ผมว่าคนไทยกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจาก
"วิกฤติปิดหน่วยงาน"
หรือ
"Shutdown
Crisis" ไม่ใช่นักธุรกิจโลกานุวัตร
หรือผู้ส่งออกนำเข้าที่ไหนหรอกครับ
คือบรรดานักข่าวอย่างพวกผมนี่แหละ!
เพราะนอกจากจะต้องอดตาหลับขับตานอน
คอยติดตามข่าวสารอ่านเกมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดกับประเทศเราแล้ว
ยังโดนจังๆ
ในกรณีที่ประธานาธิบดีโอบามาประกาศยกเลิกแผนการเดินทางมาเยือนภูมิภาคแถบนี้
อย่างกรณีของผมเอง
ตอนแรกก็ว่าจะต้องไปร่วมประชุมสัมนาในงานเอสเอ็มอีโลกที่เรียกว่า
4th
Annual Global Entrepreneurship Summit
ซึ่งคุณโอบามามีคิวมากล่าวเปิดที่กัวลาลัมเปอร์
แต่ก็ได้รับแจ้งตอนต้นเดือนว่าประธานาธิบดีขอยกเลิก
โดยจะส่งเป็นภาพเสียงมาแทน
เล่นเอาเรา "ผงะ"
และหันมาจริงจังกับ
Shutdown
Crisis ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
เพราะคิดว่ามันคงต้องเอาเรื่องพอควร
เพราะขนาดประธานาธิบดียังไม่กล้าจากบ้านไปไหน
แม้ว่าขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้
ทุกคนจะโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว
เพราะบรรดา Elite
ของประเทศซึ่งทำหน้าที่อยู่ในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ
ได้ตกลงผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราว
ทำให้วิกฤติสิ้นสุดลง
(อย่างน้อยก็สิ้นสุดลงชั่วคราวจนกระทั่งกฎหมายฉบับนี้จะหมดอายุลงอีกคราในราวต้นปีหน้า)
และที่สำคัญคืออนุญาติให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปจนสามารถดึงให้รัฐบาลรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
หากกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านสภาฯ
สหรัฐอเมริกาผ่านวิกฤติมาได้อีกครั้ง
ด้วย "การประนีประนอมกัน"
ของผู้ที่ได้รับเลือกมาให้เป็น
"ผู้นำ"
ประเทศของพวกเขา!
ผมอยากจะให้ตราไว้ตรงนี้เลยว่า
"การประนีประนอมกัน"
นั้น
แม้จะเป็นหลักการง่ายๆ
แต่ก็เป็นหัวใจอันสำคัญอย่างยิ่งยวดของการเมืองอเมริกัน
ช่วยให้ประเทศของพวกเขาผ่านวิกฤติครั้งสำคัญๆ
มาได้โดยตลอด
และช่วยรักษาและส่งต่อสาธารณรัฐของพวกเขามาได้จนถึงบัดนี้
ประนีประนอม
คนอเมริกันมาจาก
"ร้อยพ่อพันแม่"
ดังนั้น
ความคิด ความเชื่อ ความเห็น
ความฝัน ความหวัง อุดมคติ
โลกทัศน์ ความกลัว และผลประโยชน์
ของแต่ละกลุ่ม
ย่อมมีความหลากหลายและแตกต่างกันมากเป็นธรรมดา
จากซ้ายไปขวา
จากบนลงล่าง จากดำไปขาว...ไปเหลือง...ไปน้ำตาล
เรียกว่า
ไม่ใช่เฉพาะเสื้อเหลืองเสื้อแดง
แต่เป็นสารพัดสี
และความคิดความเห็นที่แสดงออกก็หลากหลายมาก
มีตั้งแต่สุดขั้วด้านหนึ่งไปจนสุดขั้วอีกด้านหนึ่ง
“การประนีประนอม"
จึงสำคัญมากในสังคมแบบนั้น!
