วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วย CBDC (Central Bank Digital Currency) Bitcoin และ Blockchain กับแบงก์ชาติ



พวกเรารู้กันแล้วว่า หลักการของ Blockchain” และ Distributed Ledger” ที่โด่งดังขึ้นมาพร้อมกับสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Currency) อย่าง Bitcoin” นั้น กำลังจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแวดวงการเงิน (และอาจจะนอกแวดวงการเงินด้วย) อย่างมโหฬาร

เหล่าบรรดา Tech Start-Up จำนวนมาก กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนโดยอาศัยเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่เกี่ยวข้องกับแวดวงการเงินการลงทุน หรือที่เรียกแบบกว้างๆ ว่า FinTech”

ในการโอนสินทรัพย์ (เช่น เงิน หุ้น พันธบัตร ที่ดิน ฯลฯ) แต่ละครั้ง จะต้องมีการลงบัญชีระหว่างผู้รับกับผู้โอน พร้อมกับการชำระราคา ซึ่งโดยทั่วไปต้องใช้บุคคลที่สามซึ่งทั้งสองฝ่ายเชื่อถือเป็นผู้จัดการให้

เช่น ถ้า "ผม" ฝากเงินไว้กับธนาคารกสิกรไทย และต้องโอนเงินจากบัญชีนั้นไปให้ "คุณ" เพื่อเข้าบัญชีของคุณซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารกสิกรไทยเช่นเดียวกับผม ผู้ที่ทำหน้าที่บุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีในที่นี้ก็คือธนาคารกสิกรไทยนั่นเอง

แต่ถ้า "ผม" ผู้ซึ่งฝากเงินไว้กับธนาคารกสิกรไทย และต้องโอนเงินจากบัญชีนั้นไปให้ "คุณ" ซึ่งมีบัญชีเงินฝากอยู่กับธนาคารทหารไทย คนกลางผู้ที่ทำหน้าที่ชำระบัญชีในที่นี้ ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย (ในฐานะธนาคารของธนาคารพาณิชย์อีกทอดหนึ่ง) เพราะธนาคารที่เป็นตัวแทนของเราทั้งคู่ล้วนมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ตัว "ผม" และ "คุณ" (ณ ขณะนี้ยัง) ไม่สามารถเปิดบัญชีเงินฝากโดยตรงกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ เป็นต้น

หรือถ้า "ผม" ทำการซื้อหุ้นสามัญผ่านบัญชีหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ ". ไก่" ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ของผม โดยซื้อจาก "คุณ" และคนอื่นๆ อีกหลายคน ซึ่งได้ขายหุ้นผ่านบัญชีหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัท ". ไข่" และ ". ควาย" “. งู" ฯลฯ โดยทำการซื้อขายกันผ่านตลาดหลักทรัพยฯ และผมต้องชำระเงินจากธนาคาร ก. ไปเพื่อเข้าบัญชีของโบรกเกอร์ของผู้ขายแต่ละราย ก่อนที่พวกเขาจะโอนเข้าบัญชีธนาคารต่างๆ ของผู้ขายอีกทอดหนึ่ง และใบหุ้นของพวกเราต่างก็จัดเก็บอยู่กับศูนย์รับฝากใบหุ้นหรือ Custodian หลายแห่ง ฯลฯ

ในกรณีนี้ คนกลางผู้ทำการบันทึกและชำระบัญชีย่อมมีหลายคน หลายทอด ยิ่งถ้ามี Broker หรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คนกลางก็ยิ่งจะมีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

Distributed Ledger เป็น Settlement Technology ที่จะสามารถตัดตัวกลางหรือบุคคลที่สามออกไปได้ เพราะเทคโนโลยี Blockchain สามารถนำเอาบันทึกข้อมูลธุรกรรมแต่ละธุรกรรมของแต่ละคน แชร์ไปให้กับทุกๆ คนในเครือข่าย ให้ได้รับรู้ไปพร้อมๆ กันได้ ต่างคนต่างตรวจสอบได้ จึงยากแก่การโกง และมีประสิทธิภาพมากกว่า

แน่นอน มันต้องทำให้ Transaction Costs ลดลง

ลองจินตนาการดูว่า ต้นทุนอันเนื่องมาแต่ธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันๆ (เช่นค่าธรรมเนียมการโอนเงิน โอนสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิด การชำระเงิน การรับฝากหลักทรัพย์ การแลกเปลี่ยนเงินตรา (อาจทำทอดเดียวหรือหลายๆ ทอด) ฯลฯ) จะเป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาลสักปานใด

หาก Blockchain กับ Distributed Ledger สามารถถูกนำมาช่วยลดต้นทุนตรงนี้ได้ ย่อมจะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งใหญ่ต่อผู้บริโภค

ทว่า สำหรับผู้ให้บริการ เช่นสถาบันการเงิน และ Service Players ทั้งหลายใน Value Chain อาจจะถูกกระทบเข้าอย่างจัง หากปรับตัวไม่ทัน

