วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

ท่ามกลางความท้อแท้



ตั้งแต่ประกอบอาชีพสื่อมวลชนมา ผมไม่เคยเห็นครั้งใดที่พวกเราแตกกันมากขนาดนี้

อย่าว่าแต่ต่างค่าย ต่างองค์กรกันเท่านั้น แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน (มีฝ่ายที่สามซึ่งเรียกร้องให้คนใช้เหตุผลกับสติกันน้อยมาก และที่มีอยู่ก็ล้วนเป็นพวกที่เสียงไม่ดังพอ)

ไม่ต่างอะไรกับวงการสื่อมวลชนฝรั่ง ในช่วงที่ประธานาธิบดีบุชสั่งบุกอิรัก

เพราะครั้งนั้น แม้แต่ในกองบรรณาธิการของ The Economist ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานสูง ยังแตกออกเป็นสองก๊กหลัก โดย Senior Editor คนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นมาเกือบ 50 ปี ก็ได้ออกมากระทุ้งในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนั้นเอง ว่ามันไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย ในช่วงชีวิตที่เธอทำงานอยู่กับองค์กรแห่งนั้น

ส่วนเมืองไทยในรอบหลายปีหลังมานี้ สื่อของบางค่ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสื่อที่มีคุณภาพสูงและมี Impact มาก ได้กลายเป็น Propaganda Pieces ไปอย่างน่าเสียดาย

ชิ้นงานข่าวจำนวนมาก เป็นรายงานเพียงด้านเดียว จัดทำออกมาเพื่อ "กรอกหู" หรือ "กรอกตา" ผู้เสพข่าวอยู่ตลอดเวลา

ชิ้นงานข่าวบางชิ้นซึ่งจัดทำโดยนักข่าวหรือนักวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่ยึดมาตรฐานสูง ก็หนีไม่พ้น "Ending Syndrome" (ซึ่งไม่ใช่ Happy-Ending Syndrome แบบละครไทย) เพราะแม้จะทำเรื่องอะไร แม้วิธีวิเคราะห์จะชาญฉลาดขนาดไหน ก็จะได้ข้อสรุปในแบบเดียว แบบเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

ทำให้ผมนึกถึงข้อเขียนของพวกฝ่ายซ้ายสมัยก่อน คือไม่ว่าจะวิเคราะห์ได้ครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ ด้วยวิธีวิเคราะห์ที่ชาญฉลาด และลีลายอกย้อนมีเสน่ห์เพียงใด ทว่า สุดท้ายต้องสรุปด้วยการ "ชูกำปั้น" เสมอไป

แบบว่า "ชูกำปั้นซินโดรม" ที่ทำให้เสน่ห์ของการวิเคราะห์และลีลานำเสนออันย้อกย้อน ตลอดจนข้อมูลสนับสนุนที่น่าฟังเหล่านั้น "กร่อย" ลงไปแยะ

ผมเห็นกับตาว่า การใช้เหตุผลและใช้สติ ลดน้อยถอยลงไปมากในหมู่พวกเรากันเอง

และนั่น ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดต่อคนอาชีพเดียวกันไปไม่น้อย

สมัยก่อน ผมคิดเอาเองว่า คนที่เลือกมาประกอบอาชิพสื่อมวลชนนั้น ไม่นับพวกที่มาเปิดหน้าหรือขอเวลาเพื่อรับเม็ดเงินโฆษณาแล้ว ย่อมเป็นคนที่รักความจริง หรือรักที่จะแสวงหาความจริง แม้ได้ยินได้ฟังอะไรมาก็ย่อมต้องลงมือสืบสวนสอบสวนเอาเองจนถึงที่สุด มี Lifestyle ที่ชอบใช้ปัญญา และหมั่นฝึกฝนตัวเอง เพื่อขจัดอคติที่ติดตัวมาแต่เดิม หรือที่มีมาด้วยเหตุใดก็ตาม ให้เหลือน้อยที่สุด จนยากที่ใครจะมาจูงจมูกได้ง่ายๆ

แต่สถานการณ์ขณะนี้ ทำให้ผมประจักษ์ชัดว่า แท้จริงแล้ว พวกเราก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป

พวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งใน "ฝูงแกะ" อยู่นั่นเอง

จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ที่บางทีพวกเราก็มีพฤติกรรมคล้ายนักการเมือง ที่ชอบเอาสีไปป้ายคนโน้นคนนี้ จัด Segment จัด Brand ให้ผู้คนเรียบร้อยเสร็จสรรพ

