วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ICO (Initial Coin Offering) คือโอกาสใหม่ของผู้ประกอบการและรัฐบาลไทย


            ผมเคยเป็นมาแล้ว ทั้ง Investment Banker และ เจ้าของกิจการ
เคยทั้งระดมทุนให้กิจการของคนอื่น และหาเงินก่อตั้ง ปลุกปั้น ประกอบการ กิจการของตัวเอง
ผมจึงเข้าใจ และเห็นใจ หัวอกของบรรดา Start-Ups ทั้งหลาย
ไม่ใช่ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่าน การพูดคุย หรือเก็งความจริง แต่เป็นความเข้าใจจากการลงมือปฏิบัติ ตรึกตรอง และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ตลอดจนหวนคิดตรึกตรองถึงบทเรียนเหล่านั้นอยู่เสมอ
ผมรู้และเข้าใจดีว่า เจ้าของกิจการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านหลายมุม
ไหนจะเรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องการจัดการ และเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เช่นภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ สารพัดสารพัน
ที่สำคัญคือองค์ความรู้ในสังคมไทย โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการผลิตนั้น เป็นความรู้ที่ไปไม่ถึงแก่นแท้ เรายังขาดความรู้ในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือและเครื่องจักรที่จำเป็น ความรู้ทางด้านวัสดุสมัยใหม่และองค์ประกอบในการผลิตทั้งในเชิง Hardware และ Software ทำให้เมื่อจะลงมือ “สร้าง” อะไรเป็นของตัวเอง ที่คิดว่าจะไปแข่งขันกับใครเขาได้ในโลกนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือถ้าได้ก็จะมีต้นทุนสูง เพราะต้องพึ่งพาความรู้ (หรือที่เรียกในภาษาสมัยใหม่ว่า “เทคโนโลยี”) ของฝรั่ง ของญี่ปุ่น (และตอนนี้ก็ของจีนเพิ่มเข้าไปอีกราย) ทำให้ผู้ประกอบการของเรา ต้องมีสถานะเป็นเพียงนายหน้าหรือลูกไล่หรือผู้รับจ้าง และถูกกิจการที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้เหล่านี้ บังคับให้ต้องวิ่งไล่กวด เพื่อหาซื้อหรือเช่าความรู้ใหม่ๆ ของเขา อยู่ตลอดเวลา เสมือนต้องกินน้ำใต้ศอกของกิจการเหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบางทีก็เหลือให้เรากินแต่เพียงเศษเนื้อเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ผลตอบแทนในเชิงการลงทุนและการเงินต่ำ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่พวกเขา ในฐานะเจ้าของความรู้เหล่านั้น ได้รับไปในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจประกอบการ ลงทุน ลงแรง และลงเวลา ไม่น้อยกว่าพวกเขา
และเราก็มีมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่พร่ำสอนความรู้ในการผลิตเหล่านี้มาเป็นเวลานานแสนนาน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถผลิตบุคคลากรที่เข้าถึงความรู้ในระดับ “แก่นแท้” ซึ่งจะช่วยให้ “สร้าง” อะไรได้ด้วยตัวเอง ในจำนวนมากพอ ซักกะที
แต่วันนี้ผมจะขอพูดแต่เพียงความท้าทายเดียว คือเรื่องเงิน
เรื่องเงินมักเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ริเริ่มทำกิจการ โดยเฉพาะในช่วงแรกของธุรกิจ
ร้อยทั้งร้อย ต้อง “ทำกันไป ระดมทุนกันไป”
Start-Ups ที่ต้องกลายเป็น Finish-Down ไปเสียกลางคัน ก็เพราะปัญหาเรื่องเงินนี้แหล่ะ
แน่นอน ในตอนแรกสุด พวกเราส่วนใหญ่ต้องใช้เงินเก็บ และระดมเอาจากพี่น้องเพื่อนฝูง หรือกู้ยืมมา
ดีหน่อย ก็ได้โอกาสจากนักลงทุนมืออาชีพที่เขาถนัดและหากินทางนี้ เช่นพวกผู้ใหญ่ที่ชอบสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่ หรือ Venture Capitalist หรือ Angel Funds ทั้งหลาย
ภาษาทางการเงินสมัยใหม่มักเรียกการ Financing ช่วงนี้ว่า “Angel” หรือ “Pre-seed” Round
โดยสถิติของสหรัฐอเมริกานั้น บรรดา Start-Ups ที่สามารถรอดมาจนตั้งตัวได้ ทั้ง Free Cash Flow เป็นบวก หรือไม่ก็สามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นขายคนทั่วไป (IPO = Initial Public Offering) ได้ หรือไม่ก็ถูกกิจการขนาดใหญ่ที่ตั้งตัวได้แล้วซื้อหรือ Takeover ไปอยู่ในเครือข่าย ฯลฯ เหล่านี้จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี
ใครผ่านช่วงนั้นได้ ถือว่ารอด !
ผมลอง Double Check บรรดา Venture Capitalist และ Investment Bankers หลายคนดู ส่วนใหญ่จะให้ค่าเฉลี่ยราวๆ นี้ เช่นกัน
ในระยะแรกของชีวิตกิจการนี้แหล่ะ ที่ผู้ประกอบการจะต้องหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับการระดมทุน ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ กว่าจะตั้งตัวได้
ท่านผู้อ่านต้องเคยผ่านตากับคำว่า First Round” “Second Round” "Series A" "Series B" หรือศัพท์แสงทางด้านการเงินสมัยใหม่อย่างแน่นอน