Applications ของมัน อาจไปได้กว้างขวางหลายวงการ

แต่ที่สะดุดใจผมมากที่สุดในขณะนี้ คือนัยยะที่บรรดานายธนาคารกลาง (Central Bankers) อาจนำมันไปประยุกต์ใช้ ซึ่งมันจะเป็นการเปลี่ยน Rule of the Game ครั้งใหญ่ จนทำให้อุตสาหกรรมการเงินต้องปรับตัว และอิสรภาพในเชิงการครอบครองและการเป็นเจ้าของทรัพย์หรือกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์ ของประชาชนคนธรรมดา อาจถูกริดรอนลง

ผมจะลองเล่า วิเคราะห์ พร้อมกับแสดงความเห็นให้ฟังคร่าวๆ ดังต่อไปนี้:

คือเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา คุณ Ben Broadbent ได้ไปแสดงปาฐกถาเรื่องนี้ไว้ที่ London School of Economics โดยตั้งหัวข้อว่า "Central banks and digital currencies” (ท่านผู้สนใจสามารถอ่านบทถอดความของปาฐกถาฉบับเต็มได้ที่ลิงค์นี้ : www.bankofengland.co.uk/publications/Pages/speeches/2016/886.aspx)

คนนอกวงการ อาจจะไม่รู้จักคุณ Ben Broadbent คนนี้ แต่เขาไม่ใช่คนเล็กคนน้อย โดยเขามีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้ว่าการฝ่ายนโยบายการเงินของธนาคารชาติอังกฤษ (Deputy Governor for Monetary Policy, Bank of England) และในแวดวงการเงินการธนาคาร ถือว่าเขาเป็นนายธนาคารกลางที่ทรงอิทธิพลทางความคิดคนหนึ่ง

หากเราเจาะผ่านศัพท์แสงทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และเทคโนโลยีทั้งหลายที่เขากล่าวในวันนั้น เพื่อเข้าถึงความหมายที่เขาต้องการสื่อ และ Speculate ถึงแรงจูงใจเบื้องหลังของเขาแล้ว ผมว่า Message วันนั้นของเขาค่อนข้างชัด คือต้องการสื่อให้รู้ว่า ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ มันจะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไป ดังเราๆ ท่านๆ ได้มีโอกาสเปิดบัญชีเงินฝากโดยตรงกับธนาคารชาติได้ (เขาเรียกมันว่า "Central Bank Digital Currency” หรือ CBDC) โดยในกระบวนการนี้ อาจทำให้คนกลางเดิม อย่างธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินบางประเภทที่รับฝากเงินจากประชาชน ต้องถูกตัดออกไปจากกิจกรรมเหล่านี้

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบบริการของธนาคารกลาง เพราะถ้าหากออกแบบให้บัญชีนั้นเป็นบัญชีเงินฝากเฉยๆ ที่มุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสะดวกในการชำระบัญชีและดำเนินนโยบายการเงิน (เช่นเพิ่มหรือลด Money Supply) คล้ายๆ กับ Reserve Account ที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่กับธนาคารชาติในปัจจุบันอยู่แล้ว ธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมาก

ทว่า ถ้าออกแบบให้ CBDC สามารถมีบริการควบคู่ไปด้วย เช่น คิดดอกเบี้ยเงินฝากให้ด้วย หรือเพิ่มบริการเสริมต่างๆ แบบที่ธนาคารพาณิชย์ทำในปัจจุบัน หรือถ้าคิดสุดโต่งไปอีกนิดว่า ให้บริการเงินกู้ได้ด้วย นั่นแหล่ะ จะทำให้เกมส์เปลี่ยนแรง เพราะในที่สุดประชาชนน่าจะ Switch มาใช้บริการกับธนาคารชาติ เนื่องจากมีความมั่นคงสูงกว่า และไม่มีทางที่ธนาคารชาติจะเจ๊ง เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (หรือเรียกในภาษาการเงินว่า "Bank Run”) (เพราะธนาคารชาติเท่านั้นที่สามารถพิมพ์เงินได้ตามกฎหมาย) ต่างกับธนาคารพาณิชย์ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติ ที่ผู้คนแห่กันไปถอนเงิน ธนาคารมักล้มครืนลง หากธนาคารชาติไม่เข้าแทรกแซงช่วยเหลือ เพราะธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสำรองไว้บางส่วนเท่านั้น

ดังนั้น CBDC อาจเป็นคำตอบสำหรับการแก้วิกฤติสถาบันการเงินในระดับโครงสร้าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาคลาสสิคสำหรับนักการเงินและนายธนาคารกลางตลอดมา

ถ้าเป็นแบบนั้น ธนาคารพาณิชย์อาจจะต้องหาเงินจากการขาย Financial Instruments เพื่อระดมทุนมาปล่อยกู้แทน (เหมือนกับบริษัทเงินทุนในอดีต) แต่ต้นทุนน่าจะสูงขึ้น และอาจต้องหดตัวลง อย่างน้อยเครือข่ายสาขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

Retail Banks อาจถูกบังคับให้กลายไปเป็น Wholesale Banks กันหมด

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการถึงผลกระทบของไอเดียนี้ดูสิ ว่ามันจะกระทบกับรายได้และกำไรของธนาคารพาณิชย์มากเพียงใด ถึงตอนนั้น ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะเป็นยังไง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันออกจากปากของคนระดับนี้ ที่ตั้งใจพูดกับสาธารณะ


ตัวเขาเองได้กล่าวถึงผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นว่า:

“Shifting deposits to the central bank, and away from the leveraged commercial banking sector, has two important implications. On the one hand, it would probably make them safer. Currently, retail deposits are backed mainly by illiquid loans, assets that can’t be sold on open markets; if we all tried simultaneously to close our accounts, banks wouldn’t have the liquid resources to meet the demand. The central bank, by contrast, holds only liquid assets on its balance sheet. The central bank can’t run out of cash and therefore can’t suffer a “run”.