บางทีก็ทำตัวคล้ายผู้พิพากษาศาลที่รับเงินใต้โต๊ะ ทำการตัดสินคนบริสุทธิ์ให้มีความผิด โดยไม่แสวงหาความจริง หรือแม้รู้ความจริงแล้ว ก็ยังดื้อดึง ตัดสินไปอีกทางอยู่ดี

หรือบางทีก็ทำตัวคล้ายคนไข้โรคจิต ซาดิสม์รุนแรง คอยยุยงให้ผู้คนฆ่าฟันกัน หรือให้หลักฐานเท็จโดยไม่ตรวจสอบความจริง เพื่อเสี้ยมให้คนฆ่าฟันกันเองด้วยความเข้าใจผิด

และบางทีก็ทำแบบนักโฆษณา ที่สามารถพูดความเท็จ หรือกึ่งจริงกึ่งเท็จ หรือจริงด้านเดียว โดยไม่สะทกสะท้าน แบบหน้าตาเฉย หรือแม้กระทั่งออกจะภูมิอกภูมิใจเสียซ้ำ

Damned-lies Journalist แสดงตัวอยู่ทั่วไป

ซ้ำร้าย หลายคนได้ดิบได้ดี และได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ นาๆ จากผู้มีอำนาจ

นี่อาจจะเป็นบทบรรณาธิการที่สั้นที่สุด เท่าที่ผมเคยเขียนมา

เพราะผมไม่มีอะไรจะพูด มากไปกว่าจะบอกว่า

"ผมผิดหวัง"...มาก



ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

24 เมษายน 2553

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

อำนาจใหม่




การล่มสลายของ “ทักษิณและสหาย” ทำให้ “ดุลแห่งอำนาจ” ในสังคมไทยปัจจุบัน เกิดความปั่นป่วนอย่างน้อยในสามระดับ

ระดับที่เห็นได้ชัดเจน คืออำนาจทางการเมืองที่จำเป็นต่อการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ (เช่นงบประมาณแผ่นดินประจำปี) ไปให้กับกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ และจำเป็นต่อการออกแบบ จัดวาง กำหนด ชี้ขาด หรือ Shape rule of the game ตลอดจนให้คุณให้โทษต่อ Players ของอุตสาหกรรมทั้งมวลในสังคมเศรษฐกิจไทย

ระดับต่อมา ก็คือความระส่ำระสายของดุลอำนาจระดับรองลงมา ที่อยู่ในระนาบ Hierarchy ถัดลงมาจากยอดปิระมิดแห่งเครือข่ายอำนาจที่ทักษิณและสหาย ได้เคยสร้างและลงหลักปักฐานไว้แล้วอย่างมั่นคง เป็นเวลาหลายปี

พูดได้ว่า การเปลี่ยนขั้วอำนาจ (ในแดนที่อำนาจได้เปลี่ยนมือไปแล้ว) และสุญญากาศของอำนาจ (ในแดนที่ขั้วอำนาจยังไม่เปลี่ยน แต่กำลังขับเคี่ยวกันระหว่างอำนาจเก่ากับใหม่อย่างเข้มข้น) ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ตั้งแต่ในระดับหน่วยงานที่เป็น State Apparatus เช่น กระทรวง ทบวง กรม ศาล กองทัพ ตำรวจ องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ ไปจนถึงบรรดาเจ้าพ่อระดับชาติ ระดับเขต ระดับเมือง ระดับอำเภอ ระดับตำบล ที่คุมเขต คุมพื้นที่ หรือแม้กระทั่งผู้กว้างขวางท้ายซอย ที่ Generate Income และ Sustain Wealth ด้วยการคุมซอย คุมบ่อน คุมซ่อง หรือ คุมคิวรถและวินมอเตอร์ไซด์ ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยน “หัวขบวน” ครั้งนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ความระส่ำระสายยังลุกลามไปสู่ระดับบนของสังคมไทย ที่มีสถานะอยู่เหนืออำนาจทั่วไปและแตะต้องไม่ได้

เพราะอย่าลืมว่า การทำลายล้างทักษิณและสหาย ในรอบที่ผ่านมานั้น ฝ่ายตรงข้ามต้องทุ่มเททั้งทรัพยากรบุคคล ทั้งสินทรัพย์ และ Capital ที่ครอบครองอยู่ทั้งมวล เพื่อ “ล้ม” ทักษิณและสหายลงให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องสูญเสียมากเช่นกัน