ไม่ต้องงงครับ คำเหล่านี้มันเพียงแต่ใช้เรียกการระดมทุนแต่ละรอบ จากบรรดา Venture Capitalists หรือนักลงทุนที่เห็นดีเห็นงามกับธุรกิจของบรรดา Start-Ups เหล่านั้นในช่วงแรก ที่ยังไม่สามารถระดมทุนในตลาดทุนขนาดใหญ่ได้ เท่านั้นเอง
คิดดูเอาเถอะ ว่าผู้ประกอบการต้องหนักหนาสาหัสเพียงใด และต้องยอมสละหุ้นของตัวเอง ตัดขายที่ละก้อนๆ จนกว่าจะตั้งตัวได้ อาจเหลือไม่มากพอที่จะมีสิทธิมีเสียงแบบ “สิทธิขาด” ได้อีกต่อไป
ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะในเรื่องนี้ Steve Jobs เองก็เคยถูกไล่ออกจาก Apple Inc. กิจการที่ตัวเองก่อตั้งกับมือมาแล้ว และรายล่าสุดคือ Travis Kalanick แห่ง UBER ที่ก็เพิ่งถูกริดรอนอำนาจในกิจการที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือ ด้วยเช่นเดียวกัน
เหตุผลคือ จำนวนหุ้นของเขาที่เคยสามารถโหวตได้อย่างตามใจชอบ ถูก Dilute ลง เนื่องเพราะต้องตัดแบ่งให้กับผู้ลงทุนในการระดมทุนแต่ละรอบที่ผ่านมา
ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องประสบพบเจอเหมือนกันหมด
คือต้องชั่งใจ ระหว่างการถูก Dilute และการเติบโตขององค์กร เพราะเมื่อองค์กรเติบโต มันต้องใช้เงินในการจ้างคน จ้างวิศวกร ซื้อ Hardware เช่าสถานที่ และขยายไปในพื้นที่อื่น ฯลฯ
ภาษาทางการเงิน เรียกปัญหานี้ว่า Bootstrap Problem” นั่นเอง
ที่ผมพูดมานี้ เป็นวัฒนธรรมการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ที่บรรดา Start-Ups ในระดับโลกต้องเผชิญ และวัฒนธรรมแบบนี้ เริ่มถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยแล้ว
แต่คนรุ่นผมมันกลางเก่ากลางใหม่ จึงอยากจะขอพูดปัญหาเฉพาะของไทย ที่เคยประสบพบมาให้ฟังด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้เอง วัฒนธรรมแบบ Venture Capital ยังคงล้มเหลวในเมืองไทยอยู่
สถาบันการเงินที่รัฐบาลก่อนๆ จงใจตั้งขึ้นมาสนับสนุนผู้ประกอบการหรือ Start-Ups ล้วนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
           การนำเอา Commercial Banker มาบริหารกิจการเหล่านี้ ตลอดถึงกฎหมายต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรค ทำให้พวกเขาไม่กล้าสนับสนุนทางการเงินกับผู้ประกอบการใหม่ๆ ในมาตรฐานที่ต้องใช้กระแสเงินสดเป็นเกณฑ์ หรือ Cash Flow Financing” พวกเขายังอาศัยมาตรฐานเดิมคือ ต้องการสินทรัพย์ถาวรมาวางค้ำประกันAsset-Based Financing” (หรือจดจำนอง) ซึ่งยากที่บรรดา Start-Ups จะมีได้
Cash Flow Financing อาจมีบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอกับการก่อร่างสร้างตัว ให้เป็นปึกแผ่นได้จริงจัง มีแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่นที่ สสว. ทำสำเร็จอยู่บ้าง
             ทำให้กิจการธุรกิจสมัยใหม่ ที่อาศัยหรือครอบครองสินทรัพย์ถาวร (ซึ่งจับต้องได้) น้อย ทว่าพึ่งพิงหรือดำเนินไปสู่การครอบครองความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมหรือสิทธิบัตร (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้) ไม่สามารถตั้งตัวได้เท่าที่ควร
              ยิ่งกว่านั้น มันยังมีปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมองค์กรหรือ Norm ของครอบครัว เป็นปัญหาซ้อนอยู่ อีกชั้นหนึ่งด้วย
               ผมเคยคุยกับ คุณเฉลียว สุวรรณกิตติ หลายครั้งถึงเรื่องนี้ ก่อนท่านเสียชีวิต
               คนส่วนใหญ่อาจรู้จักคุณเฉลียวในฐานะผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) แต่จริงๆ แล้วคุณเฉลียวเป็น Venture Capitalist ยุคแรกของไทย คือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทธนสถาปนา ที่ลงขันถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์เกือบทุกธนาคารในประเทศไทยสมัยโน้น ซึ่งต้องการที่จะสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (คือ Start-Up ในความหมายปัจจุบันนั่นเอง...ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองศึกษากรณี “ไข่ผง” ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ดูก็ได้)
              ผมถามคุณเฉลียวว่าทำไม “ธนสถาปนา” ถึงล้มเหลว และเราไม่สามารถลงหลักปักฐานวัฒนธรรมแบบ Venture Capital Financing ในสังคมไทยได้
              คุณเฉลียวสรุปบทเรียนให้ผมฟังทุกครั้งเหมือนกันคือ “เพราะนักธุรกิจส่วนใหญ่ในเมืองไทย เป็นครอบครัวคนจีน และพวกเขาไม่ชอบที่จะให้คนอื่นเข้ามาถือหุ้นร่วมกันในกิจการ แม้รุ่นลูกจะเข้าใจว่า Venture Capital Funding เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น แต่พอไปถึงรุ่นพ่อ ก็มักจะมีปัญหาเสมอ”
               ผมไม่รู้ว่า Start-Up รุ่นปัจจุบัน สลัดความคิดแบบนี้ได้หรือยัง
               เราคงต้อง Observe กันต่อไป

