วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

MERS & เผด็จการ: ไวรัสสองสายพันธุ์ ที่น่ากลัวไม่แพ้กัน


ระยะนี้มีเหตุการณ์ต่อเนื่องสองอย่างที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมากหน่อย อย่างแรกคือการจะต่ออายุให้กับพลเอกประยุทธ์ และอย่างที่สองคือการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์มรณะ MERS ในเกาหลีใต้ซึ่งถือว่าใกล้บ้านเราเข้ามาทุกที

สองอย่างนี้น่าหวาดเสียวด้วยกันทั้งคู่

อันที่จริง หลังจากระบอบสมบูรณาญสิทธิราชย์สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.. 2475 "เผด็จการ" ก็ไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่คู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด สลับกันไปมาระหว่างเผด็จการทหารกับเผด็จการรัฐสภา และบางช่วงก็เป็นทั้งสองอย่างผสมกัน

บางทีก็เข้ม บางทีก็จาง

แต่ไม่ได้หายและไม่เคยหายไปไหน!

มันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ไม่ต่างจากปลวก หนู แมลงสาบ และไวรัส ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน บางช่วงก็เยอะ บางช่วงก็น้อย บางทีก็ซุ่มเงียบ และบางทีก็ระบาดหนัก แต่ก็ไม่เคยหายไปไหนเช่นกัน

ผมหมายถึง ระบอบที่คนจำนวนหยิบมือคอยกำหนดชะตากรรมของคนส่วนใหญ่โดยคนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมน้อยมาก

โดย Cronies ของคนจำนวนหยิบมือนั้นย่อมถืออภิสิทธิ์ในทางต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเมือง หรือแม้กระทั่งกฎหมาย เหนือกว่าประชาชนธรรมดาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม

ไม่ใช่เฉพาะสังคมไทยหรอกที่เป็นแบบนี้ สังคมของประเทศสำคัญๆ ก็เป็นแบบนี้ อย่างเช่นจีน รัสเซีย หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง ก็มีแนวโน้มเป็นแบบนี้ยิ่งขึ้นทุกทีๆ แล้ว

คนที่อยู่ภายใต้ระบอบนั้นมานานๆ ส่วนใหญ่จะคิดว่า ถ้าไม่มีระบอบนี้แล้ว ความโกลาหลจะเกิดขึ้น อย่างในสังคมจีนนั้น ความเห็นแบบที่ว่านี้ พบเห็นได้ชัดเจนทั่วไป แม้ว่าเผด็จการของจีนบางช่วงจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายมาก

ยิ่งคนที่อยู่ในเครือข่ายผลประโยชน์ของระบอบนี้ พวกเขาย่อมต้องการให้ระบอบนี้คงอยู่ต่อไป ในแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบทหารนำหรือรัฐสภานำ หรือเป็นแบบผสมก็ได้ สุดแท้แต่ว่าตัวเขาและพวกเขานั้นสังกัด Cronies กลุ่มใด

พวกเขาเพียงแต่ชอบระบอบเผด็จการที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา

ก็เท่านั้นเอง

ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองสังเกตุพฤติกรรมของบรรดานักธุรกิจ นายธนาคาร เทคโนแคร็ต และนักลงทุนใหญ่ๆ ในแต่ละช่วงดูก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เผด็จการแบบใด ถ้าไม่ไปขัดผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะสนับสนุนระบอบหรือผู้นำของระบอบนั้น หลายครั้งถึงขั้นออกปากชมกันแบบออกนอกหน้าเลยก็มี

พักเรื่องไวรัสสายพันธุ์การเมืองไว้เพียงเท่านี้ แล้วหันมามองไวรัสสายพันธ์ุมรณะ MERS กันมั่ง

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ (10 มิ.ย. 58) นับเป็นวันที่ 22หลังจากทางการเกาหลีใต้ตรวจพบผู้ติดเชื้อคนแรก โดยระหว่างนี้กลับมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 122 ราย และเสียชีวิตลง 9 รายจากจำนวนนั้น โดยยังมีผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้ออีกถึง 3,500 คน ถูกกักบริเวณอยู่ในเขตกักกันโรค (Quarantine)

