วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

KGB ที่คุณดื่มได้



นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน สมัยสงครามเย็นหรือ Cold War Era ที่โลกยังแบ่งเป็นสองขั้วระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ คงจะเกิดโกลาหนเป็นแน่แท้ เมื่อสืบพบว่า KGB มาเปิดดำเนินการอยู่กลางกรุงนิวยอร์ก

สมัยนั้นสหรัฐฯ ต่อกรกับสหภาพโซเวียตในทุกเวทีบนผิวโลกใบนี้ ทั้งที่ยุโรป อินโดจีน เอเชียตะวันออก เอเชียกลาง ละตินอเมริกา อัฟริกา ตะวันออกกลาง และแน่นอน ในบ้านของทั้งสองฝ่ายที่ต้องอาศัยการแทรกซึมใต้ดิน ใช้จารชนล้วงความลับ ขโมยข้อมูล ลอบสังหาร จัดตั้งมวลชนเพื่อก่อการจราจล แถมยังทำสงครามตัวแทน (Proxy War) ไปทั่วโลก

จุดสุดยอดของการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าโลกทั้งสองคือเหตุการณ์ที่เรียกว่า "วิกฤติการณ์คิวบา" ซึ่งสหรัฐฯ ยืนยันจะใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันกับโซเวียตที่แอบเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์เข้าไปในคิวบา จนเล่นเอาชาวโลกหวาดหวั่นว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ โดยโซเวียตยอมถอนขีปนาวุธกลับ แลกกับข้อตกลงว่าสหรัฐฯ จะไม่บุกยึดคิวบาพร้อมกับถอนขีปนาวุธของตัวเองออกจากตุรกีด้วย (แบบลับๆ)

หัวขบวนของสองยักษ์ในตอนนั้นคือ ครุสชอฟ และ เคนเนดี้ โดยครุสชอฟเน้นนโยบานส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวคอมมิวนิสต์ทั่วโลกลุกขึ้นต่อสู้และหาทางคว่ำรัฐบาลของตนเพื่อเปลี่ยนระบอบปกครองให้เป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อคอมมิวนิสต์จะได้ครองโลกในที่สุด

แต่ทว่า เคนเนดี้ก็ปาวารณาตัวจะต่อต้านความพยายามอันนั้นแบบหัวชนฝา ดังคำปฏิญาณตนเมื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของเขาที่ว่า "เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเสรีภาพ" (Hour of maximum danger for freedom)

“I do not shrink from this responsibility.” เขากล่าว "I welcome it.” และว่าอเมริกาพร้อมที่จะ pay any price, bear any burden, meet any hardship, support any friend, oppose any foe, to ensure the survival and the success of liberty.”

การต่อสู้ทั้งใต้ดิน บนดิน และโดยตรง หรือผ่านสงครามตัวแทน ในทุกสมรภูมิขณะนั้น ล้วนมีหน่วยข่าวกรองและตำรวจลับของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวข้องด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญยิ่ง

KGB คือหน่วยงานด้านความมั่นคงผสมหน่วยข่าวกรองและตำรวจลับของโซเวียต (Secret Police คล้ายๆ กับหน่วย Gestapo ของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ส่วน CIA เป็นคู่ต่อสู้ในฝั่งสหรัฐฯ

ทั้งคู่ทำงานสกปรกตลอดยุคสงครามเย็น

KGB ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ และเลือดเย็น กวาดล้างได้แม้กระทั่งพรรคพวกของตัวเอง

วิธีการที่พวกนี้ใช้นอกจากการฆ่าแล้ว ยังมีการทรมานแบบต่างๆ เพื่อให้รับสารภาพ การล้างสมอง การวางยาพิษให้ตายอย่างช้าๆ และถ้าปราณีหน่อยก็เนรเทศไปไซบีเรีย หรือจับเข้าค่ายกักกันให้ใช้แรงงานหนัก

สมัยที่พวกนี้ยังทรงอิทธิพลอยู่ในยุคสงครามเย็นนั้น ทุกประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ย่อมมีหน่วยงานเลียนแบบ KGB อยู่ ไม่ว่าจะเป็นโซเวียต จีน เยอรมันตะวันออกและประเทศแถบยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมด เวียดนาม ลาว เขมร เกาหลีเหนือ และคิวบา

บรรดา Agent ของ KGB ย่อมมีหน้าที่หลักในการกวาดล้าง สอดส่องดูแล และป้องปราม การกระอันเป็นการต่อต้านหรือเป็น "ปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ" เช่นเดียวกับบรรดาประเทศในค่ายโลกเสรีที่ต้องมีหน่วยงานความมั่นคงหรือสันติบาลที่คอยสอดส่อง (หรือในบางครั้งก็ทำการกวาดล้าง) บรรดาผู้ที่พวกเขาคิดว่า "มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" นั่นเอง

นั่นทำให้บรรดานักสังคมนิยมทั้งหลายรวมทั้งผู้อพยพที่มีเชื้อสายรัสเซียหรือชาวแคว้นใดแคว้นหนึ่งซึ่งรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตขณะนั้น (เช่นยูเครน ลัตเวีย อาเซอไบจัน จอร์เจีย อาร์เมเนีย ลิทัวเนีย เป็นต้น) ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ต้องมุดลงใต้ดิน และเมื่อต้องเจอกันก็จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวความผิด

โดยเฉพาะในช่วงที่ "ลัทธิแมกคาธี" (McCarthyism) กำลังออกอาละวาด

นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีชาวรัสเซียอพยพอาศัยอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวและลูกหลานที่มาจากยูเครน และเขาเหล่านี้ย่อมเป้าหมายของการแทรกซึมของ KGB

พวกเขาจึงถูกจับตามองจาก CIA และรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นพิเศษในยุคสงครามเย็น (เช่นเดียวกับชาวเวียดนามอพยพในแถบอีสานของไทยสมัยนั้นที่รัฐบาลไทยเข้มงวดกับพวกเขามากมายและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้าย (เดี๋ยวนี้รัฐบาลเรียกพวกเขาว่า "ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม"))

ก่อนจะมาเป็นสถานที่ Hang-out แบบฮิปๆ ของชาวนิวยอร์กสมัยนี้ KGB Bar ก็คือสถานที่รวมพลแบบหลบๆ ซ่อนๆ ของบรรดานักสังคมนิยมเชื้อสายยูเครนในกาลก่อนนั่นเอง

Denis Woychuk เจ้าของผู้ก่อตั้ง บอกเองว่าสมัยนั้นพวกเขาต้องแอบเอาโปสเตอร์ หนังสือ รูปภาพ หรือสิ่งของที่เกี่ยวโยงกับสหภาพโซเวียตไปเก็บรวมกันในห้องชั้นบนและล็อกไว้อย่างแน่นหนา

“On Sundays we went to a place called the Ukrainian Labor Home, a social club for Ukrainian socialists. They had a little building at 85 East 4th Street, an obscure red brick tenement (to call it a townhouse would be pushing it), with a single large room on the first floor known as the great hall where they held their banquets, dances, and parties; and above that, hidden away on the second floor, their own private speakeasy. There were no posters of the great Soviet revolution, no photos of the politburo with Breshnev presiding, no propaganda whatsoever visible anywhere--all that was hidden away in a double-locked room on the fourth floor because these people had been subject to McCarthy’s feverish persecutions and they didn’t want to advertise their political sympathies.”