Michael E. Porter แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับการ Observe พฤติกรรมการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนกลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลก เคยกล่าวไว้ว่า “ดีกรีความรุนแรงของการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันในแต่ละอุตสาหกรรม จะรุนแรงเข้มข้นหรือไม่เพียงไร มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้เล่นในอุตสาหกรรมนั้นๆ ว่าจะมีมากหรือน้อย แต่มันขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งหรือแข็งแกร่งของผู้เล่นแต่ละรายต่างหาก”

นั่นสามารถอธิบายได้ว่า การแข่งขันทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่คู่แข่งขันมาจากหัวขบวนของพรรคการเมืองใหญ่ที่เข้มแข็งมากพอกัน เพียงสองพรรค ย่อมต้องรุนแรงกว่าการแข่งขันทางการเมืองในประเทศอื่นที่มีพรรคการเมืองจำนวนมาก ทว่าแต่ละพรรคล้วนอ่อนแอ

การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่าง “Godfather” กับ “Godfather” หรือ “หัวหน้าเผ่า” กับ “หัวหน้าเผ่า” ในระดับ “พญาช้างสาร” นั้น แม้จะมีเพียงสองค่ายสองฝักฝ่าย ย่อมเข้มข้นรุนแรง มิเพียงหญ้าแพรกเท่านั้นที่ต้องแหลกลาญ หากแต่ตัวหัวขบวนเองก็ต้องบอบช้ำเช่นกัน แม้จะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะก็ตามที

ฉันใดก็ฉันนั้น การทำลายล้างทักษิณซึ่งมีเครือข่ายอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เปรียบเสมือนหัวหน้าเผ่าผู้เข้มแข็งหรือเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล จึงจำเป็นต้องอาศัยพลังและทรัพยากรที่เข้มแข็งปานกัน

ไม่แปลกที่ลำพังฝ่ายทหารเพียงฝ่ายเดียวจะไม่เพียงพอต่อการล้มทักษิณ (แม้ในอดีต ฝ่ายทหารเพียงฝ่ายเดียวย่อมเพียงพอต่อการจัดระเบียบอำนาจใหม่ในสังคมไทยเสมอมา) ยังต้องอาศัยฝ่ายตุลาการ และฝ่ายมวลชนเสื้อเหลือง ตลอดจนนักคิด นักวางแผน วางกลยุทธ์ระดับปัญญาชนจำนวนมาก ด้วยอีกโสตหนึ่ง

แม้กระทั่งสถาบันระดับสูงอย่างองคมนตรีและบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะของราษฎร ยังต้องลงมาแสดง Moral Support กับฝ่ายต่อต้านทักษิณอย่างออกหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการตีความเป็นอื่น

ครั้งนี้ นับเป็นการ Deploy “ทุน” หรือ Capital ที่สำคัญที่สุดขององค์กรระดับสูงในรอบหลายสิบปี นั่นคือสิ่งที่ผมขอเรียกไปพลางก่อนที่จะหาคำซึ่งเหมาะสมกว่าได้ว่า “Nobleness” อันกินความหมายกว้างขวางลึกซึ้งถึง ชื่อเสียง เกียรติคุณ บุญบารมี ความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ และสถานะอันสูงส่ง โรแมนติก Surreal และเหนือชั้น ที่ประชาชนทั่วไปยอม “ลงให้” โดยไม่จำเป็นต้อง “ถาม” และ “เถียง” ให้มากความ

แม้จะกำราบทักษิณและสหายลงได้ ทว่า ดีกรีของความเสียหายก็มากด้วย ลึกๆ ลงไปในใจแล้ว อาจไม่มีราษฎรไทยคนไหนเลยที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในปัจจุบัน สามารถสงบใจลงได้ เพราะสถาบันระดับสูงของเรา ที่เคยเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้คนไทยได้เกิดความสงบใจตลอดมาในอดีต กำลังเผชิญกับความเสี่ยงในระดับที่น่าตกใจและไม่เคยพบเห็นมาก่อนในช่วงชีวิตของพวกเราเอง

