ถ้า
X
= ผู้หญิง,
และ
Y
= ผู้ชาย
ครม. "ประยุทธ์ 1" ย่อมเขียนเป็นสมการได้ว่า: X+Y
= 33
โดย
X
= 2, และ
Y
= 31
ดังนั้น ใน
ครม.
ชุดนี้
X
< Y แยะเลยหล่ะ
ทั้งๆ
ที่ข้อมูลล่าสุดของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม
มหาวิทยาลัยมหิดล
ได้คาดการณ์จำนวนประชากรไทยทั้งสิ้นไว้เมื่อ
1
ก.ค.
2557 ว่าประกอบด้วย:
X
= 33,329,000
Y
= 31,542,000
ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่า
สังคมไทยยุค คสช.
ผู้หญิงยังหาได้เท่าเทียมกับผู้ชายในเชิงของการครองอำนาจและการบริหาร
ถึงแม้ในเชิงเศรษฐกิจ
ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายนานแล้วก็ตาม
เงินเดือนของผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายนานมาแล้ว
ทั้งภาคราชการและเอกชน
อีกทั้งโอกาสในการประกอบการ
ก็เท่าเทียมกัน
เดี๋ยวนี้เรามีผู้หญิงเป็นเจ้าของกิจการจำนวนมาก
เป็นผู้บริหารระดับสูงก็ไม่น้อย
กระทั่งติดอันดับมหาเศรษฐีของไทยก็มี
เร็วๆ
นี้ ห้างสยามพารากอน
จัดแคมเปญแถมบัตรจอดรถฟรี
1
ปี
แต่มีเงื่อนไขต้องช็อปวันละ
9
แสนบาทขึ้นไป
ก็ปรากฏว่าได้ลูกค้าเฉลี่ย
20
คนแทบทุกวัน
โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าผู้หญิง
เศรษฐกิจผู้หญิงจึงใหญ่โตมโหฬาร
เพราะเดี๋ยวนี้
นอกจากผู้หญิงจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องอาหารการกินของครอบครัวแล้ว
ผู้หญิงยังตัดสินใจในเรื่องสำคัญอื่นๆ
ของครอบครัวอีกด้วย
ทั้งเรื่องการซื้อ หรือสร้าง
และตกแต่งบ้านที่อยู่อาศัย
การศึกษาของลูกๆ การรักษาพยาบาล
รวมถึงทริปท่องเที่ยวของสมาชิกในครอบครัว
และสันทนาการอื่นๆ
นี่ยังไม่นับกำลังซื้อเดิมในเรื่องความสวยความงามและแฟชั่นของตัวเอง
ธุรกิจสมัยใหม่จึงต้อง
Target
ไปที่ผู้หญิง
แม้กระทั่งกีฬาซึ่งสมัยก่อนเป็นอาณาจักรของผู้ชาย
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว
เพราะแม้กระทั่งฟุตบอลซึ่ง
"ผู้ช้าย
ผู้ชาย"
ยังต้องหันมาใช้กลยุทธ์ต่างๆ
นาๆ เพื่อดึงความสนใจของผู้หญิง
ทุกครั้งที่นักฟุตบอลระดับโลกมาเมืองไทย
เรามักเจอแฟนบอลผู้หญิงติดตามขอลายเซนต์เป็นพรวน
ตั้งแต่ลงเครื่องบินกันเลยทีเดียวแหละ
อย่าลืมว่าจำนวนผู้หญิงในโลกนี้มีมากกว่าครึ่ง
ดังนั้น ถ้าฟุตบอลฮิตในหมู่ผู้หญิงได้
โฆษณาสินค้าผู้หญิงจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อมีการถ่ายทอดสด
นี่ยังไม่นับสินค้าพรีเมี่ยมและของที่ระลึกอีกเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น
การที่ คสช.
แต่งตั้งผู้หญิงให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ต้องถือว่าไม่ตกกระแส
ถึงอย่างไร
โดยธรรมชาติแล้ว
ผู้หญิงย่อมเท่าเทียมกับผู้ชาย
เพราะถ้าดูจากสมการของโครโมโซมยามที่เราปฏิสนธิ
ผู้ชายคือ
XY
และผู้หญิงคือ
XX
เขียนเป็นสมการยามปฏิสนธิได้ว่า: XY=XX
ดังนั้น
Y
= XX/X
Y
= X
ซ.ต.พ.
เห็นมั้ยละ
ว่าผู้หญิงกับผู้ชายมันเท่ากันมาตั้งแต่ปฏิสนธิโน่นแล้ว
แต่ถ้าจะมาว่ากันถึงก่อนปฏิสนธิ ผมก็คงต้องขอยกเอาบทเสภา
"ขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่"
สำนวนครูแจ้งวัดระฆังมาอ้างซะหน่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทสั่งสอนลูกสาว
ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของสังคมชนชั้นกลางและชั้นล่างสมัยก่อน
ต่อบทบาทของผู้หญิงไว้ดังนี้:
ท่านยายปลอบลูกน้อยกลอยใจ แม่จะไปนิทรากับสามี
งามปลื้มแม่อย่าลืมคำสอนสั่ง อุตสาห์ฟังจำไว้ให้ถ้วนถี่
อันการปรนนิบัติของสตรี ถ้าทำดีแล้วชายไม่หน่ายใจ
สู้ถ่อมตัวปรนนิบัติคอยจัดแจง เมื่อเขาแข็งแล้วอย่าขัดอัชฌาสัย
รู้จิตผัวว่าสมัครรักท่าไร ก็ยักย้ายส่ายให้ถูกใจกัน
และยังบอกตำราทำกับข้าวให้ผัว
(ซึ่งดูเหมือนจะเป็นยาโป้วทั้งสิ้น)
ไว้ยาวเฟื้อย
แต่ขอคัดมาบางส่วนว่า:
อุตส่าห์จำทำให้ผัวกินลอง
ล้วนแต่ของมีกำลังทั้งสามสิ่ง
ทำให้กินเนืองเนืองเปรื่องขึ้นจริง
ทุกสิ่งของแท้เป็นแน่นอน
ทำให้กินทุกวันหมั่นสำเหนียก
แม้อ่อนเปียกก็จะแข็งเป็นไม้ท่อน
พอตกค่ำขึ้นท้ายไม่หลับนอน
พายเรือคอนเหยาะเหยาะจนเคาะระฆัง
(อ้างจาก
“คึกฤทธิ์วิจารณ์นักเขียน”
ของทองแถม นาถจำนง สำนักพิมพ์แม่คำผาง,
1 พ.ค.
2554)
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
4 กันยายน 2557
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกันยายน 2557