ฟังแล้วค่อนข้าง EXOTIC! ช่วยให้ทานอาหารได้มีรสมีชาดขึ้นอีกเป็นกอง

มันเป็นการตลาดอันชาญฉลาดที่นำเอาเรื่องราวของ KGB และสงครามเย็นมาเป็น Theme ของบาร์ที่เซริฟอาหารพื้นเมืองและอาหารรัสเซียประยุกต์

ปลาเทราต์จากทะเลบอลติก (หรือจะเลือกเมนคอร์สเป็น Chicken Kiev ก็ได้) บวกว็อดก้าแรงๆ พร้อมกับขนมปังและซุปรัสเซียที่เรียกว่า Borsch แถมเบียร์ Baltika เย็นๆ ด้วยสนนราคมไม่ถึง 50 เหรียญฯ ท่ามกลาง Decoration แบบแดงๆ สลัวๆ ที่มีทั้งโปสเตอร์สมัยเลนิน สตาลิน ฆ้อน เคียว ธงแห่งกองทัพแดง และรูปถ่ายของสหายโปริสบิวโร ทั้งในยุคครูสชอฟและเบรสเนฟ เคล้าดนตรีอินดี้แบบอาร์ตๆ ที่ค่อนข้าง Original อย่างน่าชมเชยคนแต่ง (ลองฟัง Demo ได้ที่เว็บไซต์นี้ www.kgbbar.com/demo_of_the_month/)

แถมบางวันอาจมีโปรแกรมพิเศษ ช่วงอ่านบทกวีหรืออ่านต้นฉบับที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ของบรรดากวีและนักเขียนแนวๆ ของนิวยอร์กอีกด้วย

UNIQUE! มากๆ

MBA ขอชมเชยไอเดียเจ๋งๆ แบบนี้ด้วยคน

และถ้าใครมีโอกาสไปนิวยอร์ก ควรต้องแวะไปเยี่ยมที่ East Village ให้ได้สักครั้ง


หมายเหตุ:
ท่านผู้อ่านที่สนใจ คลิก www.kgbbar.com/

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมกราคม 2557


วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คันฉ่องส่อง Dictator




ผมเขียนบทความนี้ในวันที่พลเอกประยุทธ์ถูกลากให้เข้าไปในเขต Killing Zone และได้ตั้งตัวเองเป็น Dictator มาแล้วเป็นเวลาหกวัน

ในฐานะบรรณาธิการของนิตยสาร MBA ซึ่งโฟกัสทางด้านบริหารจัดการ ผมย่อมสนใจสังเกตุวิธีจัดองค์กรขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์เป็นพิเศษ

ผมเข้าใจว่า ในฐานะผู้นำการยึดอำนาจรัฐซึ่งต้องรับความเสี่ยงทั้งมวล พลเอกประยุทธ์จำเป็นต้องรวบอำนาจให้มาขึ้นต่อตัวเองให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้นองค์กรบริหารสูงสุดที่จัดตั้งขึ้นในการนี้ (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) จึงต้องเข้ากุมอำนาจรัฐ ซึ่งรวมถึงอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ให้เบ็ดเสร็จ เพื่อจะครอบคลุมอำนาจการสั่งการและควบคุม State Apparatus ทั้งมวล ในลักษณะ Super-Centralized Organization

และเพื่อให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวดเร็วทันใจ ทรงประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถพลิกแพลงคล่องตัวได้ด้วยนั้น องค์กรสูงสุดนี้จำเป็นต้อง เล็ก กระทัดรัด อุปมาดั่ง Central High Command ของกองทัพในยามสงคราม

เพราะหน้าที่หนึ่งของหน่วยบัญชาการสูงสุดของคณะรัฐประหารเมื่อยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามในโลก คือต้องปราบปรามฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายต่อต้านให้สิ้นซาก หรืออย่างน้อยก็ต้องสะกดให้อยู่หมัด โดยอาศัยกฎหมาย (ในกรณีนี้คือกฎอัยการศึก) เป็นเครื่องมือ และอาศัยศักยภาพของกองกำลังในการจะบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น เป็น Back-up อีกทอดหนึ่ง

สำหรับผมแล้ว บทเรียนการรัฐประหารทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดมานั้น ถ้าจะมองให้เป็นเรื่องของการเมืองระดับสูงก็ว่าใช่ แต่ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่ง ว่ามันเป็นเหมือนสงครามระหว่างก๊วนระหว่างแก๊ง คล้ายๆ กับการสัประยุทธ์ของบรรดาแก๊งมาเฟีย ก็มองได้ไม่ผิดอีกเช่นกัน (ในอดีตเราเคยมีผู้นำคณะรัฐประหารที่มีบุคลิกลักษณะแบบเจ้าพ่อมาเฟียจำนวนมาก เช่น พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจร พันเอก (พิเศษ) ประจักษ์ สว่างจิตร ฯลฯ และการสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านในสมัยพลตำรวจเอกเผ่า ก็มีลักษณะ Mafia-Style เช่นเดียวกับการสังหารแคล้ว ธนิกุล ในสมัย รสช. ซึ่งคล้ายคลึงกับกรณีของสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มากก็น้อย)

มันเป็นการแย่งชิงตำแหน่ง งาน หน้าที่ความรับผิดชอบ และอำนาจสั่งการ ที่จะบริหารจัดการและควบคุม ตลอดจนจัดสรรทรัพยากร ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ในกระบวนการสร้างความมั่งคั่งของประเทศทั้งแบบบนดิน (เรียกว่าระบบเศรษฐกิจ) และใต้ดิน (เรียกว่าเครือข่ายคอรัปชั่น) จำนวนมหาศาล

แก๊งไหนขึ้นมาได้ แต่ทำไม่ดี ไม่เก่ง หรือไม่มีประสิทธิภาพ หรือประมาท ก็ต้องโดนคว่ำไปในที่สุด