ยิ่งมองไปในอนาคตอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าแล้ว ก็ยิ่งให้เห็นว่า “ความเสี่ยง” ดังกล่าวอาจกลายเป็น “ภัยคุกคาม” สำคัญต่อความสงบ มั่นคง และมั่งคั่ง ของสังคมไทยได้ ถึงตอนนั้น ประธานองคมนตรีคนปัจจุบันผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสถาบันระดับสูงก็จะมีอายุ 99 ปี ยังจะมีพลังในการรับมือกับฝ่ายต่อต้านหรือไม่เพียงใด อีกทั้งกองทัพและแม่ทัพนายกองก็เป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐบาล (พวกเขาสามารถเลือกว่าจะเชื่อฟังนายกรัฐมนตรี “คนนี้” แต่ไม่เชื่อ “คนนั้น” ได้) ซึ่งเป็นแต่เพียงคณะผู้นำหน้าฉากอย่างเป็นทางการ ที่ลึกๆ แล้วก็ไม่ได้มีอำนาจแบบถึงที่สุด แต่อย่างใด

สภาวการณ์แบบนี้แหละ ที่ทำให้เกิด “สุญญากาศ” ขึ้นในแวดวงอำนาจของสังคมไทย ชนชั้นนำและกลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่ม กำลัง “ดีดลูกคิดรางแก้ว” ซุ่มออกแบบโครงสร้างอำนาจใหม่ สร้างเครือข่าย ขุมกำลัง ระดมทุน และวางแผนช่วงชิงอำนาจ สร้างตัวเองขึ้นมาเป็น “หัวขบวนใหม่” อย่างเงียบๆ

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกวงการ แม้แต่มาเฟียก้นซอย ก็กำลังคิดโค่นนักเลงโตเดิม เพื่อเบียดขึ้นมาเป็นผู้จัดหัวคิว และเก็บค่าคุ้มครองผลประโยชน์คนใหม่ ในซอกซอยของตน

สนธิ ลิ้มทองกุลและสหาย ก็คิดออกมาดังๆ แล้วว่า นี่เป็นสาเหตุที่ตนถูกลอบสังหารด้วยเช่นกัน

ธรรมชาติของอำนาจย่อมเป็นเช่นนี้

แต่ไหนแต่ไรมา ผู้นำที่มีสติปัญญา กล้าหาญ มีแต้มคู รู้จักจังหวะจะโคน และ Practical มักเข้ามาแทนที่อำนาจเดิมซึ่งอ่อนแอลงเพราะห้ำหั่นกันเอง เสมอมา

อย่างคราวปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น Napoleon Bonaparte ก็สามารถสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิและสร้างราชวงศ์ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชน ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงนายทหารบ้านนอกคนหนึ่ง

Napoleon ได้สร้างชนชั้นผู้นำ (Elite) ของตนเองขึ้นมาใหม่เพื่อปกครองจักรวรรดิฝรั่งเศส เนื่องเพราะชนชั้นนำเดิมต้องสังเวยชีวิตในการต่อสู้กันเองในสงครามกลางเมือง ทั้งฝ่ายกษัตริย์และฝ่ายสาธารณรัฐ

บทเรียนชีวิตของ Napoleon ได้รับการศึกษาวิจัยกันมากอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน และผมก็เชื่อว่าชนชั้นผู้นำไทยหรือผู้ที่อยู่ในแวดวงอำนาจขณะนี้หลายคนก็เคยศึกษาชีวิตของ Napoleon กันมาแล้ว

อันที่จริง การช่วงชิงอำนาจในสังคมมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติ ตราบใดที่กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ มีกฎเกณฑ์ กติกา และมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตราบนั้น สังคมมนุษย์ก็จะมีความมั่นคงและการเปลี่ยนแปลงผู้นำก็จะเป็นไปอย่างสันติ กระบวนการสร้างความมั่งคั่งของสังคมเกิดความต่อเนื่อง ไม่สะดุจหยุดลง เพราะการปฏิวัติ รัฐประหาร หรือใช้กำลังบังคับ

กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ ในสังคมประชาธิปไตย ย่อมมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเอง และไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ ที่ลึกลับ ซับซ้อน เหลือความสามารถของผู้คนในสังคมไทย

ทำไม เราไม่ช่วยกันผลักดันให้เกิด “กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจที่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์” แทนที่จะมัวเถียงกันเรื่องอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย กันแบบที่เป็นอยู่

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
22 เมษายน 2552
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนเมษายน 2522