วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

การเติบโตของพวกสุดกู่ ม็อบ และสงครามกลางเมือง



ความขัดแย้งคราวนี้ทำให้เราเห็นแนวโน้มบางอย่างที่อันตราย

อันหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือการเติบโตของความคิดสุดกู่...ทั้งซ้าย และขวา (ผมหมายถึงพวก Radicals)

ทั้งในม็อบและนอกม็อบ รวมถึงพวกเสมอนอกบน Social Networks ที่เชียร์ให้ใช้กำลังกวาดล้างตัดตอนฝ่ายหนึ่ง และเชียร์ให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้หรือ Pre-empt เพราะกลัวว่าจะถูกกวาดล้างอีกฝ่ายหนึ่ง

นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอเชิงปฏิรูปประเภทถอยหลังเข้าคลองฝ่ายหนึ่ง เช่นให้ยกเลิกระบบ One Man One Vote” หรือให้เว้นวรรคระบบประชาธิปไตย หรือให้จำกัดสิทธิบางอย่างของราษฏร ตลอดจนการคุกคามคณะทูต และปฏิบัติต่อความเห็นของรัฐบาลต่างชาติแบบหลงชาติหรือชาตินิยมสุดกู่...และอีกฝ่ายหนึ่งที่มีข้อเสนอในแบบที่คล้ายคลึงกับสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 ซึ่งฟังดูแล้ว Extreme ด้วยกันทั้งคู่

ไม่เชื่อลองมองไปรอบตัวท่าน แค่คนใกล้ตัวท่านและในแวดวงของท่านเองที่ท่านรู้จักดีหรือเคยรู้จัก จะเห็นได้ไม่ยากว่าแทบทุกคนล้วนมี National Agenda ของตัวเองสักชุดหนึ่ง

Agenda ของบางคนวางอยู่บนพื้นฐานแบบเหยียดชนชั้นที่ใช้ระดับการศึกษา ฐานะ และหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งชาติกำเนิดแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มควรมีสิทธิไม่เท่ากัน หรือของบางคนที่อยากกลับไปยึดมั่นกับระบอบเทวสิทธิราชย์ และก็มีบ้างบางคนที่หันเข้าหาอีกขั้วหนึ่งจนกล้าประกาศตัวสนับสนุนระบอบ Republic อันตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีสิทธิเสมอกัน...แต่อย่างน้อยที่สุด สำหรับคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลย ก็มักจะหันมาอ้าง "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" บ่อยครั้งกว่าเดิม

หลายคนที่สมัยก่อนเคยรักสวยรักงาม สุภาพ มีเหตุมีผล และมองโลกในแง่ดี กลายมาเป็น Social Network Activist ที่การเมืองจ๋า ก้าวร้าว ปากจัด หยาบคาย เลือกฟังหรือใช้เหตุผลด้านเดียวแบบเข้าข้างตัวเอง และสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง หรือไม่ก็มีแนวโน้มที่จะวางเฉยไม่ห้ามปราม หากจะมีการใช้ความรุนแรงกำจัดหรือตัดตอนฝ่ายตรงข้าม

ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราต้องกีดกันไม่ให้พวก Extremist เหล่านี้ขึ้นมามีอำนาจ เพราะจะชักจูง กำกับ หรือบังคับไปในทิศทางที่ทำให้เกิดความผิดปกติและสุดท้ายจะจบลงด้วยคราบเลือดและน้ำตา

ผมสังเกตุว่าคนในกลุ่มนี้หลายคนมีบทบาทสูงในเชิงความคิด บางคนกุมสื่อที่ทรงอิทธิพล บางคนเป็นแกนนำมวลชนคนสำคัญ บางคนเป็นนักการเมือง บางคนดำรงตำแหน่งสำคัญทางด้านตุลาการและตำแหน่งราชการอื่น

ที่น่าตกใจ คือพวก Demagogue เหล่านี้บางคน สามารถอ้างสิทธิของมวลชนไปกระทำการที่ล่อแหลมต่อความรุนแรงได้ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก

จะเรียกว่าคนไทยสมัยนี้ถูกปลุกให้กลายเป็นม็อบง่ายเกินไปก็ได้

คนกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ ไปม็อบเหมือนกับไปงานอีเว้นต์ และคนต่างจังหวัดไปม็อบเหมือนกับไปทัศนาจร

แต่ม็อบก็คือม็อบ

ไม่ว่ายุคใดสมัยใด และเกิดกับคนชาติไหน ม็อบย่อมสะกดจิตคนได้ โดยแก่นแท้หรือความลับและเป้าหมายของมันก็คือการสะกดจิตคนให้ทำตามๆ กันนั่นเอง

ผมเจอผู้ใหญ่ที่น่าเคารพหลายคนในม็อบที่ผมไม่คิดว่าท่านเหล่านั้นจะแต่งตัวหรือปฏิบัติตัวหรือพูดจาหรือใช้เหตุผลแบบนั้นในเวลาปกติหรือในขณะที่ไม่ได้อยู่ในม็อบ

เยอรมนีในยุคไรซ์ที่สามภายใต้ฮิตเลอร์ ฝรั่งเศษหลัง 1789 ที่นำไปสู่การตัดพระเศียรของกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 และราชินีอังตัวเน็ต จีนสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมภายใต้เหมาเจ๋อตง ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ไทยก่อนปี 2540 หรือแม้กระทั่งฟองสบู่ทองคำ ทั้งที่เยาวราชและในตลาดโลกขณะนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือม็อบ ที่คนจำนวนมากพากันเฮโลสารพา แห่ทำอะไรตามๆ กันไปโดยไม่ทันยั้งคิด ไม่ทันใช้สติและเหตุผลอย่างรอบคอบ เป็นแบบพวกมากลากไป

ต่อประเด็นนี้ ผมอยากจะอ้างข้อเขียนของฝรั่งที่ศึกษาเรื่องม็อบจากหนังสือที่ถือกันว่าเป็นคลาสสิกทางด้านนี้ ไว้เผื่อให้ท่านผู้อ่านที่สนใจเป็นพิเศษจะได้ไปศึกษาเพิ่มเติมแบบลงลึกเอาเอง (โดยท่านที่ไม่อยากอ่านภาษาอังกฤษอาจข้ามไปได้โดยไม่เสียความหมายของบทความโดยรวม)

Gustave Le Bon เขียนไว้ในหนังสือ The Crowd: A Study of the Popular Mind ความตอนหนึ่งว่า

"Moreover, by the mere fact that he forms part of an organized crowd, a man descends several rungs in the ladder of civilization. Isolated, he may be a cultivated individual; in a crowd, he is a barbarian---that is, a creature acting by instinct. He possesses the spontaneity, the violence, the ferocity, and also the enthusiasm and heroism of primitive beings, whom he further tends to resemble by the facility with which he allows himself to be impressed by words and images---which would be entirely without action on each of the isolated individual composing the crowd---and to be induced to commit acts contrary to his most obvious interests and his best-known habits. An individual in a crowd is a grain of sand amid other grains of sand, which the wind stirs up at will.” (อ้างจาก Chapter 1.1 หน้า 13 กดลิงก์ http://web.archive.org/web/20080918081526/http://etext.lib.virginia.edu/toc/modeng/public/BonCrow.html)


ผู้คนที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เมื่อติดตามเหตุการณ์รอบด้านและรับรู้ความคิดเห็นของคนที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายในรอบหลายปีมานี้แล้ว ย่อมหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ ว่าอาจเกิดสงครามกลางเมืองเข้าสักวันหนึ่ง หากการเมืองยังเป็นแบบเดิม

ผมเองก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่ยังอุ่นใจว่าในกองทัพประจำการนั้น เรายังไม่เห็นพวกสุดกู่นี้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ และกองทัพของเรายังเป็นเอกภาพ

ข้อนี้ทำให้โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองน้อยลง และถึงแม้มันจะเกิด โอกาสที่จะรุนแรงยืดเยื้อก็มีน้อย

