามกฎหมายอยู่แล้ว

เท่ากับรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยนั่นเอง เพราะเมื่อจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารกลางไปแล้ว ก็ค่อยนำกลับคืนมาในรูปของเงินนำส่งคลังของธนาคารกลาง...ไปกลับ ก็เท่ากับ “เจ๊า” กันไป

ส่วนยอดหนี้ภาครัฐนั้น โดยเนื้อแท้แล้วย่อมลดลง เพราะถึงแม้ตัวเลขทางบัญชีจะยังคงเป็น 18 ล้านล้าน แต่บางส่วนได้ถูกซื้อกลับไปถือเองโดยธนาคารกลาง ซึ่งก็คือรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นเอง

ตัวเองเป็นหนี้ตัวเอง ก็ถือว่าหนี้หายไปแล้ว

มันเป็นการ "เสก" ให้หนี้หายไป โดยการพิมพ์เงินเพิ่ม แล้วนำไปกว้านซื้อหนี้ของตัวเองกลับคืนมา ไม่ต่างอะไรกับการเล่นกล หลอกคนที่ไม่ทันคิดให้รอบคอบหรือไม่เข้าใจกลไกเบื้องหลังนั่นเอง

เห็นไหมครับว่า ตัวเลขหนี้สินภาครัฐที่เราเห็นนั้นมันเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี ที่ในเนื้อแท้แล้วต่ำกว่านั้นมาก

พอรู้อย่างนี้แล้ว เราจึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถก่อหนี้เพิ่มเรื่อยๆ โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดยจำนวนหนี้สูงขึ้นไปกว่า 250% ของ GDP แล้ว เพราะถึงอย่างไร ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็สามารถพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาแล้วออกไปกว้านซื้อหนี้กลับมาทุกเดือนได้อยู่แล้ว

จะต้องกังวลอะไรอีก

นักการเมืองญี่ปุ่น (และสหรัฐฯ) ได้อาศัยกระบวนการก่อหนี้ (และลบหนี้) แบบนี้แหละ ในการสร้างนโยบายประชานิยมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจร้อยแปดโดยใช้นโยบายการคลังขาดดุล

และตอนนี้ นักการเมืองยุโรปก็เล็งเห็นจุดนี้เช่นเดียวกัน และได้เริ่มเลียนแบบญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ แล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา

สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่

ผลกระทบอย่างแรกของการทำแบบนั้นโดยธนาคารกลางคือราคาพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาครัฐที่ธนาคารกลางเข้าไปกว้านซื้อตามโครงการ QE ทุกเดือนเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เท่ากับธนาคารชาติเข้าไปปั่นราคาตราสารหนี้ภาครัฐโดยตรง ส่งผลให้ผลตอบแทนของตราสาร (หรืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรือ Yield) ลดลง (เพราะผลตอบแทนจะผกผันกับราคาพันธบัตร)

ณ วันที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ US Treasury Yields สำหรับ 12 เดือนอยู่ที่ 0.25% และสำหรับ 10 ปี เท่ากับ 1.98% เท่านั้นเอง

เห็นไหมครับว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เข้าแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อกดให้ดอกเบี้ยต่ำติดดินโดยอาศัยนโยบายแบบนี้เป็นเครื่องมือ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าภาวะแบบนี้จะกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค และจะเป็นผลดีต่อราคาสินทรัพย์ ทั้งระดับราคาหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็น Wealth ของครัวเรือนและประชาชนนั่นเอง

แต่การทำแบบนี้เป็นเวลานาน ย่อมทำให้การออมลดลง (เพราะดอกเบี้ยต่ำมาก) และผู้คนอาจจะใช้จ่ายเกินตัว (เพราะเงินได้มาเกือบฟรีและมีจำนวนมาก) พากันบริโภคอะไรที่จริงๆ แล้วพวกเขายังไม่จำเป็นต้องกินต้องใช้ ณ ขณะนั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าซื้อของที่ตัวเองยังไม่ต้องการสักเท่าไหร่ (เพราะมีแคมเปญ 0% 10 เดือน) อีกทั้งยังเกิดการเก็งกำไรในสินทรัพย์ เช่นหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ (เพราะมีเงินพร้อมจะปล่อยกู้อยู่เป็นจำนวนมากและดอกเบี้ยต่ำ อย่างในสหรัฐฯ ช่วงหลายปีมานี้ กิจการที่มีหุ้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างกู้เงินมาซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากตลาดฯ ที่เรียกว่า Share Buy-Back เพื่อทำให้จำนวนหุ้นลดลงและราคาหุ้นสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นรูปแบบหนึ่ง)

