ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง อ้างถึงผู้ใหญ่มากๆ อีกท่านหนึ่ง ที่อยู่ในแวดวงของ grande dame ระดับสูงมากถึงสูงที่สุดของแผ่นดิน ซึ่งได้อ้างถึงผู้ใหญ่ที่สูงกว่านั้น ว่าท่านเปรยว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลหรือยิ่งลักษณ์ (ซึ่งพวกท่านเห็นว่าเป็น parvenu) ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ทักษิณก็จะตอบโต้เอาอย่างรุนแรงกับกรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อระบายแค้น และผู้คนในกรุงเทพฯ อาจประสบกับเรื่องราวน่าหวาดหวั่นและน่าเศร้าอีกหลายเรื่อง
นั่นเป็นการเปรยในช่วงที่กระแสเพื่อไทยกำลังมาแรงและยิ่งลักษณ์กำลังเป็น stock-in-trade โดยก่อนหน้านั้น ก็ได้มีการเปรยมาแล้วว่าถ้าก๊วนเพื่อไทยกลับมา คอรัปชั่นคงเบ่งบาน บรรดาคนโลภมากจะกลับมาเป็นเสนาบดีกัน ผู้ดีจะต้องหลบไปเดินในตรอก ขี้ครอกจะเบ่งไปตามท้องถนน และคางคกจะขึ้นวอ สมบัติชาติจะถูกปล้นโดยการนำไปแปรรูปเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วแอบฮุบหุ้นกันไว้เองตามอำเภอใจ และรอบนี้เป้าหมายสำคัญจะอยู่ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์...
อาชีพบรรณาธิการอย่างผม ถ้าทำไปนานๆ แล้วก็จำเป็นต้องพัฒนาทักษะชนิดหนึ่งขึ้นมาให้ได้ นั่นคือความสามารถในการหยั่งใจและหยั่งความคิดคนในสังคม
แม้ผมจะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในผับแถวทองหล่อ ใกล้บ้านผมเอง แต่ผมย่อมต้องรู้ว่าเด็กไฮโซซึ่งนิยมไปเที่ยวที่นั่นเป็นลูกหลานใครกันบ้าง พวกเขาไปทำอะไรกัน คิดอะไร มีกิจกรรมอะไรกัน และผับนั้นเป็นของใคร โดยเสธ.คนไหนเป็นคนคุมอยู่ ฯลฯ
เช่นเดียวกับที่บรรณาธิการชั้นดีส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าวังหรือเข้าไปสุงสิงในค่ายทหาร แต่ทุกคนย่อมต้องรู้ว่าคนในนั้นคิดอะไร มีใครไปพบกับใครช่วงไหน และพูดอะไรกัน...และแม้จะเกิดไม่ทัน พ.ศ. 2489 แต่ก็รู้ว่าปีนั้นเกิดเหตุ “กรณีสวรรคต” ขึ้น ความจริงของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ใครต้องสูญเสียชีวิตไปเพราะการณ์นั้น ญาติพี่น้องพวกเขาคิดอย่างไร และใครได้ใครเสีย จากการเมืองของกรณีนั้นบ้าง
บรรณาธิการระดับคุณภาพ ย่อมต้องรู้จักสังเกตสังกา ต้องรู้จักสืบสวนสอบสวน ต้องขจัดอคติให้เหลือน้อยที่สุด และพร้อมที่จะเปลี่ยนความคิดเมื่อพบความจริง ที่สำคัญ ต้องเงี่ยหูฟังผู้คน เริ่มจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และผู้คนใกล้ตัว แล้วขยายวงออกไป ทั้งด้วยการฟังและการอ่านและสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง
ผมเองก็ต้องคอยฟังว่าแม่ยายผมซึ่งเป็นลูกครึ่งจีน และดูและฟังและอ่าน ASTV/ผู้จัดการ อยู่เกือบตลอดเวลาว่าท่านคิดอะไร หรือพ่อแม่ผมเองที่อายุเกือบ 85 และเป็นคนเชียงใหม่ ว่าพวกท่านและแวดวงของท่านสนใจอะไรกันในแต่ละช่วง พี่น้องและเพื่อนๆ ของพี่น้องแต่ละกลุ่มตลอดจนผู้คนหลากหลายอาชีพและชนชั้นที่บรรดาพี่น้องของผมได้พบได้เจอหรือต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในแต่ละวันนั้นเขาว่ายังไงกัน อีกทั้งครูบาอาจารย์และเพื่อนของลูกๆ ตลอดจนพ่อแม่ของพวกเขา ทั้งที่สาธิตจุฬาฯ และเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ว่ามีใครพูดอะไร กับใคร ว่ายังไง...