มันจึงมีลักษณะเหมือน "สมบัติผลัดกันชม"

ดังนั้น ก๊วนที่ขึ้นมาได้นั้น ถ้าฉลาดและไม่ต้องการสูญเสียอำนาจ หรือต้องการใช้อำนาจนั้นไปเพื่อบำบัดทุกข์บำรงสุขให้กับประชาชนตามอุดมการณ์ของตัวได้นานๆ ก็จำเป็นต้องกำราบฝ่ายต่อต้านให้ราบคาบไปเป็นธรรมดา

โดยทั่วไป เครื่องมือที่บรรดา Dictator ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินคือ "ประกาศฯ" และ "คำสั่งฯ" ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Rule By Decree”

กระทั่งบัดนี้ (เวลา 13.31 . ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2557) คณะรักษาความสงบแห่งชาติออกประกาศฯ มาแล้ว 43 ฉบับ และคำสั่งฯ อีก 23 ฉบับ โดยประกาศส่วนใหญ่เป็นมาตรการกำราบฝ่ายตรงข้ามและป้องปรามฝ่ายต่อต้าน เช่นการเรียกฝ่ายตรงข้ามมารายงานตัวและควบคุมตัวชั่วคราว การโยกย้ายข้าราชการที่เคยอยู่ในอาณัติของฝ่ายตรงข้าม และแต่งตั้งฝ่ายตัวเองเข้าไปแทน และการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน เป็นต้น

อันที่จริง ระบบการบริหารจัดการและการจัดองค์กรของบรรดา Dictator ชั้นนำของโลกนั้น มีให้ศึกษามากมายในอดีต

ยกตัวอย่าง ในแถบเอเชียนี้เรามักได้ยินว่าบรรดาพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านครสมัยก่อนมักถือเอา พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นแบบอย่าง เพราะแม้พระเจ้าอโศกจะเป็น Dictator แต่ก็เป็น Good Dictator หรือ Good Autocrat ที่เอา "ธรรมนำหน้า"

หรืออย่าง จิ๋นซีฮ่องเต้ ก็มีผู้ศึกษาและอยากเลียนแบบกันมาก


ในสังคมตะวันตก เราอาจต้องยกให้ Alexander the Great และ Julius Caesar

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหลังนั้น แบบอย่างการเป็นผู้นำของเขา ขั้นตอนการสร้างชื่อ สะสมกำลัง วางเกมและเข้ายึดอำนาจและปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ตลอดจนวิธีการบริหารจัดการของเขา การจัดองค์กรทางการเมืองและในการบริหารราชการแผ่นดิน การโฆษณาชวนเชื่อ และนโยบายปฏิรูปที่เขาทำและวางรากฐานให้กับโรมและจักรวรรดิโรมัน นับว่าทรงอิทธิพลต่อ Dictator รุ่นหลังมากเหลือเกิน

ชีวิตและวิธีทำงานตลอดจนสไตล์และจุดอ่อนข้อผิดพลาดของเขาได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและเจาะลึก แม้เขาจะมิได้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ แต่เขาริดรอนระบอบสาธารณรัฐ (Roman Republic) ซึ่งต่อมา Octavian ลูกบุญธรรมของเขาก็ตั้งตนขึ้นเป็นจักรพรรดิได้สำเร็จ เปลี่ยนระบอบมาเป็นจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) นับแต่บัดนั้น

จักรพรรดิรุ่นหลังพากันเรียกตัวเองว่า Caesar หรือไม่ก็ Tsar หรือ Kaiser ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก Caesar นั่นเอง

แสดงถึงความยิ่งใหญ่และอิทธิพลของเขาที่มีต่อผู้ปกครองรุ่นหลัง

โมเดลของ Julius Caesar เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Dictator ชั้นนำของโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Napoleon, Hitler, Mussolini, และ เหมาเจ๋อตง

นโปเลียนมีซีซ่าร์ให้เรียนรู้ เลนินก็มีนโปเลียน มุสโสลินีเรียนทั้งจากนโปเลียนและซีซ่าร์ สตาลินก็เรียนจากเลนินและนโปเลียน เช่นเดียวกับฮิตเล่อร์ที่เรียนรู้จากนโปเลียนและมุสโสลินี ส่วนเหมาเจ๋อตงเลียนทั้งจากสตาลิน ฮิตเล่อร์ เลนิน และก็นิยมในตัวนโปเลียนและซีซ่าร์

ทั้งนโปเลียน ฮิตเลอร์ และมุสโสลินีนั้น ไม่เพียงเลียนแบบซีซ่าร์ในเชิงความทะเยอทะยานและเป้าหมายทางการเมือง และการอาศัยกองทัพส่วนตัวเป็นเครื่องมือในการกุมอำนาจทางการเมืองและการปกครอง และการแผ่ขยายอาณาจักรเท่านั้น ทว่ายังเลียนแบบในเชิงสถาปัตยกรรม การอุดหนุนเชิงวัฒนธรรม หรือแม้แต่สัญญลักษณ์ของ Regime เช่น ธง เครื่องหมาย เครื่องแบบ เครื่องประดับยศ ฯลฯ และใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ

เราไม่รู้ว่าลึกๆ แล้ว พลเอกประยุทธ์และผู้นำคณะรัฐประหารชุดปัจจุบันของเราฝักใฝ่ไปทางนั้นด้วยหรือไม่

เรารู้แต่เพียงว่านายทหารทุกนายต้องเคยศึกษาซีซาร์และนโปเลียนมาก่อน และในอดีตก็เคยมีผู้นำทหารของไทยที่ฝักใฝ่ไปทางฮิตเลอร์และมุสโสลินีมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ในช่วง "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" เป็นพยานอยู่


ในความเห็นของผม Dictator ที่แสดงความสามารถในการจัดองค์กรรวมศูนย์แบบรวบอำนาจมาไว้ที่คนจำนวนเพียบหยิบมือ ได้เก่งที่สุด เบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด และทรงประสิทธิภาพต่อเป้าหมายเชิงอำนาจได้ดีที่สุดกับรัฐสมัยใหม่ และเป็นตัวอย่างให้กับ Dictator ยุคหลังอย่างแพร่หลายที่สุด คือ Lenin