ฟังแล้วน่าตกใจ และสังหรณ์ใจว่าถ้าคุมไม่อยู่ ผลกระทบของมันอาจรุนแรงเท่ากับตอนที่ไข้หวัดนรกสายพันธุ์ SARS ระบาดหนักเมื่อปี 2546 ก็เป็นได้

ผมเคยเขียนถึงเรื่องไวรัสและลักษณะการโจมตีมนุษย์ตลอดจนผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไว้อย่างละเอียด สมัยที่ H1N1 กำลังระบาดหนัก ภายใต้หัวเรื่องว่า "พวกอุบาทว์กาลีโลก ๒๐๐๙ กับเศรษฐกิจไทย" (ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถ"คลิก"อ่านได้ที่ http://mba-magazine.blogspot.com/2010/08/blog-post.html)

ว่าแต่ว่าตอนนี้ เกาหลีใต้คงอ่วมน่าดู

ผลกระทบอย่างจังที่เห็นๆ ก็คือนักท่องเที่ยวหดหายและรายได้อันเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเหือดแห้งลงทันตา การจับจ่ายใช้สอยก็น้อยลง เพราะผู้คนไม่ค่อยอยากออกจากบ้านไปปะปนกันคนหมู่มาก

ลองคิดดูว่าถ้าสถานการณ์แบบนี้ลุกลามเข้ามาในเมืองไทยในช่วงที่เรากำลังอ่อนแรงอยู่ จะซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบางอยู่นี้สักเพียงใด

ปัญหาของเกาหลีใต้ ว่าไปแล้วคล้ายกับไทยอยู่บ้าง

คือตั้งแต่วิกฤติซัพไพร์มเป็นต้นมา ประเทศใหญ่ๆ ล้วนดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย ลดดอกเบี้ยลงเป็นว่าเล่น เพื่อกดดันให้ค่าเงินของตนต่ำลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน

สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ถึงกับใช้นโยบาย QE โดยให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่มอย่างมหาศาลแล้วนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรอง เพื่อกดดันให้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงกันหรือ Yield ของพันธบัตรรัฐบาล ต่ำกว่าความเป็นจริง

นักวิเคราะห์บางคนเรียกสถานการณ์อันนี้ว่า "สงครามค่าเงิน" หรือ Global Currency Wars เพราะเป็นการเข้าแทรกแซงให้ค่าเงินของตนเองต่ำกว่าคู่แข่ง โดยหวังว่าจะขายสินค้าส่งออกได้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังวิกฤติไม่ให้ซบเซาเกินไป

สถานการณ์แบบนี้มันส่งผลกระทบกับผู้ส่งออกทั่วโลก

ของไทยเอง ก่อนหน้านี้ ค่าเงินของเราจู่ๆ ก็กลายเป็นแข็งค่าขึ้นมามากเมื่อเทียบกับเงินยูโร และแข็งโดยเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับสกุลเงินของเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในเอเชียด้วยกัน ส่งผลให้ผู้ส่งออกจำนวนมากถึงกับขาดทุน และได้กดดันไปยังรัฐบาล จนมีส่วนให้ธนาคารชาติต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยลง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารชาติเคยวิตกว่าการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นหากลดดอกเบี้ยลง ด้วยซ้ำไป
ข้อจำกัดแบบนี้ เกาหลีก็เจอคล้ายๆ เรา

อย่าลืมว่าคู่แข่งขันในตลาดโลกของเกาหลีคือญี่ปุ่น ทั้งรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไมโครโปรเซสเซอร์ชิพ เรือเดินสมุทร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภาพยนตร์ซีรี่ย์ การ์ตูน หรืออะไรต่อมิอะไรที่เกาหลีมุ่งมั่นเลียนแบบญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกมานี้ เพราะต้องการเอาชนะญี่ปุ่น ซึ่งเกาหลีถือเป็นศัตรูหมายเลยหนึ่ง อย่างไม่คิดชีวิต