รัฐธรรมนูญอเมริกันจึงสั้นๆ
กว้างๆ เพื่อให้คนทุกกลุ่มที่มาจาก
"ร้อยพ่อพันแม่"
ยึดถือหรือพึ่งพิงได้เหมือนกันหมด
ดูไปแล้ว
รัฐธรรมนูญอเมริกันก็คล้ายๆ
กับคัมภีร์พันธสัญญาเดิมนั่นแหละ
ที่บางครั้งคนสองกลุ่มที่มีความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก็สามารถนำไปอ้างเพื่อทิ่มแทงอีกฝ่ายหนึ่งได้
สมดังคำของ
Mr.
Justice Holmes ที่ว่า
"A
constitution is made for people of fundamentally differing views.”
และกระบวนการประนีประนอมกันก็สำคัญในทางปฏิบัติสำหรับสังคมอเมริกันด้วย
เพราะนอกจากจะระบุไว้เป็นกฎหมายแล้ว
ยังมีกระบวนการในที่ลับซึ่งสำคัญมากพอกัน
อย่าลืมว่าอเมริกาเป็นประเทศที่มี
Lobbyist
อย่างถูกกฎหมายจำนวนมากมายทำงานอยู่ในทุกวงการ
พวกเขามีเป้าหมายให้คนที่มากกว่าสองกลุ่มขึ้นไปซึ่งมีความเห็นไม่ลงรอยกัน
สามารถตกลงกันได้ด้วยวิธีเจรจา
ประนีประนอม ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
หรือยื่นหมูยื่นแมวกัน....ให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้โดยราบรื่นภายใต้กรอบของกฎหมาย
หากยังตกลงกันไม่ได้จริงๆ
พวกเขาก็ยังมี "ศาลสูง"
หรือ
Supreme
Court ให้พึ่งได้เป็นไม้สุดท้าย
Supreme
Court มีหน้าที่ตัดสินความขัดแย้งทุกเรื่องในสังคมอเมริกัน
เรียกว่าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
โดยยึดเอารัฐธรรมนูญเป็นไม้บรรทัด
เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอย่างการเต้นระบำโป๊
หรือการที่จู่ๆ
ตำรวจเอาประแจมาล็อกล้อรถยนต์ที่เราจอดไว้ในที่สาธารณะและลากไปโดยพละกาล ไปจนถึงเรื่องสำคัญระดับชาติอย่างการที่คนของประธานาธิบดีไปแอบดักฟังและขโมยเอกสารของฝ่ายคู่แข่งทางการเมือง
ล้วนอยู่ในขอบข่ายที่ Supreme
Court วินิจฉัยตัดสิน
(ว่ากระกระทำนั้นๆ
ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่)
ได้ทั้งสิ้น
ข้อสรุปของผู้พิพากษา
5 คนใน
9 คน
ถือเป็นอันสิ้นสุด
และคำตัดสินย่อมศักดิ์สิทธิ์
ถึงแม้ว่าคนที่ถูกตัดสินให้เสียประโยชน์จะไม่พอใจและผิดหวังในตัว
Supreme
Court แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม
คุณสมพงษ์
สุวรรณจิตรกุล
นักเขียนนักแปลซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ
เป็นเวลานานเล่าให้ผมฟังว่า
สมัยที่วิกฤติการณ์คดีวอเตอร์เกตกำลังจะถึงศาลสูงและรู้แน่แล้วว่าประธานาธิบดีนิกสันอาจต้องมีอันเป็นไปถึงขั้นติดคุกติดตาราง
และบรรดาวงในของทั้งสองพรรคและแกนนำของประเทศในขณะนั้น
ได้ตกลงไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้วว่าให้ประธานาธิบดีลาออก
แล้วจะมีกระบวนการ Pardon
ให้
และหาทางยกย่องให้เกียรติในทางอื่น
เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี
ท่านประธานาธิบดีได้หันไปปรึกษา
Alexander
Hiag
ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้นว่าท่านมีทางเลือกอื่นหรือไม่นอกจากลาออก
อเล็กซานเดอร์
เฮก ตอบนิกสันไปว่า "You've
got the army.”