แม้เลนินจะอ่าน Marx แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่มาร์กซ์เขียนอย่างละเอียดเป็นเรื่องเกี่ยวกับทุนนิยม มาร์กซ์พูดถึงสังคมนิยมไม่มากนัก ต้องอาศัยเลนินนี่แหละที่มาสร้างระบบปกครองแบบคอมมิวนิสต์ขึ้นจนสำเร็จในทางปฏิบัติ และตอนหลัง Stalin ก็มา "ต่อยอด" ปรับปรุงให้เผด็จการมากขึ้น รวมศูนย์มากขึ้น กระชับอำนาจอย่างเด็ดขาดไว้ที่เขาเพียงคนเดียว

และแล้ว Dictator รุ่นหลังจากนั้นทุกคนล้วนเลียนแบบโมเดลดังกล่าว ทั้ง เหมาเจ๋อตง ฟิเดลคาสโตร คิมจองอิล ไกสอน พมวิหาน โฮจิมินห์ พอลพต ติโต ตลอดจนบรรดาผู้นำคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก อาฟริกา และละตินอเมริกา ในยุคสงครามเย็นทุกคน

เลนินใช้วิธียึดสถานที่สำคัญแบบสายฟ้าแลบ จับบุคคลสำคัญ (โดยการจัดการของ Trotsky) จัดตั้งศูนย์บัญชาการและหน่วยอารักขา (ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นหน่วยตำรวจลับ) แล้วก็ปิดสื่อ (ยกเว้นสื่อของพรรคฯ ที่ใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ) ตั้งศาลเตี้ย ล้มหรือลดอำนาจองค์กรเดิมๆ ทางการเมืองการปกครอง แล้วจัดตั้งองค์กรการปกครองแบบใหม่ซ้อนขึ้นมาโดยอาศัยการออกประกาศฯ และคำสั่ง อย่างรวดเร็ว ฯลฯ โดยองค์กรบัญชาการสูงสุดอยู่ในมือของคนจำนวนไม่กี่คน เพราะเขาต้องการให้มันเล็ก คล่องตัว และตัดสินใจได้เร็ว (ระยะแรกหลังรัฐประหาร องค์กรตัดสินใจสูงสุดคือ Politburo มีสมาชิก 5 คน และองค์กรบริหารที่มีหน้าที่บริหารประเทศแบบวันต่อวัน เรียกว่า Orgburo มีสมาชิก 6 คน โดยมีคณะกรรมการบางคนควบสองเพื่อให้สององค์กรสมานกัน)

เขาเรียกวิธีการของเขาว่า "ประชาธิปไตยรวมศูนย์" ภายใต้ "เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ"

ที่สำคัญคือเขาตั้งหน่วยงานสอดส่องข้าราชการและกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม โดยอาศัย "ตำรวจลับ" หรือ Secret Police

หน่วยงานตำรวจลับนับเป็นอาวุธลับสำคัญของ Dictator ยุคใหม่ทุกคน

อันที่จริงต้นตำรับของ "ตำรวจลับ" แบบที่เรารู้จักกันในบัดนี้คือนโปเลียน ภายใต้การบริหารจัดการของ Joseph Fouche และขึ้นตรงต่อนโปเลียนเพียงคนเดียว

เลนินนั้นเลียบแบบการจัดองค์กรและวิธีปฏิบัติการของ Fouche มาอีกทอดหนึ่ง

นโปเลียนตั้งหน่วยงานตำรวจลับทันทีหลังจากที่ทำรัฐประหาร มีเป้าหมายให้กำราบฝ่ายตรงข้าม คือไม่ต้องการให้เกิดพรรคฝ่ายค้าน หรือกลุ่มคัดค้านการปกครองของเขาอย่างเปิดเผย

Fouche ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงตำรวจ (ต่อมาเป็นกระทรวงมหาดไทยหรือความมั่นคงภายใน) ใช้วิธีจัดตั้งสายลับ (Agents Provocateur) นอกเครื่องแบบจำนวนมาก ให้ทำตัวปะปนกับฝูงชนหรือเป้าหมาย คอยสืบข่าว สะกดรอย หลอกล่อ (ให้ฝ่ายตรงข้ามเผยตัวเพื่อจะได้ยัดข้อหาถนัด) จัดทำรายงาน หรือแม้กระทั่งล่าสังหาร ศัตรูทางการเมืองของนโปเลียน และเมื่อนโปเลียนทำสงครามขยายอาณาจักร บุกยึดและเข้าไปปกครองเพื่อนบ้าน หน่วยงานนี้ก็ตามไปทุกที่ อีกทั้งยังขยายขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบไปจนถึงการใช้จารชน การสืบข่าวเพื่อประโยชน์ในเชิงการสงครามและทางการทูต จึงกลายเป็นต้นแบบของ Spy ระดับชาติในเวลาต่อมา

ตำรวจลับภายใต้ Fouche มีชื่อเสียงในทางน่ากลัวและทรงประสิทธิภาพมาก ช่วยให้นโปเลียนเผด็จอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จได้ตลอดรัชสมัย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เผด็จการในยุคต่อมา เมื่อขึ้นสู่อำนาจได้แล้ว เป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานตำรวจลับของตัวเองขึ้นตามแนวทางนี้


เลนิน จึงมี Cheka และ OGPU ภายใต้ Felix Dzerzhinsky ฮิตเลอร์ ก็มีหน่วย SS (Schutzstaffel) และ Gestapo ภายใต้ Heinrich Himmler และสตาลินก็มี NKVD ภายใต้ Lavrentiy Beria ซึ่งต่อมาเยอรมนีตะวันออกในยุคสงครามเย็นเลียนแบบมาเป็นหน่วย Stasi อันโด่งดัง เหมาเจ๋อตง มีคังเซิน และจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ก็มีหน่วยสันติบาล ภายใต้การบริหารจัดการของ พลตำรวจเองเผ่า ศรียานนท์ เป็นต้น (ปัจจุบันเรามีตำรวจลับและหน่วยข่าวกรองแยกกันหลายหน่วย)

Dictator เหล่านี้ใช้ตำรวจลับในการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉียบขาด เหี้ยมโหด เลือดเย็น และต่อมาก็สอดส่อง จับผิด และกวาดล้างกันเอง อย่างสตาลิน ฮิตเลอร์ เหมาเจ๋อตง หรือแม้กระทั่ง พอลพต ก็เคยกวาดล้างใหญ่มาแล้ว (Great Purge) ทำให้ผู้คนล้มตายหลายสิบล้านคน

นั่นเป็นความน่ากลัวของ “รัฐตำรวจ” (Police State) ซึ่งถือเป็นกลไกอันทรงประสิทธิภาพของบรรดา Dictator

ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น Dictator มักตั้งรัฐบาล สภา และศาล แต่องค์กรเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับ Dictator อีกทอดหนึ่ง