ICO จะแก้ปัญหาที่ว่ามานี้ได้ในทันที


               ผมเพิ่งมาเห็นนวัตกรรมใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ที่จะสามารถแก้ปัญหาของผู้ประกอบการที่พูดมาทั้งหมดนี้ได้
                นั่นคือ ICO” (“Initial Coin Offering”) ซึ่งเกิดขึ้นมาคู่กับกิจการที่มีส่วนพัฒนาเทคโนโลยี Blockchains เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย และกิจการที่ตั้งใจจะนำเทคโนโลยี Blockchains ไปใช้ในการให้บริการของตน
                มันคือกระบวนการระดมทุนโดยออก “เหรียญ” ขาย
                มันตั้งชื่อล้อกับ “IPO” แต่มันช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องตัดหุ้นของตัวเองออกขายเลย ทว่าก็ยังสามารถระดมทุนได้ โดยการออกเหรียญฯ (Token หรือ Utility Coin) ขายให้กับคนทั่วไปแทน
“ICO” ก็คือ “IPO แนวใหม่” นั่นเอง
                พูดง่ายๆ ว่า “ICO” นี้ จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางการเงินในช่วงต้น (หรือ “Bootstrap Problem”) ให้กับ Start-Ups และผู้ประกอบการ ได้เลย
                 โดยกิจการผู้ออกเหรียญฯ ขายนี้ ต้องนำเหรียญฯ ไปขอจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง (ที่ทำการซื้อขาย Crypto Currencies) เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับเหรียญฯ และเป็นหนทางที่ผู้ลงทุนหรือผู้จับจองเหรียญฯ สามารถนำเหรียญฯ ไปซื้อขายอีกทอดหนึ่งได้ เหมือนกับหุ้นทุกประการ
                 ผมว่ามันเป็นพัฒนาการขั้นสูงของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ที่พวกเรา นอกจากต้องจับตาอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังต้องหาทางเอามันมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจและภาครัฐในบ้านเราด้วย
                  คือภาครัฐเอง ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก ICO ได้เช่นเดียวกัน ในการระดมทุนโครงการต่างๆ ของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น เราสามารถดีไซน์ให้เหรียญฯ ที่จะออกขายโดยรัฐบาลไทย ให้กับนักลงทุนนั้น สามารถนำไปแลกใช้บริการต่างๆ ในประเทศไทยได้ นอกไปจากการนำเหรียญฯ นั้นไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง อีกทางหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนที่จับจองเหรียญฯ ไปในเบื้องต้น สามารถนำไปขายต่อได้เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร โดยการระดมทุนแนวนี้จะมีความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนน้อยกว่าการกู้เงินตราต่างประเทศหรือการออกพันธบัตรขายในตลาดต่างประเทศ
                 เราอาจจะสามารถนำเงินตรงนี้มาสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และโครงการสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างต้นทุนถูกและเป็นประโยชน์มาก
                 ตลาด ICO ในตอนนี้ไม่เล็กเลย เฉพาะในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านจนถึงสิ้นเดือนตุลาที่ผ่านมา มีการระดมทุนแบบ “ICO” ไปแล้วถึง 175 ราย โดยมูลค่าทุนที่ระดมไปทั้งหมดประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญฯ
                 แถมกิจการที่ออก “ICO” ขายนั้น ยังกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างน่าสนใจ เช่น Iconomi (เหรียญที่ออกขายชื่อ ICN) เป็นธุรกิจที่นำ Blockchain ไปใช้ในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management), Blockchain Capital (เหรียญชื่อ BCAP) เป็นกิจการ Venture Capital, Brave (เหรียญชื่อ BAT) เป็นเอเจนซี่โฆษณา, SALT (เหรียญชื่อเดียวกัน) เป็นธุรกิจให้กู้ยืมเงิน, Patientory (เหรียญชื่อ PTOY) เป็นธุรกิจ Healthcare เป็นต้น