เช่นเดียวกับที่ผมต้องฟังด้วยหูตัวเองว่าคนขับรถของผมและพนักงานทำความสะอาดที่ออฟฟิสตลอดจนยามและเมียยามซึ่งเป็นคนอีสานคิดอะไรและพูดอะไร และระหว่างพูดนั้นพวกเขาทำหน้าทำตา และออกอาการ Body Language ยังไงบ้าง หรืออย่างบรุษไปรษณีย์ที่มาส่งพัสดุนั้นก็เหมือนกัน...คนขับรถสองแถวหน้าปากซอยสุขุมวิท 39 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมริมคลองแสนแสบละ คิดกันยังไง...เด็กเซริฟในร้านอาหารที่มีโอกาสไปนั่งกินในแต่ละย่าน...ช่างซ่อมแอร์ที่มาจากเขตสามจังหวัดภาคใต้และส่งภาษายาวีกันเองตลอดเวลาทว่าพูดไทยกับผม...ภรรยานายตำรวจ สน.ทองหล่อ...หมอและหมอทหาร...ตลอดจนแม่ค้าขายข้าวแกงในซอยทองหล่อและเจ้าของร้านก๊วยเตี๋ยวเป็ดสามย่าน ฯลฯ
นี่ยังไม่นับบรรดาพี่ๆ น้องๆ นักข่าวที่ร่วมงานกับผมและที่ผมรู้จักและเครือข่ายของพวกเขา
แน่นอน หลายปีมานี้ Information ที่ได้มา ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความไม่สงบใจและยากจะวางใจต่ออนาคต (อันที่จริง ผมได้ศึกษาเรื่องสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญของต่างประเทศ และเขียนคู่มือการดำรงชีวิตท่ามกลางสงครามกลางเมืองไว้แล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา 53 และผมว่าเนื้อหาก็ยังสมสมัยอยู่...ผู้สนใจคลิดอ่านได้จากบทความชื่อ "อยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมือง" และ "สงครามกลางเมือง...ใช่ว่าฆ่ากันแล้วจะจบ ซะเมื่อไหร่")
แต่ผมก็เหมือนกับนักเขียนเรื่องหนักๆ จริงจังทั่วไปนั่นแหละครับ ที่ชอบอ้างอิงข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี พวกเราพอใจไปงานศพยิ่งกว่างานแต่งงาน พวกเรามักเขียนอะไรที่มัน Inspire fear ให้เกิดขึ้นในใจของผู้อ่านที่ respect ข้อเขียนของพวกเรา ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้เกิดสติและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท
คนไทยช่วงนี้ มี Negative Thought อยู่ในใจแยะ และต่างก็มี Low Opinion ต่อกันและกัน ถ้าไม่ระวัง และได้ผู้นำที่แย่ สถานการณ์อาจถูกฉุดให้เลวร้ายลงจนแก้ไขไม่ได้
ระยะหลังมานี้ ผมอ่านเอกสารที่เกี่ยวกับ American Revolution และศึกษาชีวประวัติของผู้นำอเมริกันยุคแรกมาจนยุค Civil War โดยผมตั้งคำถามว่า ทำไมสังคมอเมริกันและผู้นำอเมริกันก่อนสงครามกลางเมือง จึงปล่อยให้สถานการณ์ Drag down the drain ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องฆ่าแกงกันอย่างมโหฬาร จนขมขื่นอยู่นาน กว่าจะเยียวยากันหาย
ผมประทับใจในปฏิปทาของผู้นำยุคแรก โดยเฉพาะนายพลวอชิงตัน ที่ช่วยกันประคับประคองระบอบใหม่ให้ดำเนินไปตามความคาดหวังและอุดมการณ์ของพวกเขา และหลีกเลี่ยงการใช้กำลังเข้าหักหาญเอาอำนาจ
สหรัฐอเมริกาโชคดีที่ได้ผู้นำรุ่นแรกเก่ง พวกเขามาจากครอบครัวชนชั้นนำของแมสสาชูเซ็ตและเวอร์ยิเนีย ฉลาด มีความเป็นปัญญาชน และอ่านหนังสือหนังหากันมามาก เรียกว่าตั้งแต่ Washington, John Adam, Jefferson, Madison, Munroe, John Quincy Adam เหล่านี้ ล้วนมาจากชนชั้นสูง เป็นนักอ่านและยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