ส่วนในญี่ปุ่นและยุโรปนั้น นโยบาย QE ก็ส่งผลเช่นเดียวกัน โดยธนาคารชาติญี่ปุ่นถือว่าได้ทำเกินหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปอีกก้าวหนึ่งที่นอกจากจะกว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาครัฐแล้วยังเข้าซื้อกองทุน ETF อีกด้วย พูดง่ายๆ ว่าธนาคารชาติเข้าปั่นหุ้นโดยตรง (โปรแกรม QE ล่าสุดของธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศมาคือมีวงเงินประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ)

สถานการณ์ในยุโรปก็ไม่ต่างกัน เพราะแม้กระทั่ง Sovereign Bonds ที่ออกโดยกลุ่มประเทศที่มีปัญหาซึ่งเรียกว่ากลุ่ม "PIIGS” (Portugal, Italy, Ireland, Greece and Spain) ยังให้ผลตอบแทนต่ำมาก ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น Yield ของพันธบัตรของรัฐบาลสเปนอายุ 10 ปี ขณะนี้ต่ำเพียง 1.4% เท่านั้น ซึ่งลดลงจากที่เคยสูงถึง 7.6% ในปี 2012 หรือย่างของโปรตุเกสที่ลดลงจากปี 2012 ในระดับ 17.4% เหลือเพียง 1.5% เท่านั้นเอง

นี่เท่ากับต่ำกว่าตั๋วเงินคลังของกระทรวงคลังสหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงสูงกว่ามาก

เห็นไหมครับว่าผลของการแทรกแซงตลาดพันธบัตรโดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตามโครงการ QE นั้น ทำให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้นอย่างผิดปกติ อย่างที่ Mario Draghi ก็ออกมายอมรับว่า:

“Our purchases reduce returns on safer assets. This encourages investors to shift to riskier, higher-yielding assets. Pension funds, banks and other market participants that we buy securities from are likely to substitute these for other long-term assets thereby eventually pushing up prices more broadly”



ดังนั้น เมื่อระบบเศรษฐกิจการเงินของโลกมันเป็นระบบเปิด การดำเนินนโยบาย QE ของบรรดายักษ์ใหญ่เหล่านี้ย่อมต้องส่งผลสะเทือนไปทั้งโลก โอกาสที่เราจะฝืนกระแสโลกคงเป็นไปได้ยาก

ปัจจุบัน แม้ FED จะประกาศหยุด QE ไปแล้ว และตัวเลขเศรษฐกิจพื้นฐานของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้สดใสเท่าที่ควร ทว่าค่าเงินดอลล่าร์ก็สูงขึ้นอย่างผิดสังเกตุ US Dollar Index ซึ่งเป็นตัววัดค่าเงินดอลล่าร์เมื่อเทียบกับตระกร้าเงินสกุลสำคัญอีกหลายสกุล เพิ่มขึ้นประมาณ 20% นับแต่ QE หยุดลง

แสดงว่านักลงทุนส่วนใหญ่หันไปถือสินทรัพย์ในรูปของดอลล่าร์ (แทนการถือทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์ในรูปเงินตราสกุลอื่น ที่ราคาตกลงมากเมื่อเทียบกับดอลล่าร์) และโครงการ QE ของญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ก็มีผลโดยตรงต่อกระแสความนิยมอันนี้ (เนื่องเพราะ QE ของสองประเทศนั้น ทำให้ค่าเงินและดอกเบี้ยในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปตกลง จนนักลงทุนมองว่ามันจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าสินทรัพย์ในรูปดอลล่าร์)