                  ในเมืองไทยเอง ก็มีผู้ทำ ICO ประสบผลสำเร็จไปแล้วหลายราย ที่รู้จักกันดีคือ OMESE GO และได้ข่าวว่าจะมีรายอื่นตามมาอีกพอสมควร
                   กระบวนการทำ ICO นั้นยุ่งยากน้อยกว่า IPO แยะ เพราะยังไม่มีกฎหมายมาควบคุม จึงไม่จำเป็นต้องยื่น Filing ต่างๆ กับสำนักงาน กลต. และยังสามารถระดมทุนในตลาดโลก คือเปิดให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าจองซื้อกับเราได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้รับประกันการจัดจำหน่าย หรือโบรกเกอร์ ให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น
                    แต่ผมได้ยินว่า มี Investment Bank บูติกบางราย เริ่มเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับการทำ ICO ใหญ่ๆ ในต่างประเทศบ้างแล้ว
                   ดังนั้น จึงเป็นการง่ายเข้าไปอีกสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มธุรกิจ หรือแม้แต่พวกที่คิดจะเริ่มธุรกิจ และคิดจะระดมทุนโดยการออกเหรียญฯ ขาย (ICO) ก็สามารถแต่งตั้งให้ Investment Bank เหล่านั้น วางแผนการระดมทุนให้ ตั้งแต่การดีไซน์ลักษณะใช้งานของเหรียญฯ ให้มันสมเหตุสมผลและน่าสนใจ การจัดเตรียมซอฟท์แวร์ต่างๆ ในเครือข่าย และการนำเหรียญฯ ไปขอจดทะเบียนในตลาดสำคัญๆ ของโลก
                    ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน สำนักงาน กลต. คงต้องเข้ามากำกับดูแล ICO อย่างแน่นอน เพราะเหรียญฯ เหล่านี้ มันเข้าข่ายเป็น “หลักทรัพย์”
                    แต่ก็เป็นการยากที่จะห้ามกระบวนการนี้โดยเด็ดขาด เพราะมันเป็นตลาดโลก ดูอย่างรัฐบาลจีนที่ห้ามทำ ICO และยังสั่งแบนตลาดซื้อขาย Crypto Currencies ด้วยนั้น ก็ทำให้นักลงทุนจีน หันไปซื้อขายในตลาดนอกประเทศจีน หรือ Start-Ups ที่ต้องการระดมทุน ก็ยังสามารถขายเหรียญฯ ให้กับนักลงทุนต่างชาติได้
                    การจะแบน Crypto Currencies (เช่น BITCOIN) เป็นเรื่องยากเสียแล้ว ยกเว้นว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องร่วมมือกัน และจะต้องปิดระบบอินเทอร์เน็ต (เพราะ Block ทุกบล็อกใน Blockchain มันถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ของสมาชิกเครือข่ายที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก) ซึ่งต้องกระทบกับธุรกิจอื่นอย่างมโหฬาร
                    การเข้ามาของ กลต. หรือ SEC อาจจะดีก็ได้ เพราะจะช่วยยับยั้งไม่ให้พวกโกง หรือพวกแชร์ลูกโซ่ หรือพวกตีหัวเข้าบ้าน และพวกชอบลอกคราบ เข้ามาหากินในตลาด ICO นี้ หรือเข้ามาหากินได้ยากขึ้น
                    ถึงกระนั้น ปัจจุบันก็มีตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญ Crypto Currencies และเหรียญ Utility Coins ที่ได้รับการรับรองหรือได้รับใบอนุญาตจาก SEC แล้ว
                     ในอนาคตเชื่อว่า ตลาดในระดับนี้คงเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
                     ด้วยความจำกัดของหน้ากระดาษ ผมจึงขอจบเรื่อง ICO ไว้เพียงเท่านี้ก่อน
                     เป็นธรรมดาอยู่เองที่สิ่งเกิดใหม่จากระบบทุนนิยมย่อมมีดีมีด้อย ผมอยากให้ทุกคนศึกษามันให้ถ่องแท้ และเอาประโยชน์จากมัน เพราะมันมีคุณมหันต์ ถ้าใช้เป็นและถูกทาง
                    Cryptocurrencies ก็เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งอุบัติขึ้นและถูกนำมาใช้ในระบบเศรษฐกิจของโลกสมัยใหม่ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งอินเทอร์เน็ตก็อุบัติขึ้นและถูกนำมาใช้เมื่อหลายสิบปีก่อน
                    อย่าเพิ่งไปตั้งข้อรังเกียจกับมันเลย
                    