On the other hand, taking deposits away from banks could impair their ability to make the loans in the first place. Banks would be more reliant on wholesale markets, a source of funding that didn’t prove particularly stable during the crisis, and could reduce their lending to the real economy as a result.

This is the really main point I want to get across. Some suggest that central banks will have to issue their own digital currency – i.e. to supply central bank money more widely, via some generalised distributed ledger – to meet a “competitive threat” from private-sector rivals. I suspect a more important issue for central banks considering such a move will be what it might mean for the funding of banks and the supply of credit.”

นั่นแหล่ะครับ

ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งคุณ Ben Broadbent ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ผมคาดว่าจะเป็นหนึ่งในแรงจูงใจของบรรดา Central Bankers ทั่วโลก

นั่นคือ CBDC จะช่วยเพิ่มอำนาจให้กับธนาคารกลางอีกไม่น้อย

อย่าลืมว่า ธนาคารชาติสามารถ "สร้างเงิน" (คือเพิ่มปริมาณเงินหรือลดปริมาณเงิน) ได้โดยการพิมพ์เงิน และโดยการ Credit/Debit บัญชี Reserve Accounts เพื่ออนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเพิ่มหรือลดการระดมเงินฝากหรือปล่อยกู้ (หรือที่เรียกว่า "Bank Money”)

ว่าไปแล้ว เงินเหล่านี้ก็เหมือนการเสกขึ้นมาเฉยๆ เงินเหล่านี้ไม่มีตัวตนจริง เป็นเพียงตัวเลขในบัญชี (จะว่าเป็น Digital Currency ในความหมายกว้างก็น่าจะได้) แต่ใช้จ่ายได้จริง และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนจริง

ท่านผู้อ่านพอจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าธนาคารชาติสามารถเข้าถึงประชาชนได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางคือธนาคารพาณิชย์แล้ว ประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินจะเพิ่มขึ้นมาก และอำนาจของธนาคารกลางก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

เช่น ถ้าขณะนั้น รัฐบาลต้องการให้ขยายการลงทุนภาคเอกชนโดยอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน แทนที่จะคอยนั่งลุ้นแบบเดิมว่าประกาศลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว หรือลด Required Reserve ไปแล้ว ธนาคารพาณิชย์จะยอมเพิ่มเป้าสินเชื่อตามหรือไม่ และทันใจหรือไม่ หรือจะจูงใจพอให้ประชาชนและภาคเอกชนมากู้เพิ่มไปลงทุนในกรอบเวลาที่ทันใจหรือไม่ ฯลฯ....

ธนาคารชาติก็สามารถ Credit บัญชี CBDC โดยตรงได้ทันที ซึ่งเงินก็จะถึงมือประชาชนทันทีเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น หากธนาคารชาติต้องการจะขยายการบริโภคของภาคประชาชนให้เห็นผลทันตา พวกเขาก็สามารถลดดอกเบี้ยเงินฝาก หรืออาจจะใช้ยาแรงขนาดเก็บค่าฝากเงิน (ดอกเบี้ยติดลบ) โดยตรงกับ CBDC ได้ทันทีเช่นกัน (เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็บเงินไว้กับแบงก์ ประชาชนจะได้ถอนเงินออกไปบริโภค)

หมายความว่า ธนาคารกลางจะสามารถควบคุมกระบวนการสร้างเงินและ Credit Creation ได้โดยตรง โดยไม่ต้องคอยลุ้นว่าธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มสินเชื่ออย่างที่รัฐบาลต้องการหรือไม่ นอกจากนั้นยังกระตุ้นการบริโภคได้ โดยปฏิบัติการตรงกับบัญชีเงินฝากของประชาชนแต่ละคนได้เลย

นั่นหมายความว่า ธนาคารกลาง Takeover บทบาทสำคัญๆ ของธนาคารพาณิชย์เกือบทุกด้าน

พวกเขาคือ Banker ตัวจริงเสียงจริง

ทำแบบนี้ จะว่าดีก็ดี จะว่าเสี่ยงก็เสี่ยง

เพราะถ้าธนาคารกลางตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองหรือเทคโนแครตที่เชื่อจริงๆ หรือเพียงต้องการหาเสียงโดยวิธีหว่านเงิน (ซึ่ง Milton Friedman เรียกว่า Helicopter Money”) หรือนโยบายประชานิยมที่ต้อง Financing ด้วยนโยบายการเงิน (เช่น “Direct QE) และใช้มันอย่างเสพติด (เหมือนกับที่เกิดขึ้นแล้วหลายส่วน ในญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศ)...มันจะอันตรายมากเลย