ช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบาย QE นั้น ดัชนี้ S&P 500 เพิ่มขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2552 และเมื่อหันมาดูหุ้นไทยบ้าง สภาพการณ์ก็มิได้ต่างกันมากนัก หลังจากวิกฤติซัพไพรม์เมื่อปี 2551เป็นต้นมา และกองทุนต่างประเทศเริ่มหันเหเงินลงทุนจากตลาดสหรัฐฯ มุ่งสู่ตลาด Emerging Markets ดัชนี้ตลาดหลักทรัพย์หรือ SET Index เพิ่มขึ้นจากที่เคยต่ำสุด ณ ระดับ 400 จุด มาอยู่ในระดับประมาณ 1,600 จุดในช่วงที่ FED ประกาศหยุด QE โดยถ้าดูจากปลายปี 2553 ที่สหรัฐฯ เริ่มมีการใช้นโยบาย QE เป็นต้นมา SET Index ก็มุ่งหน้าเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว (จากระดับประมาณ 800 จุดในปลายปีนั้นมาสู่ระดับปัจจุบัน)


แน่นอน ตลาดหุ้นไทย (รวมถึงตลาด Emerging Markets อื่นๆ ทั่วโลก) ราคาแพงขึ้นมาได้เพราะนโยบายอัดฉีดเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ 
และการที่หุ้นมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน ย่อมทำให้เกิด Wealth Effect ที่แพร่สะพัดเข้าไปสู่สินทรัพย์ชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ งานศิลปะ และของสะสมบางชนิด เช่นรถยนต์คลาสิก งานศิลปะ นาฬิกา ของเก่า พระเครื่อง และของสะสมอื่นๆ ฯลฯ

ดร.ผทัยรัตน์ ภาสน์พิพัฒน์กุล อาจารย์หนุ่มแห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาผลกระทบของโครงการ Quantitative Easing (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ว่าได้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและราคาหุ้นของตลาดเกิดใหม่อย่าง ไทย ฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย หรือไม่อย่างไร (หัวข้องานวิจัยคือ "Spillovers of Quantitative Easing on Thailand, Indonesia and the Philippines Financial Markets”)

โดยงานวิจัยของผทัยรัตน์ได้ชี้ให้เห็นและแสดงหลักฐานอย่างน่าสนใจมากว่าโครงการ QE ของ Fed นั้นได้เป็นแรงส่งให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังบอกอีกว่าโครงการ QE ที่เป็นการเข้าซื้อ Mortgage-backed Securities ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าโครงการ QE ที่เป็นการเข้าซื้อตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรรัฐบาล

ดังนั้น เมื่อ QE หยุดลงและกระแสการลงทุนใหม่เริ่มหันหัวไปทางดอลล่าร์ อนาคตตลาดหุ้นไทยนับแต่นี้ย่อมมีแต่ทางลง แต่จะลงไปเท่ากับตอนที่ยังไม่มี QE หรือไม่อย่างไร ย่อมไม่มีใครตอบได้ เพราะเรายังไม่ทราบว่าผลกระทบของ QE ของญึ่ปุ่นและสหภาพยุโรปนั้นมีผลต่อเราอย่างไร

แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆ คือตอนนี้ค่าเงินของเราแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับเงินตราสองสกุลนั้น จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่าเราควรหันเหนโยบายการเงินของเราไปในทิศทางใดเพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกเช่นนี้

ผมอยากให้คนเก่งๆ และบรรดาผู้นำของเราที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของไทย ได้หันมาช่วยกันคิด ช่วยระดมสมองกัน เพ่งเล็งไปในประเด็นที่ผมพูดมานี้ ว่าเราจะถูกกระทบอย่างไรจากนโยบายแบบนี้ของบรรดาพี่เบิ้ม ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่มาก ผิดจากตำราเศรษฐศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนกันมา และเราควรจะทำหรือไม่ทำอะไรในอนาคต

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
27 มีนาคม 2558



วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

ทุกข์ของคนมีเงิน




ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 คุณธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย กับผม มักชวนกันไปกินเป็ดปักกิ่งที่ร้านเกรทเซี่ยงไฮ้ ตรงปากซอยสุขุมวิท 24 เป็นประจำ