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2560
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับพิเศษ พ.ย. 2560

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คนรุ่นใหม่ในสังคมสูงอายุ




     ในบรรดาคุณธรรมทั้งมวล "ความกตัญญู" เป็นคุณธรรมที่มี "มูลค่าทางเศรษฐกิจ" หรือ "Economic Value” สูงที่สุด


     สังคมตะวันออกที่ก้าวหน้า เปี่ยมด้วยอารยธรรมอันสูงส่ง ในกาลก่อน ก่อนที่ฝรั่งจะขึ้นเป็นใหญ่ในโลกหล้า ล้วนใช้ "ความกตัญญู" เป็นตัวจัดระเบียบสังคมเศรษฐกิจของตัวเองมาช้านาน


ทั้งอินเดียและจีน


     พระพุทธเจ้าเอง ก็ให้ความสำคัญกับ "ความกตัญญู" และตรัสยกย่อง "คนกตัญญู"



     ถึงกับตรัสเล่าว่าก่อนจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็เคยเสวยพระชาติเป็นลูกกตัญญูมาก่อน



     (หมายถึง "สุวรรณสามดาบส") โดยพระประวัติช่วงนั้น ถือเป็นชาติหนึ่งใน "ทศชาติ" หรือที่เรียกกันแบบภาษาชาวบ้านว่า "พระเจ้าสิบชาติ" หรือ "พระเจ้าสิบปาง" นั่นเอง



     พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องตีความใดๆ อีก ว่า “ภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย"



     ไฮไลท์ของเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่านี้ เนื่องมาแต่ความเดิม ตอนที่ "สุวรรรณสามดาบส" ได้กลับแลเห็นเหมือนเก่า หลังจากสลบไสลไปเพราะถูกศรของพระเจ้ากบิลยักขราช



     โดยพระเจ้ากบิลยักขราชทรงพิศวงยิ่งนัก เลยต้องตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร และสุวรรณสามตอบพระราชาว่า "บุคคลใด เลี้ยงมารดาและบิดาโดยธรรม แม้เทวดาและมนุษย์ย่อมสรรเสริญผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้น บุคคลใดเลี้ยงมารดาและบิดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์"


     และเมื่อพระเจ้ากบิลยักขราชนั้นได้ยิน จึงตรัสปฏิญญาณว่าจะประพฤติตนอยู่ในความดีแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษสุวรรรณสามดาบส แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติบิดา มารดา บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ร่วมกับบิดา มารดา ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมา



     ท่านผู้อ่านบางท่านคงจะรู้ตำนานดังกล่าวดี ว่าสุวรรณสามนั้นเป็น "ยอดกตัญญู" โดยตำนานดังกล่าว มาจาก "สุวรรณสามชาดก" ซึ่งเป็นชีวประวัติเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก กล่าวถึงพระชาติของพระโคตมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นสุวรรรณสามดาบส ในการบำเพ็ญเมตตาบารมี โดยสุวรรรณสามดาบสต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด วันหนึ่งพระเจ้ากบิลยักขราชแผลงศรมาถูกได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส แต่ก็ไม่ได้โกรธ กลับแสดงเมตตาจิตต่อ และเทศนาทศพิธราชธรรมให้กบิลยักษ์ฟัง ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรมทำให้พระสุวรรณสามหายเจ็บปวดรอดชีวิตมาได้ และบิดามารดาก็กลับมีจักษุดี



     สุวรรณสามชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกขุททนิกายชาดก และอรรถกถา ซึ่งพระโคตมพุทธเจ้าตรัสเรื่องสุวรรณสามขณะประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้ออุทยานพระกุมารพระนามว่าเชตสร้างถวาย



     พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้บิณฑบาตเลี้ยงบิดามารดา เพื่อจะยกย่องพระภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยสิ่งของที่ชาวบ้านถวายว่าเป็นพระภิกษุยอดกตัญญู ให้เป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุทั้งปวง



     พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ดังที่ว่ามานั้น แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย"



     ตรัสดังนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจ 4 เพื่อประชุมชาดก เมื่อแสดงเทศนาว่าด้วยอริยสัจ 4 จบ พระภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติผล


     (หมายเหตุ: สำนวนภาษาไทยอันว่าด้วยสุวรรณสามนี้ ยกมาจากเว็บไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/สุวรรณสามชาดก โดยได้อ้างอิงมาจากแหล่งดั้งเดิมคือ สุวรรณสามชาดก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒ ซึ่งผู้เขียนต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้)


      ส่วนสังคมจีนนั้นชัดเจนว่า ขงจื้อและผู้นำทุกยุคทุกสมัย ได้วางเอา "ความกตัญญ" ไว้เป็นสายใยสำคัญของสังคมเศรษฐกิจจีนอย่างเหนียวแน่น ผ่านวัฒนธรรม การศึกษา คำสอนทางศาสนา และ Social Networks มาแต่เก่าก่อน


     
องค์กรตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ล้วนมี "ความกตัญญู" เป็นสายใยสำคัญ

