วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประเทศไทยได้แบ่งเป็น 2 ประเทศเสียแล้ว


ประเทศไทยในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเทศอย่างชัดเจน
ที่ว่าแบ่งเป็น 2 ประเทศนั้น มิได้แบ่งในเชิงภูมิศาสตร์ หรืออุดมการณ์ แต่แบ่งในเชิงสังคมศาสตร์

เพราะไม่ว่าในส่วนไหน หรือ Territory ใดของประเทศไทยปัจจุบัน ล้วนมีคนของสองสังคม เผชิญหน้ากันอยู่

จะว่าเป็น “สองนคราประชาธิปไตย” อย่างที่ท่านผู้รู้เคยพูดไว้ก็ไม่เชิง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกเราว่า มันน่าจะค่อนไปทาง “สองนคราเผด็จการ” เสียยิ่งกว่า เพราะคนทั้งสองพวกมักจะ Trade-off เสรีภาพของตัวเองเสมอ เมื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

สังคมแรกเป็นกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ที่ค่อนข้างมีอันจะกิน มีการศึกษา และบริโภคข้อมูลข่าวสารและ "เลือกเชื่อ" ในแบบของตัวเอง ส่วนอีกสังคมหนึ่งประกอบไปด้วยชนชั้นล่างและชนชั้นกลางอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขสำคัญของชีวิต และถ้าพูดให้ถึงที่สุดแล้ว คนส่วนหลังนี้ถูกทำให้กลายเป็นที่ “รองมือ รองเท้า” ของคนกลุ่มแรก มาช้านาน

สถานการณ์การเมืองในรอบปีสองปีนี้ ทำให้เรายิ่งเห็นและสัมผัสกับการแบ่งแยกนี้ได้ชัดเจนมาก

ตามความเข้าใจของผม สงครามกลางเมือง (แปลว่ายกพวกฆ่ากัน) สามารถเกิดจากสาเหตุแบบนี้ได้เช่นกัน อย่างสมัยปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสนั้น ผมเข้าใจว่าความคิดและความเป็นอยู่ของคนสองสังคมนี้ มันแตกต่างจากกันอย่างเห็นได้ชัดจนเกินไป และระบบการเมืองในช่วงนั้น ก็ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการต่อรองใดๆ ได้เลย

สงครามกลางเมือง ยังอาจเกิดจากการแย่งทรัพยากร หรือ Territory อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือจากการยึดอุดมการณ์ หรือ Ideology ที่ต่างกัน อย่างในยุโรปสมัยที่เกิดโปรแตสแตน หรือรัสเซียและจีน ซึ่งสองฝ่ายขัดแย้งกันด้วยเรื่องปรัชญาการบริหารทุน เป็นหลัก

พูดแบบนี้ ผู้อ่านคงคิดว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ลึกๆ ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าประเทศไทย ยังคงมีความเสี่ยงแบบนี้อยู่ ตราบใดที่ระบอบการเมืองยังคงเป็นแบบที่เป็นอยู่

เคราะห์ดี ที่กองกำลังติดอาวุธซึ่งถูกฝึกฝนมาอย่างเป็นระบบ และตัวอาวุธส่วนใหญ่ในประเทศไทย นั้น ยังถูกควบคุมโดยคนกลุ่มแรก อย่างเหนียวแน่น แต่ก็ใช่ว่า คนอีกกลุ่มหนึ่งจะไม่สามารถสร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาได้ในอนาคต ถ้าพวกเขาคิดและมุ่งมั่นที่จะทำ หรือถูกบีบให้ต้องทำ เพราะเงินในสมัยนี้ ก็ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอยู่แล้ว

นับแต่นี้ พวกเรากันเอง คงต้องหันมาขบคิดให้มาก ในเรื่องระบอบการเมืองของไทยในอนาคต ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถให้มันเป็นเวทีต่อรองของคนทั้งสองพวกนี้ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังต้องเป็นระบอบที่จะสามารถดึงเอาพลังและทรัพยากรของทั้งสองสังคมนี้ออกมาแปรให้เป็นคุณหรือเป็น “เนื้อนาบุญ” ต่อประเทศโดยรวมให้ได้

“ความสงบใจ” ของผู้คน ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก
ไม่ว่าประเทศไหนๆ “ความสงบใจ” ของผู้คน ย่อมส่งผลต่อความรุนแรงที่คนในสังคมปฏิบัติต่อกัน

ในความเห็นของผม บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ มีส่วนสำคัญมากต่อ “ความสงบใจ” ของคนไทย

แต่ไหนแต่ไรมา สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ได้ช่วยให้ผู้คนเกิดความสงบใจและลดความกังวลต่ออนาคตได้มาก ดังนั้น บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตลอดจนบทบาทของข้าราชบริพารที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดและแวดล้อมองค์พระมหากษัตริย์ ก็น่าจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพินิจพิเคราะห์กันอย่างจริงจังเสียที

ในความเห็นของผม หากสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดจนข้าราชบริพารที่แวดล้อมอยู่ มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง สังคมไทยจะเกิดสันติ และความเสี่ยงที่คนสองสังคมจะเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงก็จะไม่มี ทำให้ผู้คนเกิดความสงบใจและวางใจต่ออนาคตของตนได้

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือขันติธรรมทางการเมือง


ทำอย่างไร พวกเราส่วนใหญ่จะมีขันติธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะต่อกระบวนการเปลี่ยนผู้นำทางการเมือง แบบที่พวกเรามีขันติธรรมต่อการเลือกนับถือศาสนามาช้านาน อย่างในสหรัฐอเมริกานั้น เวลาที่คนเกลียดผู้นำ ก็คงไม่มีใครพิเรนทร์ เรียกร้องหรือสั่งการให้รถถังข้ามแม่น้ำไปล้อมทำเนียบขาว เพื่อบังคับให้เปลี่ยนตัวผู้นำ พวกเขาย่อมใช้ความอดทน รอคอยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการอย่างสันติที่เคยตกลงกันไว้แล้ว ในรัฐธรรมนูญของพวกเขา

การเปลี่ยนแปลงผู้นำอย่างสันตินั้น เป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำโดยวิธีการใช้กำลัง ย่อมส่งผลให้กระบวนการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation Process) ของสังคมนั้น สะดุดหยุดลงด้วย

ที่กล่าวมานั้น เป็น Observation ของผมเอง มิได้มุ่งหวังที่จะชี้นำท่านผู้อ่านแต่ประการใด เพราะผมเชื่อว่าผู้อ่าน MBA ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนชั้นกะทิ ที่มีวิจารณญาณ (น. ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้—พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542) ของตนเอง แต่หากท่านใดที่มีความกังวลคล้ายผม หรือเห็นแย้งไปจากผม ก็เขียนมาคุยกันบ้างครับ

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน มกราคม พ.ศ. 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น