เป็ดปักกิ่งร้านนี้อร่อยและคุ้มค่า

นอกจากหนังเป็ดอบ 2 จานพูนๆ แล้ว เนื้อเป็ดยังสั่งทำได้อีก 2 เมนู โดยเรามักให้ทำเมี่ยงและทอดกระเทียม

และพอสนิทกับพนักงานยิ่งขึ้น เพราะเรามากินกันบ่อย เขาก็จะแถมเมนูพิเศษให้อีก 1 อย่าง คือต้มกระดูกเป็ดผักกาดดอง เอาไว้ซดน้ำแกงร้อนๆ ควบคู่กันไป

กินกันสองคนแล้วอิ่มตื้อ ถ้าเป็นมื้อกลางวัน เย็นนั้นก็ไม่ต้องกินอะไร และถ้าเป็นมื้อเย็น บางทีคืนนั้นถึงกับนอนไม่หลับ แถมอิ่มเผื่อแผ่มาถึงเช้าอีกวันนึงเลยก็มี

ราคาเป็ดปักกิ่งสมัยนั้นคือ 400 บาท เมื่อรวมน้ำเก็กฮวยแล้ว หารกันตกสองร้อยกว่าบาทต่อมื้อ

นับว่าคุ้มค่ามาก

ทุกวันนี้ เป็ดปักกิ่งของร้านเกรทเซี่ยงไฮ้ราคา 1,500 บาท ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเหมือนเดิม

เป็ดก็ตัวเท่าเดิม เมื่อเฉือนหนังออกตามกรรมวิธีแบบมืออาชีพแล้วก็ได้หนังเป็ดอบจำนวน 2 จานพูนๆ เท่าเดิม และเนื้อเป็ดก็สั่งทำได้อีก 2 เมนูเหมือนเดิมคือเมี่ยงและทอดกระเทียม แถมต้มกระดูกเป็ดผักกาดดองร้อนๆ เช่นเดิม

จะให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากบอกว่า "เป็ดแพงขึ้น"

หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือว่า "เงินมีค่าลดลง" เมื่อเทียบกับเป็ด

ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "เงินเฟ้อ" หรือ Inflate นั่นเอง

เท่ากับราคาเป็ดปักกิ่งของร้านเกรทเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้น 275% ในระยะเวลาประมาณ 20 ปี

หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คือในรอบ 20 ปีมานี้ เงินบาทของเรามีกำลังซื้อลดลงในอัตราเดียวกัน

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนมีเงินและเก็บเงินไว้เฉยๆ ก็จนลงได้

การถือเงินสดไว้เฉยๆ จึงเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ทั้งเสี่ยงที่ค่าเงินจะลดลง และเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อเลือกเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุน แทนที่จะเก็บไว้เฉยๆ ซึ่งความเสี่ยงแบบนี้ในภาษาของนักการเงินเรียกว่า Opportunity Risk

เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ค่อยๆ ไต่ขึ้นจากประมาณ 300 จุด มาจนถึงประมาณ 1,600 จุด

ดังนั้น คนที่เอาเงินไปซื้อหุ้นแล้วถือครองไว้จนกระทั่งบัดนี้ ย่อมมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าตัว ในขณะที่คนที่ถือเงินสดไว้เฉยๆ หรือฝากธนาคารไว้ (ดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยในรอบ 20 ปีนี้คิดเป็นประมาณ 4% ต่อปี) ย่อมมั่งคั่งลดลง (เพราะเงินเฟ้อมากกว่าดอกเบี้ย)

เช่นเดียวกับผู้ที่ถือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำมาก

ลองคิดใหม่ว่า พันธบัตรรัฐบาลคือการที่รัฐบาลมาขอกู้เงินจากเรา โดยจ่ายเงินคืนเราในอนาคต โดยเงินจำนวนนั้นมีค่าลดลง (ลองพิจารณาเรื่องเป็ดปักกิ่งดูให้ดี)