ทีนี้ลองคิดลึกไปอีกสักนิด นามธรรมไปอีกสักหน่อย

คิดถึงสิทธิและเสรีภาพในการครอบครองทรัพย์และกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์สินของเรา ที่อาจจะถูกกระทบตามมา

เพราะหากธนาคารชาติมีอำนาจควบคุมบัญชีของเราโดยตรง เป็นไปได้ไหมว่าวันหนึ่ง รัฐบาลที่ฉ้อฉล หรือซื่อสัตย์แต่ลุแก่อำนาจ อาจจะสั่งให้พวกเขาห้ามไม่ให้เราเบิกถอน หรือเบิกถอนได้แบบจำกัดจำนวน (อย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกรีซ เมื่อเกิดวิกฤติรอบที่ผ่านมา) หรือห้ามโอน และอายัติ ตามใจชอบ

ยิ่งเดี๋ยวนี้ มีแนวโน้มที่ประเทศสำคัญๆ และประเทศไทยเราด้วย ต้องการจะลดการใช้เงินสดลง ให้คนหันไปทำธุรกรรมอิเล็คทรอนิกส์มากขึ้น

การเพิ่มอำนาจตรงนั้นให้ธนาคารกลาง ย่อมเท่ากับสามารถชี้กุมชะตากรรมของประชาชนได้อย่างชงัดและเขม็งเกลียวยิ่ง

นอกจากจะเป็น Banker ตัวจริงแล้ว ยังจะเป็น Big Brother ตัวจริงด้วย!



ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
6 พฤษภาคม 2559

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA
รูปประกอบจาก: Vienna FinTech Meetup #1 และ Bank of England ผู้เขียนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้


วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

รัฐบาลคือ Big Business คนฉลาดต้องใช้เป็นเครื่องมือ



คนฉลาดๆ ย่อมรู้ว่าวิธีสร้างเนื้อสร้างตัวที่ได้ผลที่สุดคือการเข้าไปมีอำนาจในรัฐบาล

ส่วนจะยึดอำนาจรัฐโดยวิธีไหนนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เลือกตั้ง รัฐประหาร ตั้งกองกำลังปฏิวัติก่อสงครามกลางเมืองเพื่อโค่นล้มผู้กุมอำนาจอยู่ก่อน เขียนรัฐธรรมนูญให้พวกตนได้แต้มต่อและคงอำนาจไว้ในหมู่พวกพ้อง หรือรอจังหวะจนกว่าแน่ใจแล้วว่าฝ่ายไหนชนะ แล้วค่อยเข้าไปรับใช้ เพื่อขอมีส่วนร่วมหรือส่วนแบ่งในการใช้อำนาจรัฐ

คนฉลาดๆ จำนวนมาก ค้นพบแล้วว่านั่นเป็นการสร้างความมั่งคั่งและอำนาจให้ตัวเองได้ดีที่สุด โดยไม่สนว่าจะเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีใด

เพราะ "รัฐบาล" เป็นองค์กรสูงสุด ที่มีอำนาจเด็ดขาด และมีเครื่องมือหลากหลายให้เลือกใช้ ในการรวบรวมและจัดสรรทรัพยากร ทั้งเงิน (ในรูปของภาษี เงินตรา และระบบเครดิต) ที่ดิน ทรัพย์สิน ตลอดจนสัมปทานผูกขาด บนดิน ใต้ดิน บนผืนน้ำและใต้น้ำ และคลื่นในอากาศ

รัฐบาลเท่านั้น ที่ฆ่าคนได้ตามกฎหมาย

รัฐบาลเท่านั้น ที่ริดรอนสิทธิได้ตามกฎหมาย

รัฐบาลเท่านั้น ที่สามารถบังคับเอา ตัดส่วนเอา หรือเบียดบังเอา "ความมั่งคั่ง" หรือรายได้หรือทรัพย์สินของประชาชนมาเป็นของส่วนกลาง ได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย

รัฐบาลเท่านั้น ที่จะเป็นผู้บอก (ในกรณีของรัฐบาลเผด็จการ) หรือไม่ก็เป็นผู้กำหนดกรอบและกฎเกณฑ์กว้างๆ (ในกรณีของรัฐบาลประชาธิปไตย) ว่าใครทำอะไรได้บ้าง อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ใครเท่านั้นที่ทำบางอย่างได้ ที่ไหนไปได้ ที่ไหนไปไม่ได้ เมื่อไหร่ควรทำอะไร ใครต้องจ่าย จ่ายเท่าไหร่ และใครจะได้อะไรเท่าไหร่ ฯลฯ

รัฐบาลมี กฎหมาย ทหาร ตำรวจ และระบบราชการ เป็นเครื่องมือ

โดยผ่านเครื่องมือเหล่านี้ รัฐบาลสามารถควบคุมให้ประชาชนทำตาม

ควบคุมให้ประชาชนและนิติบุคคลต้องจ่ายภาษี ให้ตรงเวลา และตามจำนวน

แล้วนำภาษีนั้นส่วนหนึ่ง ไปสร้างระบบราชการให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก เพื่อกระชับการควบคุมให้ทรงประสิทธิภาพ