อย่าลืมว่าสังคมจีนนั้น มีประชากรจำนวนมากมาแต่โบราณ และคิดระบบราชการมาก่อนใครเพื่อน

ระบบราชการของจีนใช้วิธีคัดเลือกเอาคนเก่งทั้งประเทศมาเข้าสนามสอบในส่วนกลางทุกปี แล้วอบรมให้การศึกษาในเรื่องการจัดการและบริหารระดับสูง ตลอดจนจริยธรรมแบบขงจื้อเพิ่มเติม เพื่อส่งไปปกครองยังเขตแคว้นต่างๆ ในจักรวรรดิ

     การใช้ความกตัญญูเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปกครอง เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจของส่วนกลาง และช่วยให้การปกครองแบบรวบอำนาจจากส่วนกลางราบรื่นขึ้น


     เมื่อผู้คนยึดมั่นเอาความกตัญญูเป็นสรณะ สมาชิกของครอบครัว ชุมชน และสังคม ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ย่อมไม่เป็นภาระของส่วนกลาง


     เมื่อลูกๆ ยังเล็ก พ่อแม่ก็รับภาระดูแลลูก และเมื่อพ่อแม่แก่เฒ่า ลูกๆ ก็กลับมารับภาระดูแลพ่อแม่

เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า

     จึงไม่เป็นภาระของส่วนกลาง ซึ่งถ้าพูดเป็นภาษาสมัยใหม่ ก็คือไม่เป็นภาระทางการคลังของรัฐ เพราะค่าใช้จ่ายในเชิง Social Welfare ไม่จำเป็นต้องมากนัก (เพราะแต่ละครอบครัวหรือชุมชน ช่วยกัน Absorb ไว้เองแล้ว)


     ต่อเมื่อเรารับเอาวัฒนธรรมฝรั่งและการบริหารจัดการสมัยใหม่ของฝรั่งมายึดเป็นสรณะใหม่ นั่นแหล่ะ Social Welfare จึงมีความสำคัญขึ้นมาอย่างมาก


     นโยบาย Social Welfare แบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปรัซเซียในสมัย Biscmark และต่อมาเมื่อรวมเยอรมันแล้ว ก็นำไปใช้ทั่วประเทศ โดยต่อมาประเทศสำคัญๆ อื่น ก็เอาอย่างไปใช้บ้าง

นับแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ Social Welfare เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และล้วนเป็นภาระของประเทศมหาอำนาจกันถ้วนหน้า (ในสหรัฐฯ เดี๋ยวนี้ เรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า "Entitlement")

     และในบรรดา Social Welfare ที่สำคัญที่สุดในสมัยนี้คืออันที่เกี่ยวกับ "การรักษาพยาบาล"

อย่างในสหรัฐฯ นั้น ค่าใช้จ่ายในเชิงการรักษาพยาบาล นับเป็นภาระทางการคลังมากที่สุด (ประธานาธิบดีทรัมป์ปาวารณาตอนหาเสียงว่าจะยกเลิก Obamacare เพราะเป็นภาระมาก และอาจจะทำให้รัฐบาลถังแตกในอนาคต ทว่าวุฒิสมาชิกเพิ่งตีตกไป)

     การเน้น "ความกตัญญู" จึงช่วยแก้ปัญหานี้ได้


     ดังนั้น การออกแบบนโยบายที่เกี่ยวกับสังคมสูงอายุของเรานับแต่นี้ไป ต้องให้ความสำคัญกับคุณธรรมข้อนี้ เพราะถ้าเราเน้นการเดินตามฝรั่ง สุดท้ายก็จะเกิดปัญหาใหญ่แบบที่ฝรั่งกำลังเผชิญอยู่


ONLINE HEALTHCARE


     การวางนโยบายสาธารณสุข โดยเน้นความกตัญญู ดังกล่าวมานั้น สอดคล้องกับเทรนด์ของเทคโนโลยีและแนวทางการปรับตัวของอุตสาหกรรม Healthcare ที่กำลังเกิดขึ้น และจะเติบโตไปอย่างก้าวกระโดดตามแนวนั้น ในสังคมสมัยใหม่ที่เจริญแล้ว

     คนรุ่นผม น่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ ในบริบทที่ Online Healthcare เริ่มจะสุกงอม

บริการรักษาพยาบาลที่ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่าง Doctor On Demand, Online Consultations, Intergrated OnlineCare, Remote ICU, ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่อย่าง Wearable Devices, Deep Medic, หรือ Full Robocob-Style Surgery เมื่อบวกกับอุปกรณ์สื่อสารสมัยใหม่ทั้งปวง และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ตลอดจน Data Science และซอฟท์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถจัดเก็บและประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ตลอดจนคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ นั้น จะทำอุตสาหกรรม Healthcare เปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และจะส่งผลให้พฤติกรรมการรักษาพยาบาลและการหาหมอของคนในสังคม เปล่ียนไปด้วย