ถ้าจะพูดแบบคร่าวๆ ตามโมเดลแบบเลนินนั้น เขาจัดองค์กรบริหารประเทศโดยให้พรรคบอลเชวิก (คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต) เป็นแกนกลาง ทุกอย่างรวมศูนย์ไว้ที่พรรคและผู้นำพรรคจำนวนห้าหกคน (ต่อมาสตาลินรวมไว้ที่เขาเพียงคนเดียว) โดยให้รัฐบาล ศาล สภา และหน่วยงานของรัฐบาลและองค์กรทุกองค์กรในประเทศ เช่น กองทัพ กระทรวง กรม ตลอดถึงโรงงาน และองค์กรภาคเศรษฐกิจทั้งหมด ไปจนถึงมลฑล จังหวัด เมือง ตำบล หมู่บ้าน องค์กรเชิงวัฒนธรรม หนังสือพิมพ์ และองค์กรเล็กองค์กรน้อย ฯลฯ ต้องถูกควบคุมโดยพรรคอีกชั้นหนึ่ง

โมเดลแบบเลนินนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ใช้กันมากว่า 70 ปี 

ปัจจุบันมีหลักฐานที่เชื่อถือได้เปิดเผยด้านมืดของระบอบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าผู้คนจำนวนมากในประเทศที่เคยปกครองโดยโมเดลนั้น ถูกกดขี่ ถูกทรมาน ถูกสังหารหมู่ ต้องโทษโดยไม่มีการพิจารณา ต้องอดตาย ถูกริดรอนเสรีภาพอย่างร้ายแรง และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบทั่วด้านอย่างเลวร้าย

แต่ทุกวันนี้จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว และคิวบา ก็ยังใช้โมเดลแบบเลนินในการบริหารประเทศอยู่ โดยบางประเทศเช่น จีน เวียดนาม และลาว ได้ปรับแต่งระบบให้คลายการควบคุมเชิงเศรษฐกิจลงบ้าง ตามแนวทางของเติ้งเสี่ยวผิง

ณ ขณะนี้ ผมยังไม่รู้ว่าพลเอกประยุทธ์จะจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศหรือไม่และเมื่อใด (หรืออาจจะใช้วิธีบริหารราชการแผ่นดินโดยอาศัยข้าราชการและการตั้งคณะที่ปรึกษาไปเรื่อยๆ) และถ้าจัดตั้งแล้วจะจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐบาลกับคณะของท่านอย่างไร จะแบ่งงานกันทำอย่างไร จะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันอย่างไร ฯลฯ ท่านจะใช้โมเดลของ Dictator คนไหน เพราะในอดีตเคยมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า เมื่อคณะรัฐประหารไม่สามารถควบคุมรัฐบาลที่ตัวตั้งขึ้นได้ (สมัย รสช.) มันจะก่อความหายนะต่อคณะรัฐประหารและตัวผู้นำในไม่ช้า

ที่สำคัญ ท่านจะออกจาก Killing Zone อย่างปลอดภัยได้ด้วยวิธีใด

จะลงจากหลังเสืออย่างไร

นั่นเป็นเรื่องที่ผมสนใจ และจะตั้งตาดูอย่างใจจดใจจ่อ

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
28 พ.ค. 2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน พ.ค. 57

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อีสาน...โลด



อีสานเป็นแผ่นดินกันดาร พระเจ้าให้มาน้อย

ความอุดมสมบูรณ์ของอีสานนั้นด้อยกว่าภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้

พูดแบบนักเศรษฐกิจการค้า ก็ต้องบอกว่าอีสานมี Endowment น้อยกว่าภาคอื่น ดังนั้น เพียงแค่จะดำรงชีวิตให้ดี อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีตามสมควร คนอีสานก็จำต้องออกแรงและใช้ปัญญามากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว

ยิ่งถ้าจะสร้างและสะสมความมั่งคั่งในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องแสวงหา Competitive Advantage อย่างยิ่งยวด และต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นเขา

คนอีสานส่วนใหญ่จึงเป็นคนสู้งาน หนักเอาเบาสู้ และมีความคิดสร้างสรรค์สูง

แผ่นดินอีสานเป็นที่ราบสูงและมีเทือกเขาเพชรบูรณ์กับดงพญาไฟขวางกั้นอยู่ ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่านขึ้นมาทางอ่าวไทย และถึงแม้ดินแดนแถบชายฝั่งโขงจะได้รับประโยชน์จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านลงมาจากอ่าวตังเกี๋ย แต่ก็ได้อยู่เพียงแถบนั้น ทำให้แผ่นดินใจกลางอีสานซึ่งเป็นดินแดนส่วนใหญ่แห้งแล้ง

ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซึ้ามีแต่ทราย" สุรชัย จันทิมาธร แห่งวงดนตรี คาราวาน ได้เคยนำเอาบทกวีของ นายผี หรืออัศนี พลจันทร มาร้องไว้เป็นเพลงอย่างเห็นภาพความแห้งแล้งและความอัตคัต (บาทต่อมาของสุรชัยคือ "น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่งโลมลงดิน" แต่ในต้นฉบับเดิมของนายผีเป็น “น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม” ซึ่งได้ตอกย้ำภาพแห่งความแห้งแล้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น)

ดินทราย ดินเค็ม และดินดาน มีอยู่เป็นบริเวณกว้างในภาคอีสาน

บางจังหวัด เพาะปลูกยากถึงขนาดที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาจากนครราชสีมา เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่า "ทันทีที่เอาจอบฟันลงไป เราจะได้ยินเสียงดัง เช้ง! และเกิดประกายไฟแลบขึ้นมาจากดิน" เลยทีเดียว

ทุนที่ธรรมชาติให้มาน้อยดังว่านี้ ส่งผลให้คนอีสานจนกว่าคนภาคอื่น

รายได้ต่อหัวของคนอีสานน้อยกว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยกว่าเกือบสี่เท่า และน้อยกว่ารายได้ต่อหัวของคนกรุงเทพฯ เกือบสิบเท่า (อีสาน = 48,549 บาทต่อคนต่อปี กรุงเทพและปริมณฑล = 422,141 และรายได้เฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศ = 164,512)

แต่โลกสันนิวาสย่อมมีพลวัตของมัน

ความแน่นอนจึงไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนย่อมแน่นอนเสมอ

การเปลี่ยนแปลงในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียปัจจุบันกำลังเกิดเป็นคุณกับอีสานของเรา

การขึ้นมาแบบพรวดพราดของจีน ประกอบกับการเติบโตของชนชั้นกลางในอินโดจีน ทั้งเขมร ลาว เวียดนาม ล้วนส่งผลดีต่ออีสาน

อีสานจึงกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เพราะจะเป็นประตูเปิดไปสู่อินโดจีนและจีนตอนใต้

ยิ่งสำหรับกลุ่มประเทศ CLMV ด้วยแล้ว อีสานมีพรมแดนร่วมอยู่ถึงสองประเทศคือกัมพูชาและลาว และอีกหนึ่งคือเวียดนามนั้นก็ห่างออกไปเพียงสองร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง

โดยเฉพาะกับลาว ซึ่งคั่นระหว่างไทยกับจีนตอนใต้อยู่เพียง 250 กิโลเมตรเท่านั้น ก็พูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันรู้เรื่องโดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสให้ซับซ้อนและเหินห่างเกินกว่าจะไว้วางใจกันได้โดยง่าย

ดังนั้น เมื่อภูมิภาคเอเชียอาคเนย์รวมตัวกันเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจร่วมหรือ AEC ที่ (หวังว่า) การไปมาหาสู่กันเองของผู้คนและสินค้าในแถบนี้จะเป็นไปอย่างอิสระ คล่องตัว และบ่อยครั้งกว่าเดิม อีสานย่อมจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะมีขีดขั้นพัฒนาการที่เหนือกว่าเพื่อนบ้าน มีสินค้าและบริการที่ครบครันกว่า ย่อมเยาว์กว่า และทรงประสิทธิภาพกว่า อีกทั้งยังมีความรู้ในการผลิต (หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เทคโนโลยี") และแหล่งเงินทุน ตลอดจนผู้ประกอบการที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ พร้อมที่จะลงทุนเอาประโยชน์จากโอกาสที่เปิดขึ้นใหม่นั้นได้ง่าย สะดวก และเร็วกว่านักลงทุนที่มาจากภาคอื่นหรือมาจากต่างประเทศ

เรื่องราวของอีสานจึงมีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ของความสำเร็จ ล้มเหลว ความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมซึ่งมีต่อกระบวนการสร้างความมั่งคั่งของคนที่นั่น ตลอดจนกลยุทธ์และวิธีการปรับตัวเมื่อโลกาสันนิวาสเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งศักยภาพอันมหาศาลที่จะสามารถได้รับประโยชน์จากอนาคตที่เราเริ่มเห็นตัวตนอยู่แค่เอื้อมและกำลังจะเผยตัวออกมาอย่างหมดจดต่อหน้าต่อตาเราในอีกไม่ช้า

ดร.พิชิต ภัทรวิมลพร ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นผู้หนึ่งที่รู้เรื่องอีสานแบบทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังแม่นยำในพื้นฐานความรู้และสถิติภาพรวม

ดร.พิชิตได้ช่วยบรรยายที่มาที่ไปและพัฒนาการของอีสาน เสมือนหนึ่งได้ช่วยฉายภาพให้เราเห็นถึงการคลี่คลายขยายตัวและการปรับตัวของอีสานสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ รวมถึงจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีหากินของคนเก่ง และช่วยชี้ให้เห็นโอกาส อุปสรรค และศักยภาพในอนาคต ซึ่งรวมถึงการเตรียมความพร้อมที่จะเอาประโยชน์จาก AEC ด้วย

และแน่นอน กิจกรรมทางการเงินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย

การเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอีสาน ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศ ถ้าดูผลผลิตของพืชหลักๆ อย่างข้าว มันสัมปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และยางพารา รวมๆ แบบคร่าวๆ แล้วก็ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ" เขากล่าว 

และเสริมอีกว่าช่วงหลังมานี้โครงสร้างการเกษตรของอีสานเริ่มเปลี่ยนไป เพราะมีการหันมาเน้นปลูกยางพารา ปาล์ม และอ้อย มากยิ่งขึ้น เพราะผลตอบแทนสูงกว่าพืชหลักเดิม แต่ด้วยความที่รัฐบาลยัง Subsidize การเกษตรแบบเก่า (หมายถึงข้าว ขาวโพด) และความเคยชินกับการ "อยู่ไร่อยู่นา" ที่ถือเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวอีสาน ทำให้การปรับตัวไปสู่โครงสร้างการเกษตรแบบใหม่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงยังไงก็คงหนีไม่พ้น

การขึ้นมาอย่างพรวดพราดของจีนมีส่วนอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของอีสาน จะเรียกว่าจีนช่วย "หิ้ว" อีสานขึ้นมาในรอบเกือบสิบปีหลังมานี้ ก็ว่าได้

ดีมานด์ที่เติบโตมากของอุตสาหกรรมรถยนต์และการบริโภคน้ำตาลและแป้งมันอีกทั้งความต้องการพลังงานทดแทน (เอทานอล) ส่งผลโดยตรงต่อยางพารา ปาล์ม และอ้อย

นอกจากนั้น คนอีสานก็เริ่มหันมาปรับปรุงคุณภาพการเลี้ยงสัตว์ ทั้งไก่เนื้อ โคเนื้อ และหมู ซึ่งผู้ประกอบการที่เก่งบางรายอย่าง "โคขุนโพนยางคำ" ก็ทดลองจนเห็นผลดี โดยสามารถทำราคาตลาดเนื้อวัวตัวเองได้แพงกว่าเกือบสองเท่าของเนื้อวัวทั่วไป ด้วยการมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ และวิธีเลี้ยง และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับของบรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และในหมู่ผู้บริโภค

หรืออย่างการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสโดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่ชอบดินทรายจนกลายเป็นขายตลาดบนที่โด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งยังมีการทดลองปลูกทุเรียนศรีสะเกษที่ย้ายมาจากนนทบุรีและสามารถสร้างชื่อจนขายได้ลูกละหมึ่นกว่าบาทเป็นต้น

จีนเห็นความสำคัญของอีสานมากถึงขั้นที่รัฐบาลของเขาเข้ามาเหมาซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในขอนแก่นเพื่อเปิดเป็นที่ทำการกงศุล แสดงถึงการเข้ามาปักหลักดูแลคนและผลประโยชน์ของจีนที่ลงทุนไปแล้วในอีสาน และที่กำลังจะลงทุนเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต ทั้งที่นิคมอุตสาหกรรมสองแห่ง (อุดรและขอนแก่น) และศูนย์พักและกระจายสินค้าที่อาจจะเกิดขึ้นตามแนวรถไฟความเร็วสูงซึ่งจะลากผ่านอีสานเข้าลาวและต่อเข้าไปยังบ้านเขา

