วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความกล้าหาญและแนวทางการปฏิรูปประเทศ


มนุษย์เราส่วนใหญ่นับถือ "ความกล้าหาญ"

เพราะความกล้าหาญเป็นคุณธรรมประการสำคัญที่หาอย่างอื่นแทนได้ยาก แม้แต่ "ความดี" หรือ "ความเฉลียวฉลาด" ก็สู้ความกล้าหาญไม่ได้

ในสายตาคนรุ่นหลัง National Hero จึงมักมีคุณสมบัติเป็น "ผู้กล้า"

ดูอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นตัวอย่าง

หรืออย่าง "พระราม" ฮีโร่ตลอดกาลของชาวอินเดียและชาวเอเชียที่รับเอาวัฒนธรรมอินเดียมาแต่เก่าก่อนนั้น ก็แสดงออกถึงความกล้าหาญอย่างยิ่ง แม้จะมีจุดอ่อนแยะก็ตามที

แม้แต่ "เจ็งกิสข่าน" ฮีโร่อีกคนหนึ่งของชาวเอเชียก็หาใช่คนดีเด่อะไร ยึดดินแดนไหนได้ก็มักปล้น ฆ่า สังหารหมู่ และข่มขืน

ทว่า เขาเป็นฮีโร่ได้เพราะคนรุ่นหลังนับถือใน "ความกล้า" ของเขานั่นเอง

ผมว่าที่นายพลประยุทธ์ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ก็เพราะผู้คนชื่นชมในความกล้าหาญของท่านที่ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงและรับปัญหาทุกอย่างเอาไว้

ดีแล้วครับ

เพราะการปฏิรูปให้ถึงกึ๋นนั้น ต้องการความกล้าหาญเป็นอย่างสูง

อย่างแรกเลยคือต้องกล้าริดรอนผลประโยชน์ของเพื่อนข้าราชการที่โกงกิน หรือที่ใช้ตำแหน่งหาเศษหาเลย หรือเอื้อประโยชน์ให้พ่อค้า

และต้องกล้าริดรอนผลประโยชน์ของบรรดานักธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบ อาศัยช่องทางพิเศษ คอนเน็กชั่นกับนักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือกับสถาบันระดับสูง อาศัยข้อมูลภายใน อาศัยโครงสร้างอันอยุติธรรม ผูกขาดตัดตอน หรือใช้อำนาจเหนือตลาด เอาเปรียบคู่ค้า หรือผู้ประกอบการที่อ่อนแอกว่า และผู้บริโภค

ในกระบวนการนี้ ต้องปราบปรามมาเฟียทั้งระดับชาติ (บางรายก็เป็นบรรษัทข้ามชาติหรือบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ) และระดับท้องถิ่นซึ่งอาศัยความได้เปรียบจากสัญญาสัมปทานหรือความใกล้ชิดนักการเมือง ที่เอื้อให้หากินและเก็บเกี่ยวเอาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนดินใต้ดินอยู่เยอะแยะไปหมด

นั่นคือแนวทางการปฏิรูปข้อแรก ทำได้ง่ายๆ เลยครับ ถ้ามีความกล้าหาญ เพราะในกระบวนการนี้มันต้องขัดผลประโยชน์กับผู้ทรงอิทธิพลในสังคมไทยหลายกลุ่ม ซึ่งบางกลุ่มในนั้นก็มีส่วนอุ้มชูคณะ คสช. และท่านประยุทธ์อยู่ด้วย

กล่าวโดยสรุปคือต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมและความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ให้ได้เสียก่อน

ผู้ประกอบการรุ่นใหม่จำนวนมากจะมีโอกาสเกิดและเติบโตแข็งแกร่งขึ้นได้ในหลายอุตสาหกรรม หากพลังผูกขาดตัดตอนถูกจำกัดริดรอน และเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม (ตามแต่ความสามารถและสิทธิในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตเท่าเทียมกัน) ซึ่งในระยะยาวแล้ว สิ่งที่คนบางกลุ่มเรียกว่า "ทุนสามานย์" จะถูกทัดทานโดยพลังของตลาดและความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้น และระบบเศรษฐกิจไทยจะเข้มแข็งหลากหลายขึ้นในระยะยาว โดยผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมหรือบริการใหม่ๆ หรือพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เกิดและเติบโตขึ้นและพอจะเป็นความหวังหรือโอกาสให้กับคนเล็กคนน้อยและลูกหลานได้บ้าง ก็จะไม่ถูกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าไปผูกขาดตัดตอนได้โดยง่าย