เล่นเอาประธานาธิบดีต้องถอนหายใจเฮื้อกใหญ่
เพราะความหมายของคำพูดนั้นคือหมดหนทางแล้ว
เพราะถ้าจะดึงดันก็ต้องปฏิวัติรัฐประหารกัน
ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในสังคมอเมริกัน
แม้ตลอดระยะเวลากว่า
200
ปีตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐของพวกเขามา
ความเห็นของศาลสูงสหรัฐฯ
ก็ใช่ว่าจะคงเส้นคงวาตรงเป๊ะไปเสียทุกเรื่อง
เช่นครั้งหนึ่งเคยตัดสินว่าการที่คนขาวกับคนดำต้องแยกกันเรียนแยกกันใช้ชีวิตนั้นไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
แต่อีก 60-70
ปีต่อมาก็ว่ามันขัดรัฐธรรมนูญ
เพราะมันเป็นสิทธิของคนดำที่จะนั่งเรียนในห้องเดียวกับคนขาวได้
ดูหนังโรงเดียวกับคนขาวได้
หรือขึ้นรถบัสคันเดียวกับคนขาวและนั่งด้วยกันได้
และ...เป็นต้น
ซึ่งหมายความว่าความเห็นของศาลสูงก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมและศีลธรรมของยุคสมัยเช่นเดียวกัน
แต่ทว่า
ความศักดิ์สิทธิ์ของคำตัดสินและความเชื่อถือในตัวศาล
ยังคงไม่สั่นคลอน
ผมคิดว่าวันใดที่ความเชื่อถือในตัวศาลสูงสหรัฐฯ
เกิดสั่นคลอน
จนเกิดความคิดในมวลหมู่ราษฎรส่วนใหญ่ว่าศาลสูงไม่ยุติธรรมและพึ่งไม่ได้
อาจจะด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
เช่นเกิดสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตหรือความโน้มเอียงเชิงเล่นพรรคเล่นพวกต่อตัวผู้พิพากษา
9 คนนั้น
หรือความคิดความเห็นของบรรดาผู้พิพากษาเหล่านั้นเกิดล้าสมัยตามไม่ทันค่านิยมและศีลธรรมของยุคสมัย
วันนั้นจะต้องเป็นกลียุคของชาวอเมริกันเป็นแน่แท้
ประนีประประนอม
ที่เล่ามานั้นเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของกระบวนการประนีประนอมของสังคมอเมริกันที่ถูกออกแบบมาเพื่อคลี่คลายวิกฤติของสังคม
และเป็นมรดกตกทอดมาจากไอเดียของบรรดา
Founding
Fathers หรือคณะผู้นำเมื่อ
200
กว่าปีก่อน
ร่วมสมัยกับช่วงก่อร่างสร้างสยามของราชวงค์จักรี
ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นสาธารณรัฐแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้
ก่อตั้งมาพร้อมๆ กับกรุงเทพฯ
โดยเมื่อเราย้อนไปดูไอเดียของผู้นำของพวกเขาในตอนนั้น
เราก็จะเข้าใจปัจจุบันได้
ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง
เราย่อมเข้าใจปัจจุบันได้ถ่องแท้!
และถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง
เราย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันนั้นเป็น
"การประนีประนอม"
หรือ
"Compromise”
ของความคิดเห็นหลายกระแส
กระบวนการได้มาซึ่งข้อสรุปแต่ละข้อในรัฐธรรมนูญอเมริกัน
(เช่นการถกเถียง
ศึกษา วิเคราะห์ ลงความเห็น
และให้ความเห็นชอบ)
ก็เป็นกระบวนการประนีประนอมเช่นกัน
สมัยเมื่อบรรดาผู้นำที่มาเรียกขานกันในตอนหลังว่า
Founding
Fathers จำนวน
55
คนไปประชุมร่วมกันที่
Independence
Hall ฟิลาเดลเฟีย
ระหว่างวันที่ 25
พฤษภาคม
ถึง 17
กันยายน
พ.ศ.