     การรักษาพยาบาลในอนาคต จะกลับไปเป็นเหมือนยุคโบราณ คือเทคโนโลยีสมัยใหม่จะพลิกสถานการณ์ให้หมอและการรักษาพยาบาลมาหาคนไข้ถึงบ้าน


     คนไข้สามารถเข้าถึงหมอผ่านอุปกรณ์สื่อสารพกพา และหมอ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญ จะให้คำปรึกษาผ่านจอ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คนไข้ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล (ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน หรือกรณีที่ต้องผ่าตัดใหญ่ อาศัยเครื่องไม้เครื่องมือราคาแพง หรือบริการเฉพาะทางที่ซับซ้อน เช่น คีโมเทอราปี เป็นต้น) และโรงพยาบาลจะลดฟังชั่นลง เป็นศูนย์รวมของหมอ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญ ทุกด้าน คอยดูแลรักษาวิเคราะห์และเฝ้าติดตามข้อมูลและอาการของลูกค้าอยู่ในศูนย์บัญชาการ โดยจะรับรู้ข้อมูลทุกด้านของคนไข้ (เช่นชีพจร ระดับอ็อกซิเจนในเลือด ระดับน้ำตาล ความดัน ฯลฯ) และสั่งการไปยังคลีนิคเครือข่ายปลายทางหรือบ้านคนไข้ผ่านเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกๆ วัน ไม่มีวันหยุด

อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์จะผนวกเข้ากับฟังชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก กลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยหมอจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและซอกซอนเข้าไปในซอกเล็กซอยน้อยได้ อีกทั้ง Deep Medic จะมีบทบาทในการวิเคราะห์หาสมุฎฐานของโรค โดยอ้างอิงกับดาตาเบสของงานวิจัยระดับโลกที่เคยมีมาในอดีตทั้งหมด หรือแม้กระทั่งสามารถวิเคราะห์สมุฎฐานโรคเบื้องต้นได้จากการมองหน้าผู้ป่วย ด้วยเทคโนโลยี Face Recognition เป็นต้น

     สถานพยาบาลในอนาคต จะคำนึงถึงสภาพแวดล้อมมากขึ้น เพราะเชื่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า สภาพแวดล้อมที่ดีจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ดังนั้น การตกแต่งให้เกิดความสงบ เงียบ และก่อให้เกิดความสงบใจและจรรโลงใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยโรงพยาบาลบางแห่งในยุโรปขณะนี้ ถึงกับลงทุนซื้องานศิลปะมาจัดวางเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสำหรับคนไข้เลยก็มี


     เทรนด์อันนี้ จึงสอดคล้องและเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของ "ความกตัญญู" เพราะเมื่อการรักษาพยาบาลเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่บ้าน ก็หมายความว่า ลูกหลานและสมาชิกในครอบครัว ต้องคอยดูแลซึ่งกันและกันเวลาสมาชิกคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วย หากเปี่ยมด้วยความกตัญญูเสียแล้ว ทุกอย่างก็จะออกมาจากใจ สภาพแวดล้อมของผู้ป่วยก็จะดีด้วย


     ที่สำคัญระบบการรักษาพยาบาลภายในบ้าน ก็ต้องพร้อมรองรับกับเทรนด์การรักษาพยาบาลและเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย


     แนวคิดเรื่อง "หมอประจำบ้าน" (Family Med) และ "Self-Healing" จึงจำเป็นอย่างมากในอนาคต

คนรุ่นใหม่ต้องสอนตัวเองในประเด็นเหล่านี้

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
31 กรกฎาคม 2560
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในฐานะบทบรรณาธิการ นิตยสาร MBA ฉบับเดือน ก.ค.60

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

เอาชนะสงครามยาเสพติดด้วยหลักเศรษฐกิจ





ข่าวดาราพัวพันกับยาเสพติด เตือนใจและย้ำให้เห็นความจริงที่ว่า ทุกวันนี้ยาเสพติดระบาดหนักกว่าเดิมมากขึ้นทุกที

ลองเปิดดูรายการข่าว ตามช่องทีวีดิจิตัลทุกวันนี้ ต้องเห็นข่าวเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างน้อย 1 ข่าวต่อวัน

บางวันมีตั้งหลายข่าว เช้าข่าวนึง เย็นอีกข่าวนึง

เห็นแล้ว ทำให้อยากค้นคว้าข้อมูลเชิงสถิติ ขึ้นมาดู

ปรากฏว่า ตามรายงานของหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) นั้น พบว่า ปีหนึ่งๆ มีสถิติการจับกุม เป็นแสนๆ ราย บางปีก็เกินสองแสนราย

แบ่งชนิดใหญ่ๆ ได้เป็น ยาบ้า มากที่สุด (ประมาณร้อยละแปดสิบของทั้งหมด) รองลงมาเป็น ยาไอซ์ เฮโรอีน เอ็กตาซี กัญชาแห้ง กัญชาสด คีตามีน โคเคน และพืชกระท่อม

คิดตามตัวเลขนี้ ถ้าทีวีต้องตามรายงานข่าวการจับกุมทุกครั้ง ก็เป็นอันว่า เราไม่ต้องได้ดูข่าวอื่นกันแล้ว เพราะมันจะเต็บไปด้วยข่าวการจับกุมยาเสพติด ทั้งวันทั้งคืน

เมื่อลอง บวกๆ ตัวเลขงบประมาณเกี่ยวกับการปราบปรามและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดดู ผมบวกของปีล่าสุดได้กว่า 20,000 ล้านบาท

นี่เฉพาะของประเทศไทย !