เท่ากับรัฐบาลได้เปรียบเรามากเลย เพราะเอาเงินเราไปใช้ก่อน แล้วค่อยจ่ายคืนกลับมาในมูลค่าที่ลดลง

ดังนั้น ถามว่าเราควรซื้อพันธบัตรรัฐบาลไหม

ตอบว่า "ควรซื้อ" แต่ให้ซื้อแค่ใบเดียวหรือหน่วยเดียวพอ แล้วนำมาใส่กรอบแล้วแขวนไว้ข้างฝา เคียงข้างกับธนบัตรใบละ ๑,๐๐๐ บาท

เพื่อจะเอาไว้ประกอบการสอนลูกๆ หลานๆ ให้รู้เรื่องหลักการลงทุน และหลักเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง Inflation” หรือ "เงินเฟ้อ"

ลองคิดดู ว่าเมื่อลูกหลานโตขึ้น กระดาษสองใบนั้น จะมีค่าลดลงไปมากเพียงใดเมื่อเทียบกับระดับราคาสินค้า บริการ หรือแม้กระทั่งทรัพย์สินชนิดอื่นที่เป็นของหายาก (เช่นทองคำ ที่ดินย่านสำคัญ) และ Collectable Items (เช่นพระเครื่องและของสะสมอื่น) หากมองว่ารัฐบาลยังต้องการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายตามโครงการใหญ่ๆ อยู่ ในขณะที่รายได้ภาษียังคงจัดเก็บได้ห่างจากเป้าหมายมาก ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

อันที่จริง ถ้าเราเทียบค่าของเงินกับระดับราคาสินค้าบริการในรอบสิบกว่าปีมานี้ ก็จะเห็นได้ไม่ยากว่า เงินบาทมีค่าลดลงมาโดยตลอด

ดัชนีต่อไปนี้ เป็นข้อมูลส่วนตัวบางส่วนของผมเอง ซึ่งถือเป็นคนชั้นกลางในย่านสุขุมวิทซอยกลาง เทียบกันระหว่างปี 2542 กับปี 2552 และต้นปีนี้


.. 2542*
.. 2552
.. 2558
ดัชนีราคาผู้บริโภคของกระทรวงพาณิชย์ (เฉพาะเขตกรุงเทพ) (2554=100)
75.7
91.9
105.88
ค่ารถสองแถวจากปากซอยสุขุมวิท 39 มาที่บ้าน (แยกพร้อมศรี)
20
30
30
(เช้าก่อนเก้าโมงคิด 40 บาท)
ค่าตัดผมลูก ร้านปากซอยสุขุมวิท 51
100
250
350
ไม้ขนไก่ ซื้อจากรถซาเล้งที่ขับผ่านเสมอ
-
แบบก้านสั้น
-
แบบก้านยาว
ไม้กวาด จากซาเล้งคันเดียวกัน


110
150
35


170
220
55


220
320
80
ข้าวหอมมะลิเกรด A ถุงละ 5 กก. ซื้อจากวิลล่า มาร์เก็ต ซอย 49
160
260
280
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อทองหล่อ (ชามธรรมดาใส่ลูกชิ้นกับไส้ ไม่พิเศษ)
25
30
40
เบียร์ไฮเนเก้นขวดใหญ่ ที่ร้านภัตตาคารโคคา ปากซอย 39
80
140
225
ขาห่านอบหม้อดิน ที่ร้าน อัน อัน เหลา ซอยทองหล่อ (ราคาต่อขา)
80
100
120
เป็ดปักกิ่ง ที่ภัตตาคารเกร็ทเซี่ยงไฮ้ ข้างห้างเอ็มโพเรียม
(
เนื้อเป็ดทำเมี่ยง หรือทอดกระเทียมพริกไท แถมน้ำซุป)
400
1000
1500
ค่าเช่าสำนักงาน ที่ซอยอโศก (ราคาต่อตารางเมตร เริ่มอยู่ปี 2545)**
200
250
380
ราคาเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จำนวน 1 ดอลล่าร์ (เทียบก่อน ส.. 40)
25
34-35
32-33
แต้มสะสมคะแนนของบัตรเครดิตวีซ่า ธนาคารซิตี้แบงก์
ที่ใช้แลกตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ – โตเกียว***
96000
190000
90000+7000 บาท
นิตยสาร Vanity Fair ซื้อจากวิลล่า มาร์เก็ต ซอย 49****
225
395-450
450-525

