วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

เอาชนะสงครามยาเสพติดด้วยหลักเศรษฐกิจ





ข่าวดาราพัวพันกับยาเสพติด เตือนใจและย้ำให้เห็นความจริงที่ว่า ทุกวันนี้ยาเสพติดระบาดหนักกว่าเดิมมากขึ้นทุกที

ลองเปิดดูรายการข่าว ตามช่องทีวีดิจิตัลทุกวันนี้ ต้องเห็นข่าวเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างน้อย 1 ข่าวต่อวัน

บางวันมีตั้งหลายข่าว เช้าข่าวนึง เย็นอีกข่าวนึง

เห็นแล้ว ทำให้อยากค้นคว้าข้อมูลเชิงสถิติ ขึ้นมาดู

ปรากฏว่า ตามรายงานของหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) นั้น พบว่า ปีหนึ่งๆ มีสถิติการจับกุม เป็นแสนๆ ราย บางปีก็เกินสองแสนราย

แบ่งชนิดใหญ่ๆ ได้เป็น ยาบ้า มากที่สุด (ประมาณร้อยละแปดสิบของทั้งหมด) รองลงมาเป็น ยาไอซ์ เฮโรอีน เอ็กตาซี กัญชาแห้ง กัญชาสด คีตามีน โคเคน และพืชกระท่อม

คิดตามตัวเลขนี้ ถ้าทีวีต้องตามรายงานข่าวการจับกุมทุกครั้ง ก็เป็นอันว่า เราไม่ต้องได้ดูข่าวอื่นกันแล้ว เพราะมันจะเต็บไปด้วยข่าวการจับกุมยาเสพติด ทั้งวันทั้งคืน

เมื่อลอง บวกๆ ตัวเลขงบประมาณเกี่ยวกับการปราบปรามและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดดู ผมบวกของปีล่าสุดได้กว่า 20,000 ล้านบาท

นี่เฉพาะของประเทศไทย !

ถ้ารวมทั้งโลกคงหลายแสนล้าน หรืออาจจะถึงล้านล้าน ต่อปี

ไม่นับว่าต้องใช้เจ้าหน้าที่และสายสืบจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด

สิ้นเปลืองไม่น้อย

แต่ผลที่ได้ กลับสวนทางกับงบประมาณและทรัพยากรที่ใช้ เพราะนับวัน ยาเสพติดจะเพิ่มขึ้นและขี้ยาก็เพิ่มขึ้นด้วย

ในรอบ 40 ปีมานี้ คนติดยาเสพติดเพิ่มขึ้นหลายพันเปอร์เซนต์

ทั้งๆ ที่คนมีการศึกษาแยะขึ้น รู้ดีรู้ชั่วว่าการใช้ยาเสพติดในปริมาณมากๆ นั้น มันอันตราย ถึงตายได้ในเวลาอันสั้น และโทษทัณฑ์ตามกฎหมายก็แรงมากด้วย ถึงขั้นประหารชีวิต

ที่สถานการณ์มันใหญ่โตเลวร้ายมาถึงเพียงนี้ มันก็เป็นไปตามกฏของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกฏธรรมชาติของสังคมชนิดหนึ่ง

กฎธรรมชาตินั้น มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ตรงกันทุกกฏ คือหากเราฝืนมันแล้ว จะไม่เป็นผลดี

กฏของเศรษฐกิจง่ายๆ คือ ถ้าของสิ่งหนึ่ง มีคนต้องการมาก แต่จำนวนของมีขายเท่าเดิม ราคาของสิ่งนั้นย่อมต้องแพงขึ้นเป็นธรรมดา

ถ้าของสิ่งนั้นถูกทำให้แพงขึ้น โดยการแทรกแซงบังคับของรัฐบาล แทนที่มันจะมีคนซื้อน้อยลง และหายจากตลาดไปในที่สุด มันกลับแพร่หลายยิ่งขึ้น

เพราะเมื่อของชนิดนั้นแพงขึ้น คนค้าคนขายของประเภทนั้นก็จะได้กำไรมากขึ้น ทำให้ร่ำรวยขึ้น

ทีนี้ พอคนอื่นเห็นเข้า ก็เกิดอยากรวยบ้าง จึงหันมาค้าขายของชนิดนั้นกันมากขึ้น

เมื่อมีผู้ขายแยะขึ้นๆ มันก็ต้องแข่งขันกัน เพื่อจะหาลูกค้า ขยายตลาดออกไป ทำให้คนซื้อเพิ่มขึ้นไปด้วย

ผู้ผลิตที่เห็นช่อง ก็ยิ่งต้องเร่งสร้างโรงงานเพิ่ม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต แล้วส่งเข้ามาขายในตลาดเพิ่มขึ้นไปอีก

แต่พอราคาของมันกำลังจะลดลง ผกผันตามปริมาณการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลของทั้งโลก ก็เร่งปราบปรามมันหนักข้อขึ้นไปอีก ก็เลยยิ่งทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม แทนที่ราคาของมันจะลดลง

นี่เป็นกฏทางเศรษฐกิจ ที่สามารถนำมาอธิบายปรากฏการณ์ การระบาดของยาเสพติดและจำนวนของขี้ยาในปัจจุบันได้แบบง่ายๆ