2330 (เรียกกันในเวลาต่อมาว่า
Constitutional
Convention) รัฐบาลอเมริกันกำลังมีปัญหา
และสังคมก็เริ่มมีปัญหาที่ทำท่าว่าจะแก้ไม่ได้ด้วยวิธีปรกติ
เพราะปัญหาใหญ่ๆ
จำเป็นต้องแก้ด้วยการเมือง
หลังชนะสงครามปลดแอกต่ออังกฤษ
(ที่เรียกว่า
American
Revolutionary War) ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน
และสนใจแต่ตัวเองและรัฐตัวเอง
ตั้งกำแพงภาษีกันเอง
พิมพ์เงินใช้เอง และต่างคนต่างอยู่
ไม่สนใจปัญหาของประเทศโดยรวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ก้อนโตที่ก่อมาเพื่อสู้สงครามปลดแอก
ทำเหมือนไม่่ใช่ปัญหาของตัวเอง
รัฐบาลกลางตอนนั้น
(ดำเนินการภายใต้ธรรมนูญเดิมที่แต่ละรัฐมารวมกันแบบหลวมๆ
เรียกว่า Articles
of Confederations) ก็อ่อนแอ
ถังแตก เก็บภาษีไม่ได้
เงินที่พิมพ์มาใช้ก็ด้อยค่า
จะจ้างทหาร จ้างข้าราชการลำบาก
แม้เกิดจลาจลก็ปราบไม่ไหว
ฯลฯ
United
States of America กำลังจะกลายเป็น Disunited States of America (ผมอยากจะให้ตราความข้อนี้ไว้เพื่อเปรียบเทียบกับสหภาพยุโรปในปัจจุบัน)
ผู้นำของแต่ละรัฐจึง
"จำใจ"
ต้องมารวมตัวกันเพื่อหาทางออก
ผมใช้คำว่า
"จำใจ"
เพราะพวกเขาไม่ค่อยเต็มใจในตอนแรก
สังเกตุจากที่กว่าจะมากันครบองค์ประชุมได้
(7 รัฐจาก
13 รัฐ)
ต้องใช้เวลาถึง
10 วัน
และ Rhode
Island ก็ไม่ส่งสมาชิกมาร่วมเลยตลอดการประชุม
อย่าลืมว่าพวกเขาล้วนเป็น
Big Guys
ในรัฐของตนๆ
พวกเขาเป็นผู้นำธุรกิจ
เป็นผู้นำรัฐบาลท้องถิ่น
และเป็นนักวิชาชีพที่ประสบความสำเร็จ
เช่น
เจ้าของกิจการเรือสมุทรและกิจการอุตสาหกรรมจากทางเหนือและเจ้าของไร่ฝ้ายและบรรดาผู้ทรงภูมิจากทางใต้
29
คนในจำนวนนั้นจบมหาวิทยาลัยจากอเมริกาหรืออังกฤษ
กว่าครึ่งเป็นทนาย และอายุเฉลี่ย
42 ปี
ถ้าเทียบกับสมัยนั้นแล้ว
พวกเขาคงต้องเป็นคนฉลาด
รอบรู้ ทันสมัย ตื่นตัว
และเป็นนักปฏิวัติ
ถึงสามารถร่างรัฐธรรมนูญออกมาแบบนั้นได้
อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันที่เกิดจากมันสมองและข้อตกลงร่วมกันของพวกเขาในช่วงนั้นเป็นกรอบโครงสำคัญที่วางพื้นฐานให้ประเทศสหรัฐฯ
สามารถพัฒนาขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยจนยิ่งใหญ่ทั้งในทางทรัพย์สฤงคารและอำนาจอิทธิพล
และยังคงสำคัญยิ่งต่อชีวิตและวิญญาณของชาวอเมริกันอยู่ในปัจจุบัน
แม้เวลาจะล่วงเลยมานานมากแล้ว
พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบ
17 อาทิตย์
โดยเห็นร่วมกันก่อนอื่นเลยว่า
Article
of Confederations มันโหลยโท่ย
ต้องฉีกทิ้งโดยไม่ต้องหาทางแก้ไขมัน
และต้องสถาปนาประเทศใหม่ขึ้นมาบนรัฐธรรมนูญอันใหม่เลย
พวกเขาใช้เวลา
2 เดือนแรก
ชำแหละระบบสาธารณรัฐในอดีตตั้งแต่สมัยกรีกเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ณ ขณะนั้น แต่ก็ไม่พบระบบที่น่าเอาอย่าง
พวกเขาจึงเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า
"อะไรบ้างที่พวกเขาจะไม่เอา
หรือจะตัดทิ้ง"
เช่น
พวกเขาจะไม่เอาระบบ Parliamentary
System ไม่เอาระบบกษัตริย์
ไม่เอากองทัพประจำการ
เพราะพวกเขาพบจากการศึกษาระบบการเมืองในประวัติศาสตร์ว่า
กษัตริย์สามารถควบคุมกองทัพเพื่อไปควบคุมรัฐสภาอีกทอดหนึ่งได้
เป็นที่น่าสังเกตุว่า
ระหว่างการประชุม