*ยกเว้นค่าเช่าสำนักงานที่เป็นราคาของปี 2545, ราคาเงินดอลล่าร์ฯ ราคาเป็ดปักกิ่ง และราคานิตยสาร Vanity Fair ซึ่งเป็นราคาก่อนเดือน สิงหาคม 2540 เมื่อมีการลอยค่าเงินบาท
**
ราคานี้เป็นราคาแบบเพื่อนฝูงที่เราได้เงื่อนไขดีกว่าผู้เช่าอื่น
***
หน่วยเป็น Point
****
ขึ้นอยู่กับความหนาบางของฉบับนั้นๆ ถ้าหนาก็แพงหน่อย

เห็นหรือยังว่าค่าเงินบาทมันลดลงไปแค่ไหนเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการ ท่านผู้อ่านลองคำนวณเป็นร้อยละกันเอาเองแล้วกัน

เหตุการณ์แบบนี้ ย่อมทำให้คนที่ถือเงินสดไว้เฉยๆ เสียเปรียบ อย่างอดีตผู้บริหารระดับสูงที่ซื่อตรงไม่โกงกิน ของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ที่ตอนเกษียณได้รับเงินบำเหน็จ 3 ล้านบาท ปัจจุบันท่านอายุเจ็บสิบกว่าแล้วและอยู่คนเดียว ท่านว่าสิ่งที่ท่านกลัวที่สุดคือกลัวเงินหมดในขณะที่ยังไม่ตาย ท่านว่าเงิน 3 ล้านนั้นเดี๋ยวนี้ “มีค่า” ไม่มากนัก

หรืออย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งซึ่งได้รับมรดกมาเป็นเงินสดกว่า 10 ล้านบาทเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว (เธอไม่ได้รับเป็นที่ดินหรือบ้าน) เธอว่าแต่ก่อน เธอกินดอกเบี้ยอย่างเดียวก็สบาย แต่สิบกว่าปีหลังมานี้ แม้จะเปลี่ยนเงินฝากไปเป็นกองทุน หรือโปรแกรมต่างๆ ตามที่ธนาคารเสนอมา เปลี่ยนเข้าเปลี่ยนออกยังไง ก็ยังแย่ เธอบอกว่ามรดกก้อนนั้น เดี๋ยวนี้มัน “มีค่า” ไม่มากแล้ว แม้ตัวเงินต้นจะเป็นเท่าเดิมก็ตามที

อันที่จริงสิ่งที่เธอพูดนั้น พวกนักเศรษฐศาสตร์เขาเรียกว่าภาวะ “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ” นั่นเอง

ลองพิจารณาคำอธิบายของ John Maynard Keynes ในเรื่องนี้หน่อยเถอะ เพราะอธิบายได้เห็นภาพดีมาก เขากล่าวว่า Economists draw an instructive distinction between what are termed the “money” rate of interest, and the “real” rate of interest. If a sum of money worth 100 in terms of commodities at the time when the loan is made is lent for a year at 5 per cent interest, and is only worth 90 in terms of commodities at the end of the year, the lender receives back, including his interest, what is only worth 94½. This is expressed by saying that while the money rate of interest was 5 per cent, the real rate of interest had actually been negative and equal to minus 5½ per cent. In the same way, if at the end of the period the value of money had risen and the capital sum lent had come to be worth 110 in terms of commodities, while the money rate of interest would still be 5 per cent the real rate of interest would have been 15½ per cent.” (A Tract On Monetary Reform, 1st Edition, London 1923, หน้า 20-21)

Keynes ยังวิเคราะห์ไว้อย่างยืดยาวว่าในภาวะ Inflation นั้น บรรดาผู้ดีเก่าที่อยู่ได้ด้วยดอกเบี้ยและค่าเช่า จะเสียเปรียบเศรษฐีใหม่ที่เป็นนักธุรกิจและนักเก็งกำไร ตลอดจนพนักงานหรือคนงานที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินเดือนหรือค่าจ้าง (Keynes ใช้คำว่า The Investing Class, The Business Class, และ The Earner, อ่านละเอียดได้ในบทที่ 1: The Consequences to Society of Changes in the Value of Money)