ที่สำคัญคือกองทัพทั้งสามนั้น นอกจากจะเป็นเจ้าของกำลังพลที่ถูกฝึกมาให้ใช้อาวุธหนักฆ่าคนแล้ว ยังเป็นผู้ผูกขาดการเป็นเจ้าของอาวุธหนักไว้ทั้งหมดในสังคม (โดยใช้ภาษีของประชาชนไปจัดหามา)

ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดนอกเหนือจากนั้นครอบครองอาวุธหนักในราชอาณาจักร

ซึ่งกองทัพและอาวุธหนักเหล่านี้แหล่ะ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมประชาชน

นอกจากนั้น รัฐบาลยังเป็นเจ้าของธนาคารชาติ ซึ่งควบคุมระบบการเงินของประเทศ สามารถสร้างเงินและเครดิต (หรือทำลายเงินและเครดิต) ได้ตามที่เห็นสมควร แถมยังสร้างเงินมาให้รัฐบาลกู้ไปใช้ในจำนวนมากๆ ได้อีกด้วย (อย่างในกรณีของสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้ และญี่ปุ่นในปัจจุบัน รัฐบาลใช้วิธีกู้เงินจากสถาบันการเงินจำนวนมหาศาลโดยแลกกับพันธบัตรรัฐบาล เสร็จแล้วก็ให้ธนาคารกลางสร้างเงินหรือเครดิตขึ้นมา เรียกว่าโครงการ QE เพื่อนำมาซื้อพันธบัตรเหล่านั้นกลับไปถือไว้เสียเอง แล้วรัฐบาลก็หันไปจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารกลางแทน เสร็จแล้วธนาคารกลางก็ต้องนำส่งเงินจำนวนนั้นคืนให้แก่รัฐบาลในที่สุด ราวกับการเล่นลิเกให้ประชาชนดู...แต่มันกลับไม่เหมือนตรงที่ว่า ในกระบวนการทำแบบนั้น ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์จำนวนมาก)

ยังอีกรัฐวิสาหกิจ ที่ครอบครองทรัพย์สินและสัมปทานสำคัญๆ อีกเป็นจำนวนมหาศาล

ผลประโยชน์ในแวดวงรัฐบาลนั้นมีจำนวนมหาศาล สุดจะคณานับ

มองอีกแง่หนึ่ง รัฐบาลก็คือธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลโดยตัวมันเอง

และนับวันมันยิ่งจะเพิ่มพูนอำนาจและความมั่งคั่งให้กับตัวเองยิ่งขึ้น (ยกตัวอย่าง รัฐบาลแบบใหม่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ สมาชิกแห่งราชวงศ์จักรี พร้อมด้วยขุนนางบางตระกูล ช่วยกันสร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มาบัดนี้ได้ขยายขนาดและขอบข่ายใหญ่โตกว้างขวางลึกซึ้งขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว หรือรัฐบาลสหรัฐฯ เวลานี้ เมื่อเทียบกับสมัยปี 1789 ที่เริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใหม่ๆ ก็ขยายตัวขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งในเชิงความมั่งคั่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบและมีส่วนจัดสรร เครือข่าย อำนาจ และงบประมาณ)

ดังนั้น รัฐบาลจึงเป็นที่หมายปองของคนฉลาดๆ ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและอำนาจให้กับตัวเอง

และคนฉลาดๆ ก็ย่อมมองออกโดยไม่ยาก ว่าจะใช้กลไกของรัฐบาลในการสร้างความมั่งคั่งและอำนาจให้กับตัวพวกเขาเองได้อย่างไร

นักธุรกิจ นายทุน นักลงทุน พ่อค้า ล็อบบี้ยิ้สต์ นักการเมือง ข้าราชการ ชนชั้นนำ และพรรคพวก ย่อมเกาะเกี่ยวตัวเองเข้าไปสู่วงใน เพื่อหาทางให้ตัวเองได้รับแต้มต่อ อภิสิทธิ และผลประโยชน์ต่างๆ

ลดภาษี ยกเว้นภาษี บัตรส่งเสริมการลงทุน สัญญาก่อสร้าง สัญญาสัมปทานผูกขาด กำแพงภาษี มาตราการกีดกันทางการค้าต่อต่างประเทศ หรือกฎหมายกีดกันคู่แข่งขัน สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ยอดขายอาวุธ ส่วนแบ่งงบประมาณ เปอร์เซ็นต์จากการจัดซื้อ หรือต้องการอาศัยขอบเขตของอำนาจให้ช่วยปกป้องความผิดแต่หนหลังของตน ตลอดจนขอตำแหน่งที่มีอำนาจแต่ทำงานแบบสบายๆ และอภิสิทธิสารพัดสารพัน ฯลฯ

คนเหล่านี้บางคน สามารถใช้อำนาจและกลไกของรัฐบาลผันแปรสมบัติของชาติให้กลายมาเป็นสมบัติส่วนตัวและพวกพ้องได้แบบง่ายๆ