คือเมื่อบ้านเมืองเข้ามาควบคุมและปราบปราม ทั้งตรากฎหมายให้การซื้อขายและการเสพ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ประกอบกับการปราบปรามจับกุมอย่างหนัก ย่อมทำให้ราคาของยาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น เป็นเงาตามตัว

ยิ่งควบคุมและปราบปรามหนักข้อขึ้นเท่าไหร่ ราคาของมันยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น

ยิ่งราคาของมันแพงขึ้น ธุรกิจนี้ยิ่งเย้ายวน ดึงดูดพวกพ่อค้าให้หันมาประกอบธุรกิจนี้มากขึ้น 

เราจึงมีพ่อค้ายาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

จับคนเก่าได้ คนใหม่ก็เข้ามาแทนและเข้ามาเพิ่ม

แม้แต่คนเสพ พอเห็นช่องได้เงินเยอะ ก็กลายเป็นคนขายได้ง่ายๆ

แม้กระทั่งพวกนักเลงปากซอยที่เคยเป็นลูกจ๊อก ลักเล็กขโมยน้อย แต่พอได้เข้ามาจับงานนี้ และมีความสามารถในการค้าขาย ก็สามารถกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในเวลาไม่นานนัก

เราจึงได้เห็นเศรษฐีใหม่ ประเภทไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า จำนวนมากในวงการนี้

ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจกฏของเศรษฐกิจข้อนี้ เราก็ควรแก้ปัญหายาเสพติด โดยใช้หลักการของกฎธรรมชาติของสังคมข้อนี้ เช่นเดียวกัน

เป็นการหนามยอกเอาหนามบ่ง

ทำได้ง่ายๆ โดยการยกเลิกกฎหมายเหล่านั้นเสีย ราคาของยาเสพติด ก็จะต้องลดลง เพราะรัฐบาลเลิกแทรกแซงราคา

แล้วต่อไป ราคาของมันก็จะปรับตัวไปตามกฎของธรรมชาติทางเศรษฐกิจ คือตามความต้องการและตามปริมาณการผลิต

อีกทั้ง งบประมาณที่ต้องใช้ในการปราบปราม ก็จะใช้น้อยลง

แล้วเราค่อยนำงบเหล่านั้นมาให้ความรู้กับคน เพื่อลดความต้องการลง หรือจูงใจให้คนเสพน้อยลง (เรื่องแบบนี้สำเร็จมาแล้วกับกรณีของบุหรี่)

ทีนี้ พอราคายาเสพติดมันลดลงเหลือเม็ดละไม่กี่บาท อาจขายกันเท่ากับยาแอสไพริน พ่อค้าและผู้ผลิต มันก็จะหมดแรงจูงใจไปเอง เพราะกำไรมันจะลดลง บางรายอาจเลิกผลิตไปเลย เพื่อไปผลิตยาชนิดอื่นที่ได้ราคาแทน

เหมือนกับโทรศัพท์บ้านนั่นแหละ ที่ครั้งหนึ่งคนต้องเข้าคิวรอกันเป็นปีๆ ราคาก็แพง จนมีธุรกิจยักษ์ใหญ่ทางโทรคมนาคมหลายรายแย่งประมูลสัมปทานกัน

จะเป็นจะตายก็ต้องให้ได้ จะสามล้านหรือสี่ล้านเลขหมาย ต้องทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลก็ยอม

แต่พอราคาโทรศัพท์มันลดลง และมี Smart Phone มาแทนที่ ผู้ผลิตเหล่านั้นก็เลิกลงทุนบ้าง เลิกกิจการไปบ้าง หันมาลงทุนในโครงข่ายไร้สายแทนบ้าง

อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนย่อมรักชีวิตตน และมีสิทธิที่จะทำอะไรกับชีวิตตนก็ได้ ตราบใดที่การกระทำนั้นๆ ไม่ไปเบียบเบียนคนอื่น

ดังนั้น ถ้าใครจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ตัวเองตื่นเต้นบ้างเป็นครั้งคราว มันก็เรื่องของเขา ถ้าเขาอยากเสี่ยง เขาก็ต้องรับผลแห่งความเสี่ยงนั้น

และในเมื่อมนุษย์รักชีวิตตน เขาก็ควรรับผิดชอบตัวเองในเรื่องการใช้ยา ไม่ใช้ยาเยอะเกินปริมาณที่จะเป็นพิษต่อร่างกาย

ถ้าจะพูดให้ถึงที่สุดแล้ว ยาเสพติดบางชนิด ก็เหมือนกับหลายสิ่งที่มนุษย์บริโภคอยู่ในชีวิตประจำวัน

ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล ยา ไขมัน เกลือ แอลกอฮอล์ อาหาร เซ็กส์ การพนัน การนอน หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย

ถ้าคนเราบริโภคมันมากเกินไป ย่อมไม่เป็นผลดี

นอนมาก มีเซ็กส์มาก กินน้ำตาลมาก กินยามาก กินไขมันมาก กินเกลือมาก กินอาหารมาก หรือแม้กระทั่งออกกำลังกายมากเกินไป ย่อมเป็นผลร้ายต่อร่างกายทั้งสิ้น

ยาเสพติดก็เช่นเดียวกัน




ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
20 ตุลาคม 2560

หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก www.manager.co.th ผู้เขียนขอขอบคุณเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น