ขอให้สังเกต Analysis อันนี้ว่าสอดคล้องหรือตรงข้ามกับสถานการณ์และ Chemistry ของตัวละครในประเทศไทยมากน้อยเพียงใดในรอบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา นับแต่เริ่มยุคฟองสบู่สมัยรัฐบาล “น้าชาติ” มาจนกระทั่งสิ้นสุดยุค “ยิ่งลักษณ์”

แนวโน้มแบบนี้น่าจะดำรงอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะไม่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารประเทศ พวกเขาย่อมมีแนวโน้มจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป ซึ่งนโยบายแบบนี้ มันจำเป็นต้อง Financing โดยวิธีที่ Keynes เรียกว่า Inflation as a Method of Taxation” ทั้งโดยการก่อหนี้ หรือไม่ก็ต้องพิมพ์เงินเพิ่มหรือลดค่าเงินลงเรื่อยๆ หากอยากจะหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีดังที่เป็นมา

อีกทั้งความนิยมในระดับโลกก็ยังคงมีแนวโน้มไปทางนั้น ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ สหภาพยุโรป ล้วนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์เงินเข้าไปซื้อหนี้ของรัฐบาลในตลาดรองตามโครงการ QE และกดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าความเป็นจริง (ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปในปัจจุบันนั้นน้อยมาก บางแห่งติดลบด้วยซ้ำไป) โดยรัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มเพื่ออัดฉีดเข้าไปในโครงการต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

ความนิยมในนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแนวนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ดีไม่ดียักษ์ใหญ่อย่างจีนก็อาจจะทำตามในอนาคตก็ได้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนยังทรงๆ ทรุดอยู่แบบนี้

ทว่า การก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ย่อมอันตราย และนำไปสู่กลียุคได้

ลองอ้างจากบทวิเคราะห์ของ Keynes อีกสักครั้ง และหวังว่าผู้กุมอำนาจรัฐปัจจุบันและในอนาคตจะได้ประโยชน์จากข้อสังเกตุนี้ด้วยว่า The active and working elements in no community, ancient or modern, will consent to hand over to the rentier or bond-holding class more than a certain proportion of the fruits of their work. When the piled-up debt demands more than a tolerable proportion, relief has usually been sought in one or other of two out of the three possible methods. The first is Repudiation. But, except as the accompaniment of Revolution, this method is too crude, too deliberate, and too obvious in its incidence. The victims are immediately aware and cry out too loud;…………….” (หน้า 64 อยู่ในบทที่เรียกว่า Public Finance and the Value of Money)

อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงคิดว่าเราเกลียดเงิน !

หามิได้ เราไม่ได้รังเกียจเงิน เพียงแต่ไม่อยากให้ฝาก Wealth ทั้งหมดของตัวเองไว้ในรูปของเงิน เท่านั้นเอง (หมายว่า Wealth คือความมั่งคั่งของเราแต่ละคนที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ และหาเพิ่มด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ตลอดจนแรงสมอง อุตสาห์เก็บสะสมมาจนกระทั่งปัจจุบัน)

เราเพียงแนะนำให้เก็บเงินไว้เท่าที่จำเป็น เพราะถ้าขืนเก็บไว้ในรูปสินทรัพย์ชนิดอื่นหมด เวลาจะซื้อหาอะไรก็ลำบาก ต้องขนของมาบาร์เตอร์กันให้ยุ่งยากไปหมด

เราทราบดีว่าผู้อ่าน MBA ส่วนใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจ และเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่มีกินมีใช้ หรือไม่ก็เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น ซึ่งเกือบทั้งหมดไม่ได้ลำบาก แต่ต้องบริหารความมั่งคั่งและสนใจเรื่องการลงทุนอยู่อย่างสม่ำเสมอ

เราจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเตือนสติ แต่ถ้าจะถามว่า “แล้วจะให้เปลี่ยนจากเงินเป็นสินทรัพย์อะไรดีที่มันจะรักษาหรือเพิ่มพูน Value ของ Wealth ได้ดีกว่า” เราคงตอบให้ไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีความจำเป็นและ Risk Pattern ไม่เหมือนกัน แต่รู้ว่าต้องเปลี่ยนมันเป็น Hard Asset บ้าง

แต่สำหรับหลักการลงทุนนั้น เราชอบที่ Marc Faber เคยพูดกับเรานานมาแล้วว่า You should buy things that if you wrong, you don’t loose everything.”