เหล้า โทรศัพท์มือถือ หวย ธนาคารพาณิชย์ คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ

อีกด้านหนึ่ง พวกวงในเหล่านี้ ก็ใช้รัฐบาลเพื่อปกป้องอภิสิทธิ ความมั่งคั่ง รายได้ ทรัพย์สิน อำนาจ ตำแหน่ง ของตัวเอง

พวกเขาใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือในการปกป้องความได้เปรียบ หรือ Unfair Deals ที่พวกเขามีแต้มต่อเหนือคนอื่น

สมัยก่อน บรรดาเจ้าที่ดินก็อาศัยรัฐบาลเป็นเครื่องมือในการเกณฑ์แรงงานและขูดรีดค่าเช่า

สมัยนี้ บรรดาเจ้าของทุน ก็อาศัยรัฐบาลให้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มพูนทุนทรัพย์ของตน ทั้งโดยการฉวยเอาไปลงทุนในโอกาสที่ตัวเองรู้ก่อนจากข้อมูลวงใน หรือในโอกาสและโครงการที่ได้รับการปกป้องจากกลไกของรัฐ ตลอดจนการควบคุมค่าจ้างแรงงานให้ต่ำเข้าไว้ เพื่อกำไรส่วนเกินจะได้เหลือตกอยู่ในมือของพวกตน

บางที พวกคนฉลาดที่เข้ามากุมรัฐบาล ก็ต้องลดความตึงเครียดลงบ้าง โดยอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่เรียกกันว่านโยบายประชานิยม คือแจกเงินและผลประโยชน์ให้กับกลุ่มล่างๆ ที่ไม่มีโอกาสได้เข้ามาเป็นพวกวงในและได้ประโยชน์จากกลไกของรัฐโดยตรง

แต่ก็เป็นการสนับสนุนแบบมีเลศนัย คือเลือกสนับสนุนเฉพาะเครือข่ายของพวกตน และที่คิดว่าจะเป็นฐานสนับสนุนตนและพรรคพวกของตนให้อยู่ในอำนาจต่อไปได้อีกในอนาคต

บางทีการหว่านเงินเหล่านั้น ก็เพื่อต้องการให้คนกลุ่มล่างๆ ที่ได้รับไป นำไปใช้จ่ายซื้อข้าวของ ซึ่งสุดท้ายเงินก้อนนั้น ก็จะย้อนกลับมาเข้ากระเป๋าของพวกวงในอยู่ดี

เท่ากับเป็นการโอนเอา Wealth ส่วนกลาง ไปเข้ากระเป๋าส่วนตัว โดยถูกกฎหมายนั่นเอง

และบางที เงินที่แจกไปนั้นก็สูญไปแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ หาใครรับผิดชอบไม่ได้ แล้วก็ถือว่าจบกันไป แบบหายไปในสายลม

ไม่ว่านโยบายจะมาในรูปไหน คนฉลาดๆ ที่สามารถแทรกตัวเข้าไปเป็นวงในเหล่านี้ ก็จะได้รับผลประโยชน์อยู่ดี

ไม่ว่าฝ่ายไหนหรือกลุ่มไหนได้กุมอำนาจรัฐ คนเหล่านี้ก็จะเล่นเกมส์แบบเดิม เกมส์ที่พวกเขาจะได้ยื้อให้ตัวเองมีแต้มต่อไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว อนาคตคือ "ไม่มีอนาคต"

อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "A Future without Future”

หมายความว่า อนาคตต้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ต้องคงระบบแบบนี้ไว้สืบไป

ประชาชนจำนวนมากในปัจจุบัน แอบรู้สึกได้ว่าระบบแบบนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด

แต่พวกเขาอาจจะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง

คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า "การเลือกตั้ง" จะเป็นตัวแก้ปัญหาเหล่านี้

จำนวนมากเชื่อว่า การเข้าไปในคูหาเพียงไม่กี่นาที แล้วกาบัตรว่าจะเลือกใครมาเป็นรัฐบาล นั้นหมายความว่าเสียงของตัวเอง จะสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและกลไกของรัฐให้มารับใช้พวกตนได้

แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ

ความเชื่อที่ว่า คนซึ่งตัวเองเลือกมา จะเข้าไปทำการเปลี่ยนแปลงโลกได้ มันก็ยังเป็นแต่เพียงความฝัน

เพราะคนที่เขาเลือกมา ร้อยทั้งร้อย ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

กลายมาเป็นวงในเสียเอง แล้วก็ใช้กลไกของรัฐบาลนั้นเสียเอง เพื่อความมั่งคั่งและอำนาจของตนและสมัครพรรคพวก

สุดท้ายก็ Cronyism อยู่ดี

ไม่ว่าใครเข้ามา ก็จะถูกระบบกลืน

แล้วระบบ ก็สร้างตัวเองให้เข้มแข็งและเด็ดขาดขึ้นเรื่อยๆ

เพียงเฉพาะระบบราชการของไทยส่วนเดียว ก็สร้างตัวเองให้ใหญ่โตขึ้นอย่างมากมายด้วยเงินภาษีของส่วนรวม