นายพล Jackson เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากชนชั้น “คนรวยใหม่” แต่ก็ยึดปณิทานแน่วแน่และเป็นคนเฉียบขาด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มรวนเร และไม่สามารถบริหารเศรษฐกิจให้ดีได้กับคนทั่วประเทศ อีกทั้งยังไม่ aware หรือไม่ยอมแก้ไขความขัดแย้งในสังคมอเมริกันโดยรวมได้ จนสุดท้ายความไม่พอใจและความเกลียดชังก็แผ่ออกทุกหย่อมหญ้าจนต้องจับอาวุธขึ้นประหัตประหารกัน
ท่านผู้อ่านที่สนใจ ลองอ่านเอกสารที่เชื่อถือได้ของยุคนั้นดูก็ได้ ลองดูไล่มาตั้งแต่ Martin Van Buren, Henry Clay, Daniel Webster, William Harrison, John Taylor, James Polk, Zachary Taylor, Millard Fillmore, Franklin Pierce, และ James Buchanan โดยเฉพาะก็สองคนหลังนี้ ที่ไม่สามารถนำให้ราษฎรเลี่ยงการฆ่าฟันกันได้สำเร็จ เพราะพวกเขามองเป็นเรื่องความขัดแย้งธรรมดา ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และยังเล่นการเมืองเชิงผลประโยชน์ของตัวและพวกใครพวกมันอยู่อย่างเดิม
ตอนที่ Lincoln เข้ามา ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว แต่ผมก็นับถือลิงคอนเมื่อศึกษางานของเขามากขึ้น ทว่าเมื่อลิงคอนตาย Andrew Johnson กลับทำลายสิ่งที่ลิงคอนอุตส่าห์สร้างมาด้วยเลือดและชีวิต นโยบาย “ปรองดองและฟื้นฟู” ของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า (ลองอ่าน “จดหมายจากอดีตทาส” ที่ผมเคยนำมาตีพิมพ์ดูใน www.mba-magazine.blogspot.com) และคนต่อมา วีรบุรุษสงคราม Ulysses Grant แม้จะเป็นนักการทหารที่เก่งแต่เป็นนักการเมืองที่แย่ เพราะนอกจากใช้คนแวดล้อมที่อ่อนแล้ว ยังโกงอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีไทยนับแต่นี้ไปต้องสำเหนียกเรื่องทำนองนี้ไว้ให้ดี อย่าให้มัน drag down จนลงหล่มโคลน
ผมอยากฝากแนวทางง่ายๆ สำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไว้ 4 ข้อ คือ 1.แสวงหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา 2.ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดให้ใช้ได้อีก 3.รู้จักใช้คน 4.รู้จักใช้เงิน
และต้องไม่เคลิ้มไปกับพวกประจบสอพลอ ทั้งคนใกล้ชิด ข้าราชการ นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง เพราะมันจะทำให้เราถูก Corrupt โดยอำนาจได้ง่าย
ที่สำคัญ ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณยิ่งลักษณ์ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำ ที่มีคนอื่นหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นซึ่งอยู่หลังม่าน สามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ไม่ต่างกัน ผมจึงขอให้พวกเขาแข็งขืน ถ้าคำสั่งหรือการกดดันนั้นมันไม่ชอบมาพากล หรือขัดกับมโนธรรมและหลักการประชาธิปไตย
นั่นคือ Moral Courage
วันหนึ่ง คุณยิ่งลักษณ์อาจจะต้องพูดกับพี่ชายว่า “อ้ายเจ้า..ฟั่งซุ่นข้าเจ้าเตื้อเน้อ ถ้าอ้ายบะปอใจ๋ ก่อยไล่ข้าเจ้าออก แต่ต๋อนนี้ ปล่อยฮื้อข้าเจ้าญะอะหยังต๋ามหลักก๋านและตี้มันควรจะเป๋นก่อนเน้อเจ้า...”
ถ้าคุณอภิสิทธิ์เผอิญเข้ามาอ่านเจอข้อความนี้ ผมอยากให้ลองแปลดูเอง
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
28 มิถุนายน 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน มิ.ย. 2554