ข้อต่อมาคือการปฏิรูประบบยุติธรรม ควรมุ่งที่การบังคับใช้กฎหมายให้เฉียบขาด เอาคนผิดมาลงโทษ และใช้เวลาในการดำเนินคดีความและตัดสินความให้สั้น ไม่ใช่ยาวนานแบบที่ผ่านมา

การปฏิรูประบบยุติธรรมไม่ใช่การเขียนกฎหมายเพิ่ม แต่ต้องปรับปรุงให้กฎหมายที่มีอยู่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ทันสมัย และ Practical และต้องรับใช้เป้าหมาย "ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ" ที่กล่าวมาข้างต้นด้วย

ข้อสุดท้ายคือปฏิรูปการเมือง โดยผมคิดว่านอกจากจะต้องนำนักการเมืองที่โกงกินและทำความผิดมาลงโทษให้ได้ และแก้ไขวิธีการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมและป้องกันมิให้เกิดเผด็จการรัฐสภาดังที่แล้วมา ควรถือโอกาสนี้วางกรอบและแนวทางเพื่อจำกัดบทบาทหน้าที่และกิจกรรมของรัฐบาลให้ลดน้อยถอยลงในอนาคต ด้วยอีกโสตหนึ่ง

ในระยะยาวแล้ว รัฐบาลไม่ควรเข้ามาเป็น Player ในระบบเศรษฐกิจเสียเอง ควรเป็นแต่เพียงผู้คุ้มกฎ โดยปล่อยให้เอกชนแข่งขันกันเองภายใต้กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมนั้น

ยิ่งรัฐบาลเข้าไปเป็น "เจ้ามือ" ในหลายๆ เรื่องด้วยแล้ว ในระยะยาวย่อมเกิดปัญหาทางการคลัง ดังสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างที่สุดขั้วอยู่ในขณะนี้

รัฐบาลควรตั้งใจทำ 5 เรื่องหลักเท่านั้นคือ

  1. การป้องกันประเทศ
  2. ความมั่นคงภายใน (ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน)
  3. การรักษาค่าเงินบาทให้มั่นคงน่าเชื่อถือ ไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืดและค่าเงินบาทหมดความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ
  4. บริการสาธารณะพื้นฐาน (รวมถึงการสร้างและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานด้วย) โดยรัฐบาลต้องหลีกเลี่ยงการเป็นเจ้ามือเอง แต่เน้นการกำกับดูแลให้มีจำนวนเพียงพอ มีคุณภาพ ในราคาสมเหตุสมผล
  5. ป้องกันหายนภัยอันจะเกิดจากธรรมชาติ

แค่ห้าเรื่องนี้ก็ยากแล้วครับ ถ้าจะทำให้ Perfect

แต่ถ้าทำได้ตามนี้ การคอรัปชั่นในอนาคตก็น่าจะลดน้อยลงไปเอง เพราะรัฐวิสาหกิจจะลดอิทธิพลลงและอาจจะแปรสภาพไปโดยมาก และอำนาจในการให้สัมปทานของรัฐบาลก็จะจำกัด ตรวจสอบได้ง่าย รัฐบาลก็ไม่ต้องมีหน้าที่ไปปกป้องใคร (แม้แต่สหภาพแรงงาน) เอื้อให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ ปล่อยให้เอกชนเขาตกลงต่อรองกันไปเอง

หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ เรามักเห็นว่านโยบายของรัฐบาลที่สำเร็จและได้รับความสนับสนุนจากราษฎรส่วนใหญ่โดยมากนั้น มักเป็นนโยบายที่ไม่ซับซ้อน และสามารถสรุปรวบยอดออกมาให้เป็นแนวคิดหรือคำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ

คล้ายๆ กับที่ผมสรุปมาข้างต้นนั่นแหละ

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
27 มิถุนายน 2557














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น