เพราะกองทัพทั้งสามของไทยนั้นครอบครองผูกขาดอาวุธหนักทั้งหมดในสังคมไทยไว้ในมือ แถมยังมีกองกำลังที่ฝึกมาสำหรับใช้อาวุธหนักเหล่านั้นอย่างเชี่ยวชาญ ดังนั้นตราบเท่าที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งคิดจะก่อสงครามกลางเมือง ไม่สามารถแทรกแซงเทคโอเวอร์กองทัพบางส่วน หรือยึดเอาอาวุธหนักบางส่วนไปเป็นของตัวได้ โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองย่อมไม่มี

ยกเว้นเสียแต่ว่าฝ่ายนั้นจะเริ่มสะสมอาวุธและฝึกกองกำลังของตัวเองอย่างลับๆ แต่มันก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงและอาจไม่คุ้มเพราะเป็นการลงทุนระยะยาวและเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงหาคนลงทุนได้ยาก และโอกาสที่จะถูกปราบปรามทำลายเสียแต่ต้นมือย่อมมีสูง

ตราบเท่าที่ฝ่ายม็อบ ไม่ว่าสีใด ยังไม่ได้ครอบครองอาวุธหนัก และกองทัพยังเป็นเอกภาพ โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองยังน้อย เพราะอย่าลืมว่าสงครามกลางเมืองแบบนั้นมันจะจบเร็วมาก เนื่องจากฝ่ายหนึ่งมีอาวุธแต่อีกฝ่ายหนึ่งมือเปล่า แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีอาวุธสูสีกัน ความเสียหายและรุนแรงย่อมมีมาก และการต่อสู้อาจยืดเยื้อ เหมือนกับที่เคยเกิดมาแล้วในรัสเซีย สเปน จีน เวียดนาม เขมร และลาว

ท่านผู้อ่านที่เคยศึกษาประวัติของสงครามกลางเมืองมาบ้าง ย่อมรู้ว่าทั้งสองฝ่ายโหดร้ายพอกัน ไม่ว่าที่ไหนๆ ทั้งฆ่า เผา ก่อการร้าย ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ทรมานศัตรู และฆ่าหมู่

กองทัพแดงและกองทัพขาวในรัสเซียนอกจากจะโหดร้ายกับทหารฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังปล้นชิง ข่มขืนและเข่นฆ่าราษฏร หรืออย่างกองกำลังฝ่ายสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองสเปนก็กวาดล้างคนของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมที่คาทาโลเนีย ไม่ต่างจากกองกำลังของฝ่ายนายพลฟรังโกที่ปฏิบัติต่อศัตรูอย่างเฉียบขาด 

อีกกองทัพประชาชนของเหมาเจ๋อตง สมัยเมื่อยึดครองแมนจูเรียได้นั้น ก็กดขี่ราษฎร ยิ่งมายึดครองจีนได้ทั้งประเทศแล้ว ราษฎรยิ่งทุกข์ทรมาน ถูกจับเข้าค่ายกักกัน บังคับให้ทำงานหนัก ถูกสังหารหมู่ จนล้มตายหลายสิบล้าน ไม่ต่างจากกองทัพฝ่ายเจียงไคเช็คที่โหดเหี้ยมกับผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนหน้านั้น 

นี่ยังไม่พูดถึงกรณีเวียดกงกับกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนามใต้ ซึ่งทิ้งระเบิดเพลิงแบบปูพรหมแถมยังฝนเหลืองและฆ่าหมู่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง หรือกรณีเขมรแดงที่ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลก

ดังนั้น ในเชิงจริยธรรมและศีลธรรมแล้ว ทำให้ผมไม่สามารถเข้าข้างฝ่ายใดได้เลย

และผมก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านที่รู้เรื่องเหล่านี้มาบ้าง จะคิดเหมือนกับผม และจะพยายามทุกวิถีทางเท่าที่กำลังจะมีพอและเป็นไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในเมืองไทย

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
26 ธันวาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนธันวาคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น