ความคิดความเห็นของพวกเขาแยกเป็นสองขั้วในเรื่องสำคัญๆ
อุปมาเหมือนเสื้อเหลืองเสื้อแดงในบ้านเราปัจจุบัน
อย่างประเด็นการจัดสรรอำนาจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐว่าจะแบ่งและคานกันอย่างไรนั้น
ถือว่าสำคัญมากในช่วงเริ่มต้น
ความเห็นแตกเป็นสองขั้ว
นำโดย Alexander
Hamilton
ฝ่ายหนึ่งที่เสนอให้รวบอำนาจสู่ส่วนกลางและสามารถวีโต้กฎหมายของรัฐในทุกกรณี
(เขายังเสนอให้ประธานาธิบดีและสมาชิกสภามาจากขนชั้นสูงและดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต)
อีกขั้วหนึ่งนำโดย
George
Mason จากเวอร์จิเนียซึ่งสนับสนุน
Individual
Rights
และเน้นออกแบบรัฐบาลกลางให้มีอำนาจน้อยเพื่อก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลให้น้อยที่สุด
และให้รัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจเท่าเทียมกับรัฐบาลกลาง
ระหว่างสองขั้วก็มีความเห็นของ
James
Madison
ผู้คงแก่เรียนซึ่งเคยศึกษาและนำเสนอต่อที่ประชุมถึงรายละเอียดของระบบสาธารณรัฐเท่าที่เคยมีมาบนโลก
โดยเขาให้ข้อสังเกตุว่า
"ไม่มีสมาพันธรัฐแห่งใดที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยการออกแบบให้อำนาจและขอบข่ายการดำเนินการของรัฐบาลกลางขัดแย้งกันกับรัฐบาลท้องถิ่น"
เขาจึงเสนอว่ารัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นต่างต้องมีอำนาจ
เพราะเขาเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่น่าวางใจ
เขากล่าวครั้งหนึ่งในที่ประชุมว่า
"If
man were virtuous, there will be no need of governments at all.”
แต่เขาเห็นว่ารัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นไม่ได้มีไว้เพื่อแข่งขันกัน
และรัฐบาลกลางมิได้ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมรัฐบาลท้องถิ่น
แต่ทั้งคู่ต้องตั้งอยู่เพื่อร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของราษฎรอเมริกัน
และไอเดียของเขานี้เองที่กลายมาเป็นหลักการสำคัญของระบบการเมืองอเมริกันจนกระทั่งบัดนี้
โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับความคิดเขาและร่างเป็นหลักการในรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับความคิดสำคัญๆ
ในรัฐธรรมนูญ
ที่เห็นร่วมกันได้ด้วยการประนีประนอมทางความคิดของบรรดา
Founding
Fathers นั่นเอง
ตัวอย่างอันดีที่นักการเมืองรุ่นหลังน่า
"เอาเยี่ยง"
ก็คือผู้แพ้อย่าง
Hamilton
ที่เมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้
ก็ไม่ทำตัวขวางโลก
แต่กลับหันมาสนับสนุนมติกลาง
และช่วยพูดช่วยเขียนสนับสนุนและปกป้องหลักการของ
Federalism
ให้กระจายไปสู่สังคมวงกว้าง
(แม้จะขัดกับหลักการที่ตัวเองเชื่อ)
และข้อเขียนของเขานี้เอง
ที่ต่อมาได้มีผู้รวบรวมพิมพ์กับข้อเขียนของ
Madison
และ
John
Jay และเรียกกันว่า
"Federalist
Papers” จนยึดเอาเป็นดั่งคัมภีร์การเมืองกันในภายหลัง
แม้แต่ Supreme
Court ก็มักนำไปใช้ประกอบในการตีความอยู่เสมอ
เมื่อ
Benjamin
Franklin หนึ่งใน
Founding
Fathers ผู้อาวุโสเดินออกจากประตูห้องประชุมในวันสุดท้าย
หญิงสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยถามเขาว่า
"Well,
Doctor, What have we got? A republic or a monarchy?”