นับแต่กลางปี 2556 เป็นต้นมา เงินเยนอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จนถึงขณะนี้ เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์แล้ว อ่อนลงกว่า 20% ในขณะที่เงินวอนของเกาหลีใต้สวิงเล็กน้อยในแดนบวกลบประมาณ 5% และเมื่อเทียบ ณ ขณะปัจจุบันแล้ว เกือบจะคงค่าเดิมเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ

จึงไม่แปลกที่ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อคำณวนเป็นเงินดอลล่าร์แล้ว ลดลงถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราที่ลดลงแรงที่สุดนับแต่ช่วงที่เกิดวิกฤติซัพไพร์ม

กิจการยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุง แอลจี เกีย ฮุนได แดวู ล้วนได้รับผลกระทบชัดเจน

แย่แล้ว!

นั่นอาจเป็นสัญญานเตือนว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ต้องทำอะไรสักอย่างกับค่าเงินวอนเสียที เพราะก่อนหน้านี้ธนาคารชาติของเกาหลีใต้เป็นห่วงว่าหากลดดอกเบี้ยลง (เพื่อกดดันให้เงินวอนลดค่าลง) ก็จะทำให้หนี้สินภาคเอกชนซึ่งสูงอยู่แล้ว สูงขึ้นไปอีกจนเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจภาพรวม

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา McKinsey Global Institute เพิ่งออกรายงานชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญมากชื่อ Debt and (Not Much) Deleveraging

เป็นการศึกษาภาวะหนี้สินของโลกในรอบหลายปีมานี้ โดยพบว่าหนี้สินรวมของโลกเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในรอบ 7 ปีหลังวิกฤติซัพไพร์มมานี้ (ตั้งแต่ปี 2550-2557) คือเพิ่มขึ้นถึง 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 142 ล้านล้านเหรียญฯ มาเป็น 199 ล้านล้านเหรียญฯ คิดเป็น 269% และ 286% ของ GDP โลก ตามลำดับ
ว่าเฉพาะของเกาหลีใต้ เมื่อวัด ณ ไตรมาสสองของปีที่แล้ว มีหนี้สินถึง 231% ของ GDP คิดเป็นเพิ่มขึ้นจากยอดหนี้เมื่อปี 2550 ถึง 45% โดยภาคธุรกิจเอกชนเพิ่มขึ้นถึง 19% ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึง 12% ในขณะที่ภาครัฐบาลเพิ่มขึ้นเพียง 15% ต่างกับของญี่ปุ่นที่แม้จะมีหนี้สินสูงที่สุดในโลกคือ 400% ของ GDP แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ภาครัฐ (เพิ่มขึ้น 63% ใ่นช่วงเดียวกัน) โดยภาคธุรกิจเอกชนก่อหนี้เพิ่มเพียง 2% แต่ภาคครัวเรือนกลับก่อหนี้ลดลง 1% ด้วย

นั่นทำให้เราพอเข้าใจได้ว่าทำไมธนาคารกลางของเกาหลีใต้ถึงไม่ยอมลดดอกเบี้ยลง ในช่วงที่ผ่านมา

พวกเราที่คอย "เสมอนอก" ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า ไวรัสนรก MERS ตัวนี้ จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ธนาคารกลางของเกาหลีใต้ต้องเหนี่ยวไกหรือไม่

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นบทเรียนให้กับเราในโอกาสต่อไป

แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ชอบพนันขันต่อและชอบเก็งกำไรเป็นชีวิตจิตใจ หลายคนคงเริ่มมองแล้วว่าจะเข้าซื้อเงินดอลล่าร์/ขายเงินวอน กันในจังหวะไหนดีในตลาดล่วงหน้า

ขอให้โชคดี

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

10 มิถุนายน 2558

หมายเหตุ: หลังจากที่ผมเขียนบทความนี้ได้ 1 วัน ธนาคารชาติของเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25%  เหลือ 1.5% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น