ด้วยข้าราชการเพียงไม่กี่พันคนในสมัยรัชกาลที่ 5 (เมื่อเริ่มระบบราชการใหม่ๆ) เติบโตมาเป็นกว่าสองล้านสองแสนคนที่อยู่ในบัญชีเงินเดือนซึ่งมาจากเงินภาษีของประชาชนในปัจจุบัน คิดเป็นกว่า 7% ของ GDP ประเทศไทย ทุกปี

กลไกเหล่านี้ ครอบคลุมและสามารถแทรกแซงไปได้ในเกือบทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย รวมถึงดักฟังโทรศัพท์ และอายัดบัญชีธนาคาร ด้วย

ถ้าหันเหให้มันมารับใช้คนส่วนใหญ่ได้ก็ดีไป แต่ที่ผ่านมามันไม่ใช่

ถ้าไม่กลายเป็นเครื่องมือของพวกวงใน ก็รับใช้ตัวมันเอง

(ยังมีต่อ...ฉบับหน้า)

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
23 มีนาคม 2559
รูปประกอบจากหนังสือพิมพ์ แนวหน้า
ผู้เขียนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

“Think Big and Kick Ass” บริหารสไตล์ทรัมพ์กับการตลาดสู่ทำเนียบขาว




Donald Trump คือสีสันของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

นโยบายของเขากีดกันคนต่างชาติ เสนอให้จับส่งแรงงานผิดกฎหมายกลับประเทศ สร้างกำแพงกั้นตลอดแนวระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ป้องกันคนแอบเข้าสหรัฐฯ เสนอให้แบนคนมุสลิมมิให้เข้าประเทศสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการก่อการร้าย และตั้งใจจะนำอเมริกาให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับนาโต้และสหประชาชาติ

เขาใช้คำขวัญว่า "Make America Great Again”

ความคิดของเขาได้รับการสนับสนุนแบบผิดคาด โดยเฉพาะจากคนชั้นกลางค่อนมาทางล่าง

ปรากฎการณ์นี้ ทำให้หลายคนตกใจ ถึงขั้นพรรครีปับริกันที่เขาสมัครเป็นตัวแทนเกิดแตกแยกครั้งใหญ่ ผู้คนต่างก็คิดและถกเถียงกันถึง Implications ของมัน

ชาวอเมริกันกำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขาหรือเปล่า พวกเขาคิดว่าอเมริกาตกต่ำกระนั้นหรือ หรือพวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบและต้องการให้คนนอกอย่างทรัมพ์เข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง (คนเหล่านี้รู้สึกว่ารายได้ของตนลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อนและคนรุ่นก่อน และช่องว่าระหว่างคนรวยกับคนธรรมดายิ่งมาก็ยิ่งห่าง) หรือว่าพวกเขาไม่เชื่อเรื่องประชาธิปไตย เสรีนิยม และการเปิดกว้างแบบโลกานุวัตรอีกต่อไปแล้ว และกำลังจะหันเหประเทศไปสู่นโยบายกีดกันและทุนนิยมโดยรัฐ ฯลฯ

เหล่านี้คือประเด็นซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันในอเมริกา ตั้งแต่ร้านกาแฟไปจนถึงห้องเรียนในมหาวิทยาลัย

Donald Trump เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ถึงขั้นมหาเศรษฐี สร้างตัวมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เคยเป็นเจ้าของคาสิโนและโรงแรมในเวกัส และเขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม เพื่อโปรโมทวิธีคิดของตัวเอง

จากหนังสือหลายเล่มของเขานี่เอง ที่เรารู้กำพืด ความคิด ตลอดจนสไตล์ ของเขา

เขาภูมิใจว่าเขาเป็นนักเจรจาต่อรอง หรือ Deal Maker ที่เก่งที่สุด และทักษะอันนั้นแหล่ะ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

ในบรรดาหนังสือขายดีของเขา Think Big and Kick Ass” น่าจะโลดโผนและบ่งบอกตัวตนของเขาได้มากที่สุด

อันที่จริง Trump เป็นลูกเศรษฐีอยู่แล้ว แต่สามารถต่อยอดมาเป็นอภิมหาเศรษฐีได้ด้วยตัวเอง พ่อเขาก็เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คนสำคัญของนิวยอร์ก

เขาว่าเขาเกิดที่ Queens แต่สามารถข้ามมายึด Manhattan ได้สำเร็จ

เขาว่าเขาเริ่มต้นด้วยกิจการที่พ่อเขาส่งต่อมาให้ ด้วยมูลค่า 400 ล้านเหรียญฯ แต่ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินกว่า 10,000 ล้านเหรียญฯ

เขาทำได้อย่างไร?