แต่ในเมื่อเรารู้ว่าโลกนี้มีแต่ความไม่แน่นอน

ราคาของสินทรัพย์ทุกประเภทในโลก (รวมทั้งเงินด้วย) ย่อมขึ้นลงไปตามอารมณ์ เหตุผล การตรึกตรอง และการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่มีราคาของอะไรที่ขึ้นอยู่ตลอดโดยไม่มีลง และก็ไม่มีอะไรดิ่งลงตลอดโดยไม่มีวันโงหัวขึ้น แม้ทองคำจะมีราคาถึงบาทละ 18,000 ในปัจจุบัน ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ยี่สิบปี มันก็เคยมีราคาเพียง 4,000 เท่านั้น และเป็นอยู่อย่างนั้นมาแล้วสิบกว่าปี หรืออย่างเงินบาท ก็เคยมีค่าถึง 18-19 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ มาก่อน.....

โชคชะตาของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน สมัยก่อนน้อยคนนักจะคิดว่าคุณประยุทธ์จะมีวันนี้ และก็ไม่มีใครบอกได้ว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นแบบไหนอีก หลายสิ่งเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมของตัวเรา

เมื่อเข้าใจโลกสันนิวาส เราจึงขอพูดแบบซ้ำซาก ที่เราแนะนำท่านผู้อ่านแบบซ้ำๆ เสมอมา คิดว่าการลงทุนที่ดีที่สุดคือ “ลงทุนในตัวเอง”

เราควรเตือนตัวเองให้ต้องอ่าน เขียน ฟัง สังเกต คิด ตรึกตรอง และจินตนาการอยู่เสมอ อย่าให้สมองขาดพัฒนาการ และฝึกสติให้แหลมคมอยู่เสมอ อย่าให้เลอะเลือน หนังสือหนังหาดีๆ ก็ควรซื้อมาอ่านโดยไม่เสียดายเงิน อีกทั้งยังพยายามท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เท่าที่จะทำได้ และสุขภาพก็ควรใส่ใจ

การลงทุนในตัวเองย่อมมี Economic Value พราะถึงอย่างไร กำลังกายกับกำลังสมองและกำลังใจนี้แหละ ที่เป็นตัว Generate Wealth ให้กับตัวเอง

ฉะนั้น แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด จะร้อนขึ้นหรือจะเย็นลง ปลาในอ่าวไทยจะน้อยลง อากาศจะวิปริต ฝนไม่ต้องตามฤดูกาล สงครามกลางเมืองจะเกิด เงินบาทจะหมดค่า ตลาดหุ้นจะวอดวาย ธนาคารจะล้มครืน หรือที่พวกเราจำนวนมากลัวกันอยู่ลึกๆ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันจะทรงสวรรคต ฯลฯ

แต่ถ้าหากเรายังสามารถครองสติได้ดี ใช้ร่างกายและปัญญาครองชีวิตและสร้างความมั่งคั่งไปได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้อง “กลัว” การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

แน่นอน การลงทุนให้การศึกษากับลูกหลาน ย่อมเป็นการลงทุนอีกแบบหนึ่ง รวมถึงการที่นำพันธบัตรมาใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาแล้วสอนลูกหลานให้เข้าใจถึงการลดค่าของเงิน ก็น่าจะทำให้พวกเขาพอใจยิ่งกว่าได้รับมรดกจากพวกเราไปเป็นเงินทอง เพราะพวกเขาย่อมเข้าใจได้เองสักวันหนึ่ง

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว