วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ้มบุญเพื่อเป็นอะไหล่



ผมมีข้อสังเกตุส่วนตัวในทางร้ายแรงว่า "กรณีอุ้มบุญ" ที่กำลังอื้อฉาวและเป็นที่สงสัยกันมากถึงที่มาที่ไปของมันในบัดนี้ อาจจะมีวัตถุประสงค์แอบแฝงซึ่งเกี่ยวข้องกับการอยากได้ "รกเด็ก" ไปทำ Stem Cell ในอนาคต

ทว่า ผมก็ยังคงวิงวอนอยู่ลึกๆ ขอให้ข้อสังเกตุของผมผิดพลาดเถอะ

เพราะถ้ามันเป็นจริงตามนั้น มันจะไม่เพียงเป็นปัญหาของการ "เช่าซื้อพื้นที่มดลูก" หรือแม้กระทั่งเป็นการ "ค้ามนุษย์" ธรรมดา แต่มันจะยกระดับเป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก ที่มีกลุ่มคนซึ่งกำลังทำความผิดต่อมนุษยชาติ ทำการผลิตมนุษย์ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเตรียมและพัฒนาไปเป็น "อะไหล่" หรือ "อวัยวะสำรอง" ของตัวเอง

นอกจากหลักจริยธรรมสากลจะถูกท้าทาย ด้วยคำถามที่ว่าพวกเราจะยอมให้มีผู้พยายามเล่นบทบาทพระเจ้า ผู้สร้างและชี้ชะตามนุษย์ลอยนวลอยู่ต่อไปได้หรือไม่แล้ว การกระทำดังนี้ ยังเป็นการกดขี่ข่มเห็งเอารัดเอาเปรียบกดคนลงเป็นทาสแบบเห็นๆ และยังจะเป็นการสร้าง "มนุษย์อะไหล่" มนุษย์ชนชั้นใหม่ขึ้นมาเป็นปัญหาของโลกในอนาคตอีกด้วย

ที่แย่ก็คือ ในกระบวนการเหล่านี้ ดันมีประเทศไทยและแพทย์ไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่ต้น

มันจะผิดกันอย่างมหันต์และน่าละอายเอามากๆ

ผมคิดว่าตำรวจไทยรวมทั้งสมาคมวิชาชีพแพทย์และสื่อมวลชนกระแสหลัก จะต้องสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ว่าการคลอดอันเนื่องมาแต่อุ้มบุญเหล่านี้ มีการนำรกเด็กไปใช้ประโยชน์ต่อหรือไม่อย่างไร หรือถ้าอ้างว่าได้มีการทำลายทิ้ง พวกเขาใช้วิธีไหน พิสูจน์ได้หรือไม่ โดยต้องหาทางพิสูจน์ให้มั่นใจว่าพวกเขามิได้นำไปฝากไว้ตามศูนย์รับฝากรกเด็ก (หรือ "ธนาคารสเต็มเซลล์") หรือนำออกนอกประเทศ

อีกทั้งน้ำเชื้ออสุจิของพ่อเด็กที่นำมาจ้างผู้หญิงไทยให้ทำการอุ้มบุญทั้งหมดนั้น มาจากบุคคลคนเดียวกัน หรือมาจากบุคคลหลายคน และแต่ละคนเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ (เช่น "ยากูซ่า") ทั้งทางตรงทางอ้อม หรือไม่อย่างไร (ขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ นายมิตสึโตที่อ้างว่าเป็นพ่ออุ้มบุญของเด็กๆ ได้ส่งตัวอย่างดีเอ็นเอของตัวเองให้กับนิติเวช แต่ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเมื่อเทียบกับเด็กๆ ยังไม่ออกมา (19 ..) และต่อมาอีก 1 วันตำรวจก็ได้ออกมาแถลงข่าวว่ายังไม่ปักใจเชื่อดีเอ็นเอที่ทนายของหนุ่มญี่ปุ่นส่งให้พิสูจน์เป็นของเจ้าตัวจริง ชี้ควรได้รับการรับรองจากสถานทูต รวมถึงโรงพยาบาล พร้อมแนะควรมาให้ข้อมูลด้วยตัวเอง (20 ..))

หรืออาจเป็นการอุ้มบุญในแบบให้เช่าพื้นที่มดลูกเท่านั้น คือผู้ว่าจ้างนำน้ำเชื้อที่ผสมกับไข่ของพ่อและแม่มาจากต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว แล้วค่อยมาว่าจ้างให้แม่อุ้มบุญไทยรับจ้างตั้งท้องและคลอดให้เฉยๆ

ถ้าหากว่าน้ำเชื้ออสุจิเหล่านั้นเป็นเชื้อของหลายคน หรือเป็นเชื้อที่ผสมกับไข่มาเรียบร้อยแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าบุคคลที่กล่าวอ้างเป็นพ่อของเด็กและออกหน้าเป็นผู้จ้างวานบรรดาแม่ๆ อุ้มบุญเหล่านั้น (ในกรณีนี้คือนายมิตสึโตกิ ชิเกตะ) เป็นแต่เพียงนายหน้า ที่ต้องการผลิตเด็ก (และรกเด็ก) ไปเพื่อสำรองเป็นอะไหล่สำหรับบรรดาพ่อๆ (และแม่ๆ ในกรณีน้ำเชื้อผสมแล้ว) แต่ละคน ซึ่งเป็นผู้จ้างวานนายมิตสึโตกิมาอีกทอดหนึ่ง

สองกรณีหลังนี้ ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เสียเลยทีเดียว เพราะตามรายงานข่าวของสำนักข่าวไทยรัฐทีวี ได้พบพิรุธซึ่งน่าคิดบางประการว่า นายมิตสึโตกิ ชิเกตะ "มีความเชื่อมโยงกับนายสำราญ ปาสาเนย์ ผู้มีชื่อเป็นเจ้าบ้านของบ้านเลขที่ 466/151 โดยทีมข่าวไทยรัฐทีวีทำการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า บ้านหลังดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 ถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2557 มีการแจ้งย้ายเด็กเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นสัญชาติสวีเดน 4 คน มาเลเซีย 1 คน สเปน 7 คน บราซิล 2 คน ออสเตรเลีย 2 คน อเมริกา 1 คน อิสราเอล 3 คน และจีน 1 คน รวมทั้งหมด 21 คน และยังไม่ได้มีการย้ายชื่อเด็กทั้งหมดออกจากทะเบียนบ้านแต่อย่างใด แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบเด็กอยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวแม้แต่คนเดียว ซึ่งเจ้าหน้าที่สงสัยว่าเด็กทั้งหมดอาจถูกส่งไปยังต่างประเทศแล้ว" (อ้างจาก "สาวอุ้มบุญยุ่นแฉ ได้เด็กแฝด" ทีมข่าวหน้า 1, ไทยรัฐ 15 สิงหาคม 2557)

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อข่าวการจ้างวานผลิตเด็กของนายมิตสึโตกิอื้อฉาวขึ้น เรากลับพบกรณีรับจ้างอุ้มบุญอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เฉพาะตำบลปากช่องเพียงตำบลเดียว ก็พบว่ามีแม่อุ้มบุญอยู่ถึง 24 รายแล้ว ดังข่าวจาก ไทยรัฐ วันที่ 21 สิงหาคม 57 "สำรวจหมู่บ้าน 'แม่อุ้มบุญ' ที่เพชบูรณ์ เชื่อทำแล้วได้บุญ" ที่ว่า "ล่าสุด ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสมยศ รอดแช่ม นายอำเภอหล่มสัก นายอำนาจ พูนยอด ปลัดฝ่ายความมั่นคง ได้นำคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย นางเกษร วงศ์มณี สาธารณสุขอำเภอหล่มสัก และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่สำรวจแม่อุ้มบุญในหมู่บ้าน ซึ่งพบว่า ต.ปากช่อง 4 หมู่บ้าน มีหญิงสาวเป็นแม่อุ้มบุญทั้งหมด 24 ราย เป็นหญิงสาวที่อุ้มบุญจนคลอดลูกไปแล้ว 14 ราย เหลือยังคงอุ้มท้องอยู่อีก 10 ราย โดยในจำนวนแม่อุ้มบุญที่ยังอุ้มท้องอยู่นั้น ได้อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ 8 ราย อยู่ต่างประเทศ โดยไม่ทราบว่าประเทศใด 1 ราย ส่วนอีก 1 ราย ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านปากออก กระทั่งเมื่อวันก่อนมีสื่อมวลชนเดินทางเข้ามาทำข่าว ทำให้แม่อุ้มบุญที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านรายสุดท้าย ตัดสินใจเดินทางออกจากหมู่บ้านเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา"

ฟังแล้วน่าตกใจไม่น้อย

ความก้าวหน้าทางด้าน Molecule Biology และ Genetic Engineer ทำให้เรารู้ว่าสมัยนี้คนรวยๆ ในโลกนี้ สามารถตรวจความบกพร่องของพันธุกรรมได้ด้วยการนับคู่เบสในโครงสร้างของ “ดีเอ็นเอ” (DNA) ที่เรียงตัวกันยาวประมาณ 3.1 พันล้านคู่เบส

ข้อมูลที่บรรจุอยู่ใน "จีโนม" (Genome) หรือชุดของ DNA ทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในนิวเคลียสของทุกๆ เซลล์ ถือเป็น "แบบพิมพ์เขียว" ของชีวิตคนๆ นั้น

ฉะนั้น ถ้าเรารู้ข้อมูลทั้งหมด เราก็ควรจะรู้ว่าความบกพร่องทางพันธุกรรมของคนๆ นั้นอยู่ตรงไหน คู่ไหนบ้างที่ผิดปกติ เช่นสลับข้าง หรือเรียงผิด และสามารถระบุตำแหน่งของคู่ที่ผิดปกติเหล่านั้นได้อย่างค่อนข้างแน่ชัดว่าเรียงลำดับอยู่ในช่วงไหน หรือจากช่วงไหนถึงช่วงไหน

ความก้าวหน้าทางด้านชีวโมเลกุลในปัจจุบัน สามารถระบุได้ค่อนข้างแม่นยำแล้วว่า ช่วงที่ผิดปกตินั้นๆ ทำหน้าที่อะไร และสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันสักแค่ไหน

หากว่าช่วงที่ผิดปกตินั้นๆ เป็นส่วนซึ่งทำหน้าที่สำคัญ เช่น เป็นตัวควบคุมการเต้นของหัวใจ หรือควบคุมการหลั่งอินซูลินของตับอ่อน หรือควบคุมความทรงจำ หรือควบคุมการสร้างไขกระดูก เป็นต้น มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของ "แบบพิมพ์เขียว" ชุดนั้นย่อมต้องพบกับความเสื่อมของอวัยวะสำคัญเหล่านั้น และออกอาการของโรคร้ายแรงเข้าสักวันหนึ่ง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับนาฬิกาที่กำหนดไว้ในชุดข้อมูลตาม "แบบพิมพ์เขียวชีวิต" นั้นแล

เมื่อรู้ดังนี้แล้ว การแพทย์สมัยใหม่ย่อมสามารถยื่นมือเข้าแก้ไขแทรกแซงโดยตรงไปที่พันธุกรรมมนุษย์ได้โดยง่าย เราจึงมักได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่า การแพทย์สมัยนี้สามารถรักษาโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่ง หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม หรือแม้แต่อัลไซเมอร์ในคนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้ หรือโรคพันธุกรรมบกพร่องอื่นๆ อีกหลายโรคได้แล้ว โดยอาศัยเทคนิคทางด้าน "วิศวพันธุกรรม"

ย่ิงไปกว่านั้น ด้วยเทคนิคเดียวกันนี้ มนุษย์อาจสามารถปรับแต่งพันธุกรรม หรือทำให้สมบูรณ์ขึ้นได้ หากต้องการจะทำ

ถือเป็นการสร้าง "Superman” โดยไม่จำเป็นต้องกำจัดหรือกวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอทิ้ง คัดไว้แต่พวกเลือดบริสุทธิ์ อย่างที่ฮิตเลอร์เคยฝันค้างไว้