เขาเล่าหลายเรื่องราวไว้ใน Think Big and Kick Ass” และสรุปบทเรียนท้ายบท เป็น Key Points ไว้ให้ด้วยในแต่ละบท

เขาว่าคนที่อยากประสบความสำเร็จต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง “…nobody is going to help you. Not your friends. Not the government. You have to look out for yourself…”

เช่นท้ายบทที่ 1 เขาสรุปบางท่อนว่าความฝันกับสิ่งที่ต้องลงมือทำนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน what you dream is what you will do” ดังนั้นถ้าคุณต้องการร่ำรวยก็ต้องอย่าเหนียมอาย make tons of money, don’t be shy. Set a big goal”

ท้ายบทที่ 2 เขาว่าคนจะใหญ่ได้ ต้องค้นหาความอยากของตัวเองให้เจอ find your passion.”

บทที่ 3 บอกให้เราเดินหน้าด้วยใจและสัญชาติญาณgo with your gut.”

บทที่ 4 บอกว่าเราต้องสร้างโชคให้กับตัวเองให้ได้ อย่าพึ่งชะตา ฟ้าดิน หรือแม้กระทั่งพระเจ้า create your own luck.”

นั่นเป็นเพียงบางตัวอย่าง ที่เขาให้คำแนะนำแบบง่ายๆ โดยเขาว่าเขาต้องการถ่ายทอดส่ิงเหล่านี้ให้กับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จ

“I am intent on giving people the knowledge they need to succeed.” เขาว่างั้น

เขาให้ความสำคัญกับความขยันขันแข็ง ทุ่มเทกับงาน และการทำงานหนัก He or she who focuses the longest wins.”

และต้องแสวงหาคนเก่งๆ ให้เข้ามาร่วมงานด้วย แต่ต้องอย่าไว้ใจพวกเขา
“Hire the best people, but do not trust them.”

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเขียนเรื่องการล้างแค้นไว้ทั้งบท เขาว่าเราต้องทำกับคนที่ทำกับเราให้สาสม

“Get even with people who do you wrong,” เขาว่างั้น

เขาให้ข้อคิดหลายเรื่องเกี่ยวกับการล้างแค้น...ล้างแค้น (Revenge) ยังไง ทำให้สาสมยังไง (Get Even) และเมื่อไหร่ต้องลงดาบให้หนัก Go for the jugular”

เพื่อว่าต่อไป คนจะไม่กล้ามาแหยม so that people will not want to mess with you.”

เขาถึงขั้นแนะนำให้จดบันทึกเป็น "บัญชีหนังหมา" เอาไว้ว่าใครบ้างที่เคยทำร้ายเรามาก่อน แล้วรอคอยโอกาสที่จะ "เอาคืน" และเมื่อถึงเวลานั้น ต้องเอามันให้หนักปางตาย...เขาว่า wait for the opportunity and when it comes, hit ’em hard.”

เขาว่า โลกนี้มันโหดร้าย ดังนั้นเราต้องข่มขวัญโดยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยทางหนึ่งคือต้องแต่งตัวให้ดูดี แต่งตัวให้เสริมความน่าเชื่อถือ

“world is a brutal place… Get some respect… always dress for respect…,” เขากล่าว
เพราะมันมีธุรกิจบางประเภทที่ต้องอาศัยการพรีเซนต์ตัวเองให้ดูดี ดังนั้นช่างเสื้อที่ดีจึงสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้สถานะทางสังคมของคุณดูเด่นขึ้น

เขายังแนะนำอีกทั้งบทว่า ก่อนแต่งงาน คุณจำเป็นต้องทำสัญญาก่อนสมรส (Prenup) เพื่อกันสมบัติในส่วนที่เป็นของคุณไว้ก่อน อย่าให้ทรัพย์สินเดิมของคุณถูกคำนวณเป็นสินสมรส

เพราะถ้าต้องแยกทางกันแล้ว การเจรจาต่อรองจะได้ง่าย

เขาไม่เชื่อว่าการเจรจาต่อรองจะจบลงด้วยผลสรุปที่ทุกฝ่ายแฮบปี้

“Win-Win Deals” ไม่มีจริง

เขาเชื่อใน "Win-Lose Deals” คือ การเจรจาที่ต้องลงเอยด้วยฝ่ายหนึ่งได้เปรียบและอีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ ฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายหนึ่งแพ้

และเขาจะต้องอยู่ฝ่ายชนะ

เป้าหมายในการเจรจาต่อรองของเขาทุกครั้งคือ "ต้องเป็นผู้ชนะ"

“to be the winner.”

เมื่อชนะแล้ว ก็ต้องมองหาเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นไปอีก

และต้องชนะอีก..

“aims for bigger goals.”

ดังนั้นคุณต้องไม่กลัวที่จะมีชื่อเสียง ไม่กลัวอีโก้ตัวเอง ไม่กลัวที่จะต้องทำงานหนัก และต้องพร้อมที่จะรับความเสี่ยง

หนังสือเล่มนี้ ทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนกล้าชน เพื่อให้ชนะและได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
เขาไม่กลัวที่จะต้องพนัน ตราบใดที่มีโอกาสชนะ


บุคลิกแบบนี้กระมัง ที่อเมริกันชนซึ่งคิดว่าตัวเองกำลังมีปัญหาและสนับสนุนความเห็นของเขา ต้องการให้เขาเข้าไปปัดกวาดบางอย่าง ที่พวกเขารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

27 มีนาคม 2559