นี่ยังไม่นับหน่วยจัดซื้อพืชผักผลไม้ อาหาร และวัตถุดิบ ที่จำเป็นจากอีสาน ซึ่งจีนมักใช้สไตล์ "เหมาซื้อล่วงหน้า" คล้ายๆ กับการตกเขียวสมัยก่อน

ทว่า อุปสรรคสำคัญของอีสานคือการขนส่ง เพราะการขนส่งทางน้ำมีจำกัด (ไม่เหมือนภาคเหนือ) และโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางบกยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้ต้นทุนขนส่งสูง จึงไม่สามารถดึงดูดอุตสาหกรรมเข้ามาสู่อีสานได้

สิบกว่าปีมานี้ หลังจากพรรคไทยรักไทยและพรรคอนุพันธ์ของพรรคนั้นเข้ามาบริหารประเทศ ส..อีสานก็สามารถต่อรองงบประมาณได้มากขึ้น ถนนหนทาง สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ขยายตัวขึ้นแยะ ช่วยให้ภาคเอกชนสามารถต่อยอดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างซึ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์อันลงตัวคือกรณีของเชียงคาน ที่สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่อันเก๋ไก๋ได้ (คล้ายๆ กับปายของแม่ฮ่องสอน) โดยความร่วมมือของสายการบินและสภาอุตสาหกรรมของเมืองเลย ซึ่งนำร่องด้วยการรับประกันที่นั่งขั้นต่ำให้กับเที่ยวบิน ว่าหากมีผู้โดยสารน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกันไว้ ทางสภาอุตสาหกรรม (ซึ่งสมาชิกผู้ก่อการยอมควักเงินลงขันกันเองคนละ 1 ล้านบาท) จะชดเชยให้

นับเป็นก้าวแรกที่ทำให้สายการบินกล้าเปิดเที่ยวบิน ประกอบกับการโหมโปรโมท พร้อมกับพัฒนาจุดท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จนประสบความสำเร็จด้วยดีในเวลาต่อมา

ถือเป็น Case Study ที่น่ายกย่องและเป็นไอเดียที่น่าขโมยสำหรับเมืองอื่นที่ใกล้สนามบินซึ่งมีอยู่ทั่วไปแล้วในภาคอีสาน ซึ่งตอนนี้ขอนแก่นกับหลวงพระบางก็นำเอาโมเดลนี้ไปทดลองใช้

เมื่อมองในแง่นี้ เราจึงเห็นได้ไม่ยากว่าโครงการรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูงนับเป็นความหวังของอีสาน เพราะมันจะช่วยพลิกจุดอ่อนในเชิง Logistic ของอีสานให้กลายเป็นจุดแข็ง

แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะล้มไปแล้วและโครงการ 2 ล้านล้านก็ทำท่าว่าจะเป็นหมันตามไปด้วย แต่หากไม่ได้ลงทุนในโครงการรถไฟก็นับว่าน่าเสียดายยิ่งนัก

ผมว่าในที่สุดโครงการแบบนี้จะต้องมา แต่อาจจะเปลี่ยนชื่อไป เปลี่ยนวิธี Financing ใหม่ และผมอยากจะฝากไอเดียไปด้วย ซึ่งผมได้คุยกับกงศุลจีน เขาว่าวิธีที่จีนใช้วิธีร่วมลงทุนกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น เพราะตามมณฑลต่างๆ เขาก็พอมีรายได้อยู่ โดยถ้ารัฐบาลท้องถิ่นเห็นว่าสายนี้ๆ สำคัญควรสร้าง ก็จะเสนอขึ้นไปให้รัฐบาลกลางพิจารณา 

ถ้ารัฐบาลศึกษาแล้วเห็นว่าจริง รัฐบาลกลางก็สมทบเงินเพิ่มให้ เช่น 20:80 หรือ 30:70 หรืออาจจะมากกว่านั้นแล้วแต่ความจำเป็น แต่ถ้าเป็นสายที่รัฐบาลกลางต้องการให้เกิดและรัฐบาลท้องถิ่งได้ประโยชน์ด้วย รัฐบาลกลางก็อาจจะลงให้มากหน่อย โครงการรถไฟความเร็วสูงของเขาจึงเกิดง่ายและเร็ว เพราะวงเงินมันอาจไม่ใหญ่มากจนคนทั้งประเทศตกใจ" เขากล่าวถึงวิธีการ Financing โครงการรถไฟความเร็วสูงของจีนที่มีลักษณะคล้ายกับ "กฐินสามัคคี"

หากเจาะลึกลงไปสักนิด เราจะเห็นว่าคนอีสานเป็นคนเก่ง แม้รายได้ต่อหัวจะต่ำกว่าทั่วไปกว่าเกือบ 4 เท่า ทว่าพวกเขาก็มีวิธีหารายได้เสริมจากทางอื่น เพราะถ้าดูจากรายได้ครัวเรือนแล้ว ครอบครัวของคนอีสานก็หาได้น้อยไปกว่าภาคอื่นสักเท่าใดไม่

รายได้เหล่านี้มาจากเงินช่วยเหลือที่ลูกหลานส่งกลับมาให้จากการออกไปทำงานที่อื่น และรายได้จากภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ และที่สำคัญคือรายได้สนับสนุนจากรัฐบาล

อย่าลืมว่าอีสานมีจำนวนประชากรมาก ทำให้มีโควต้า ส.. มากไปด้วย จึงมีอำนาจต่อรองกับทุกรัฐบาล ทำให้งบประมาณที่จัดมาลงในภาคอีสานค่อนข้างมาก คิดเป็นเกือบ 25% ของ GDP ภาคอีสาน

เงินปันผลจากทุกรัฐบาลนับเป็นดาบสองคม เพราะทำให้คนอีสานชอบก่อหนี้โดยไม่ระวัง (หนี้สินครัวเรือนของคนอีสานสูงกว่าภาคอื่นทั้งหมด) จนบางทีก็ติดเป็นนิสัย โดยเกิดความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาอุ้มชูหรือแก้ไขให้ในที่สุด เพราะบางทีรัฐบาลก็ยกหนี้ให้ (นโยบายยกหนี้ให้เกษตรกร) หรือสนับสนุนให้กู้เงินตามอาชีพ (สินเชื่อครู เป็นต้น

ประกอบกับนโยบายรถคันแรก นโยบายจำนำข้าว ฯลฯ ทำให้เกิดเป็นปัญหา Moral Hazard แบบหนึ่ง เหมือนกับการกด ATM ในอนาคตมาใช้ก่อน หรือรูดบัตรเครดิตมาใช้ก่อนและเจ้าหนี้ก็ใจดียกหนี้ให้ จึงทำให้ติดใจ กลับไปกดและรูดเรื่อยๆ โดยไม่ระมัดระวังการใช้จ่าย

ปัญหานี้เป็นที่น่าจับตา เพราะถ้าพฤติกรรมแบบนี้ยังไม่เปลี่ยน มันจะทำให้ขาดเงินออม ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุน และการยืนบนขาตัวเองไม่ได้ในที่สุด"

นอกจากนั้นยังมีสถาบันเงินฝากของรัฐอย่างออมสินและ ธ... ที่เข้ามาสนับสนุนเงินกู้อย่างมีนัยยะสำคัญอีกด้วย (4 ปีหลังนี้สถาบันการเงินประเภทนี้โตถึง 40%) เพราะธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับภาคอีสานเพียง 800,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ GDP ของอีสานล่าสุดนั้นมีมูลค่าถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท

นั่นพอจะบอกได้ว่าอีสานพึ่งพิงรัฐบาลกลางและนักการเมืองมากเพียงใด!