อีกเทคนิคหนึ่งที่นิยมใช้คือการปลูกถ่ายอวัยวะที่เสื่อมไปโดยใช้ Stem Cell ซึ่งถ้าจะให้ได้ผลดีอาจต้องใช้ "รกเด็ก" นำมาสกัดเอา Stem Cell ซึ่งเป็นเซลล์ตั้งต้นที่ยังไม่พัฒนาเติบโตไปเป็นเซลล์เฉพาะ ที่จะกุมขึ้นเป็นอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในอนาคต (ที่เรียกว่า "ครบ 32”)

หลังจากนั้นก็นำ Stem Cell มาเลี้ยงและพัฒนาให้เป็นเซลล์เฉพาะบางอย่างที่ต้องการ เช่น ผนังหลอดเลือดหัวใจ หรือกระดูกอ่อน หรือเส้นเลือดในตับ ฯลฯ เพื่อใช้เป็น "อะไหล่สำรอง" สำหรับคนที่อวัยวะเหล่านั้นเสื่อมไป หรือคาดว่าจะเสื่อมในอนาคต เนื่องจากข้อมูลพันธุกรรมระบุไว้เช่นนั้น

แม้ทุกวันนี้ หมอเก่งๆ จะสามารถพัฒนาเทคนิคการคัดกรองเอา Stem Cell จากไขสันหลังหรือรากฟันของตัวเราเองได้เป็นผลสำเร็จแล้ว แต่ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก็บอกเราว่า Stem Cell เหล่านั้น มันน่าจะมีอายุเท่ากับตัวเราในขณะนี้ และเมื่อนำไปพัฒนาเป็นเซลล์เฉพาะทาง อายุของเซลล์และอวัยวะสำรองที่กุมขึ้นได้จาก Stem Cell ชุดนั้น มันก็น่าจะแก่ตามเราไปด้วย

นั่นเป็นความลับของธรรมชาติซึ่งมหัศจรรย์มาก เพราะนาฬิกาที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลพันธุกรรมของแต่ละเซลล์นั้น มันมีจริง และมันก็น่าจะเป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์แต่ละคน จะต้องเผชิญกับความเสื่อมของอวัยวะแต่ละอย่างในช่วงไหน และจะสิ้นอายุไขกันเมื่ออายุเท่าไหร่...แต่ละคน ทีละคน ไม่เท่ากัน

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการคัดกรองเอา Stem Cell จาก "รกเด็ก"

และถ้าเป็น "รกเด็ก" ที่มีข้อมูลพันธุกรรมของเราฝังอยู่ในนั้นครึ่งหนึ่ง ย่อมต้องดีที่สุด

การว่าจ้างให้อุ้มบุญโดยฉีดน้ำเชื้อของพ่อเข้าไปผสมกับแม่อุ้มบุญไทย ก็จะได้ "รกเด็ก" ที่อุดมไปด้วย Stem Cell ซึ่งฝังข้อมูลพันธุกรรมของพ่อผู้ว่าจ้างครึ่งหนึ่ง และการอุ้มบุญโดยนำน้ำเชื้อที่ผสมแล้วมาฉีดใส่ ก็ย่อมได้ Stem Cell ที่ฝังข้อมูลพันธุกรรมของพ่อเศรษฐีผู้ว่าจ้างและแม่เศรษฐีผู้ว่าจ้างอย่างละครึ่ง

หากจินตนาการให้แย่ยิ่งกว่านั้น ดีไม่ดีเด็กอุ้มบุญพวกนี้ อาจถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นในฐานะ "อะไหล่" เพื่อสำรองไว้สำหรับพ่อแม่เศรษฐี จะได้หยิบฉวยเอาอวัยวะไปเปลี่ยนถ่ายให้กับตัวเองในอนาคต ก็เป็นได้

ดังนั้น ถ้าหากว่าไทยเรายังต้องการให้มีการอุ้มบุญต่อไป ย่อมต้องทำให้โปร่งใส เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ดังที่ผมได้กล่าวมา

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
22 ส.ค. 2557
รูปประกอบ Britney Spears จาก www.justgoodwallpaper.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น