เขาตอบทันทีว่า
"A
republic, madam, if you can keep it.”
และ ประนีประนอม
เป็นที่น่ายินดีสำหรับชาวอเมริกันที่ยังคงธำรงไว้ซึ่งสาธารณรัฐที่บรรพบุรุษออกแบบไว้ให้
แม้จะผ่านวิกฤติหลายครั้งและสงครามกลางเมืองใหญ่ครั้งหนึ่ง
แต่ก็รอดพ้นและพัฒนาต่อยอดมาได้ด้วยหลักการง่ายๆ
แต่สำคัญอย่างยิ่งยวด
ซึ่งเป็นแกนกลางของการเมืองอเมริกันเสมอมา
นั่นคือ
"การประนีประนอมซึ่งกันและกัน"
และนั่นเป็นความสามัคคีในความหมายของอเมริกัน
ที่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนคิดและเชื่อเหมือนกัน
คนอเมริกันทราบจากประวัติศาสตร์ของตัวเองและของสาธารณรัฐมาแล้วว่า
ถ้าเมื่อใดความคิดของผู้คนหรือผู้นำเกิดสุดขั้วและประนีประนอมกันไม่ได้
เมื่อนั้นสาธารณรัฐและสังคมของพวกเขาจะเกิดวิกฤติ
ดังในช่วงก่อนและระหว่างสงครามกลางเมืองพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ตราบเท่าที่คนอเมริกันยังยึดเอา
"การประนีประนอม"
เป็นตัวตั้งดังที่บรรพบุรุษเคยทำมา
วิกฤติการณ์ย่อมจะไม่เกิดขึ้น
แต่วิกฤติของอเมริกาที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ฉากนี้ ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้างล่ะ!
บ้านเมืองของเราตอนนี้
ต้องการคณะผู้นำประเภท
Founding
Fathers ที่เฉลียวฉลาด
ทรงภูมิ รอบรู้ และทันสมัย
และต้องเด็ดขาด
พร้อมที่จะหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน
เพื่อโละทิ้งระบบเดิมที่มีปัญหามากโดยไม่ต้องไปคิดแก้ไขมันอีก
แต่ควรร่วมกันออกแบบระบบใหม่ขึ้นมาบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ล้วงลึกถึงประวัติศาสตร์ของตัวเองภายใต้บริบทของโลกสมัยใหม่
ความคิดใหม่ และความคิดความเชื่ออื่นบรรดามีในโลก
สนับสนุนความคิดความเชื่ออันหลากหลาย
และอาศัยจินตนาการที่กำกับด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์และบริบทของโลกสมัยใหม่อันนั้น
แสวงหาข้อสรุปภายใต้หลักการ
"ประนีประนอม"
ที่จริงๆ
แล้วก็อยู่คู่กันกับการเมืองไทยมาช้านานแล้วเช่นกัน
โดยผมเชื่อว่า
ระบบใหม่จะก่อกำเนิดขึ้นได้ด้วย
"การประนีประนอม"
เท่านั้น
และ
"การประนีประนอม"
เท่านั้น
จะทำให้สังคมไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ทักษ์ศิล
ฉัตรแก้ว
18
ตุลาคม
2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนตุลาคม 2556
คลิกอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้จากลิงก์ข้างล่าง:
**เราต้องยกขาจากหล่มโคลน
คลิกอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้จากลิงก์ข้างล่าง:
**เราต้องยกขาจากหล่มโคลน