แต่เมื่อหันมามองผู้ประกอบการ "คนเก่ง" ของอีสาน เรากลับมีความหวัง และเห็นได้ชัดเจนจากข้อมูลทางการเงินว่าพวกเขาทำได้ค่อนข้างดี

ข้อมูลล่าสุดเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา จะเห็นว่าสินเชื่อรายใหญ่ (ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป) ปล่อยไปให้กับผู้ประกอบการประมาณ 4-5 พันราย รวมเป็นยอดสินเชื่อ 250,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของยอดสินเชื่อรวมที่ได้จากธนาคารพาณิชย์ โดยยอดปล่อยกู้สูงสุดต่อรายสูงถึง 1,200 ล้านบาทก็มี และสินเชื่อหมวดนี้โต 24.5% ต่อปี และ NPL ลดลงเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือเพียง 2% เท่านั้นเอง

พวกหัวขบวนเหล่านี้เป็นใคร?

คำตอบคือเกือบทั้งหมดเป็น Family Business ทำธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก (ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้าง) ตัวแทนจัดจำหน่ายรถยนต์ ต่อรถพ่วง โรงงานแป้งมัน น้ำตาล โรงแรมและบูติกอพาร์ตเม้นต์ อาหาร อสังหาริมทรัพย์ และโรงสีบางแห่ง

ผู้บริหารกิจการเหล่านี้บางรายเป็นคนรุ่นที่สองที่สามและได้รับการศึกษาสมัยใหม่ จึงเริ่มผลักดันกิจการของตนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มช่องทางในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ เช่น ช.ทวีดอลลาเชียน และสยามโกลบอลเฮ้าส์ เป็นต้น

ในอนาคต เราน่าจะได้เห็นผู้ประกอบการเปี่ยมศักยภาพเหล่านี้ปรากฏตัวบนเวทีธุรกิจระดับชาติมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งหมดมักกระจุกตัวอยู่แค่เพียงในเขต 4 จังหวัดสำคัญที่มีความมั่นคงมาแต่เก่าก่อน คือ โคราช (ประตูสู่อีสาน) อุบลราชธานี (พืชผลเกษตร) อุดรธานี (ฐานทัพอเมริกันเก่า) ขอนแก่น (มหาวิทยาลัยและศูนย์ราชการ) และมุกดาหาร/นครพนม ซึ่งเริ่มเติบโตขึ้นมาในระยะหลังในฐานะประตูสู่ CLV (กัมพูชา ลาว และเวียดนาม) รวมทั้งเขตที่มีการกระจายตัวของเมือง (Urbanization) รอบๆ ศูนย์กลางทั้ง 5 นั้น

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาเสริมโดยผ่านสถาบันการเงินพิเศษอย่างธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ทว่าความขาดแคลน บางทีก็เป็นที่มาของความคิดสร้างสรรค์

คนมีฐานะบางคนเห็นโอกาสนี้ ก็ผันตัวเองมาเป็นผู้ให้กู้นอกระบบ ยกตัวอย่างเช่นรายหนึ่งที่จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถขยายตัวเปิดสาขาไปถึง 5 จังหวัดและมีวงเงินปล่อยกู้กว่าพันล้านบาท โดยมีการระดมทุนมาจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้างหรือเป็นคนมีฐานะบ้าง"

น่ันเป็นตัวอย่างของ Merchant Bank สไตล์อีสานๆ

น่ายินดีตรงที่โลกสันนิวาสในเชิง Geopolitics ของเอเชียกำลังส่งผลบวกต่ออีสาน การเติบโตของลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ส่งผลให้เมืองใหม่ๆ ในอีสานเติบโตไล่กวดเมืองศูนย์กลางเดิม

Star เหล่านี้ได้แก่มุกดาหาร นครพนม หนองคาย เลย และสกลนคร

และเมื่อการรวมตัวของภูมิภาค AEC เกิดเป็นมรรคผลเต็มที่ในอนาคต โอกาสที่จำนวนจุดผ่านแดนจะมากขึ้นและสะดวกขึ้นก็ย่อมต้องมีแน่ เมื่อนั้นการค้าและการลงทุนจากไทยผ่านอีสานเข้าไปในลาว กัมพูชา และเวียดนาม คงจะเป็นมรรคเป็นผลและให้ประโยชน์กับเราอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ต่อประเด็นนี้ ดร.พิชิต ได้ให้ไอเดียที่น่าสนใจมากว่า ถ้าเรารู้จักเก็บบทเรียนจากอดีตในยุคสงครามเย็น ที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เคยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นความลับจากฝรั่ง (กระทั่งปากีสถานที่สามารถผลิตปรมาณูได้) ก็เพื่อให้เป็นกันชนของค่ายโลกเสรีเพื่อไปต่อกรหรือคานอำนาจกับโลกคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้

นับเป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) รูปแบบหนึ่ง

ทว่านับแต่นี้ไป เราทราบค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าดินแดนแถบนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ "ชิงดำ" ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น (โดยมีฝรั่งกับจีนซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย)

ดังนั้น "ถ้าเราเล่นเป็น" โดยการสร้างอิทธิพลในแถบนี้แล้วต่อรองกับเจ้าของเทคโนโลยี เราอาจได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จะทำให้การผลิตของเราก้าวหน้าขึ้นและผลกำไร (Profit Margin) สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน

แทนที่จะกินเศษเนื้อก้อนเล็กๆ แบบในปัจจุบัน"

ทั้งหมดทั้งมวลนั้น อีสานย่อมเป็นสปริงบอร์ดชั้นดี

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ม.ค. 57
หมายเหตุ: รูปประกอบจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=73446&page=2