ถ้ารวมทั้งโลกคงหลายแสนล้าน หรืออาจจะถึงล้านล้าน ต่อปี

ไม่นับว่าต้องใช้เจ้าหน้าที่และสายสืบจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด

สิ้นเปลืองไม่น้อย

แต่ผลที่ได้ กลับสวนทางกับงบประมาณและทรัพยากรที่ใช้ เพราะนับวัน ยาเสพติดจะเพิ่มขึ้นและขี้ยาก็เพิ่มขึ้นด้วย

ในรอบ 40 ปีมานี้ คนติดยาเสพติดเพิ่มขึ้นหลายพันเปอร์เซนต์

ทั้งๆ ที่คนมีการศึกษาแยะขึ้น รู้ดีรู้ชั่วว่าการใช้ยาเสพติดในปริมาณมากๆ นั้น มันอันตราย ถึงตายได้ในเวลาอันสั้น และโทษทัณฑ์ตามกฎหมายก็แรงมากด้วย ถึงขั้นประหารชีวิต

ที่สถานการณ์มันใหญ่โตเลวร้ายมาถึงเพียงนี้ มันก็เป็นไปตามกฏของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกฏธรรมชาติของสังคมชนิดหนึ่ง

กฎธรรมชาตินั้น มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ตรงกันทุกกฏ คือหากเราฝืนมันแล้ว จะไม่เป็นผลดี

กฏของเศรษฐกิจง่ายๆ คือ ถ้าของสิ่งหนึ่ง มีคนต้องการมาก แต่จำนวนของมีขายเท่าเดิม ราคาของสิ่งนั้นย่อมต้องแพงขึ้นเป็นธรรมดา

ถ้าของสิ่งนั้นถูกทำให้แพงขึ้น โดยการแทรกแซงบังคับของรัฐบาล แทนที่มันจะมีคนซื้อน้อยลง และหายจากตลาดไปในที่สุด มันกลับแพร่หลายยิ่งขึ้น

เพราะเมื่อของชนิดนั้นแพงขึ้น คนค้าคนขายของประเภทนั้นก็จะได้กำไรมากขึ้น ทำให้ร่ำรวยขึ้น

ทีนี้ พอคนอื่นเห็นเข้า ก็เกิดอยากรวยบ้าง จึงหันมาค้าขายของชนิดนั้นกันมากขึ้น

เมื่อมีผู้ขายแยะขึ้นๆ มันก็ต้องแข่งขันกัน เพื่อจะหาลูกค้า ขยายตลาดออกไป ทำให้คนซื้อเพิ่มขึ้นไปด้วย

ผู้ผลิตที่เห็นช่อง ก็ยิ่งต้องเร่งสร้างโรงงานเพิ่ม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต แล้วส่งเข้ามาขายในตลาดเพิ่มขึ้นไปอีก

แต่พอราคาของมันกำลังจะลดลง ผกผันตามปริมาณการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลของทั้งโลก ก็เร่งปราบปรามมันหนักข้อขึ้นไปอีก ก็เลยยิ่งทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม แทนที่ราคาของมันจะลดลง

นี่เป็นกฏทางเศรษฐกิจ ที่สามารถนำมาอธิบายปรากฏการณ์ การระบาดของยาเสพติดและจำนวนของขี้ยาในปัจจุบันได้แบบง่ายๆ

คือเมื่อบ้านเมืองเข้ามาควบคุมและปราบปราม ทั้งตรากฎหมายให้การซื้อขายและการเสพ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ประกอบกับการปราบปรามจับกุมอย่างหนัก ย่อมทำให้ราคาของยาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น เป็นเงาตามตัว

ยิ่งควบคุมและปราบปรามหนักข้อขึ้นเท่าไหร่ ราคาของมันยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น

ยิ่งราคาของมันแพงขึ้น ธุรกิจนี้ยิ่งเย้ายวน ดึงดูดพวกพ่อค้าให้หันมาประกอบธุรกิจนี้มากขึ้น 

เราจึงมีพ่อค้ายาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

จับคนเก่าได้ คนใหม่ก็เข้ามาแทนและเข้ามาเพิ่ม

แม้แต่คนเสพ พอเห็นช่องได้เงินเยอะ ก็กลายเป็นคนขายได้ง่ายๆ

แม้กระทั่งพวกนักเลงปากซอยที่เคยเป็นลูกจ๊อก ลักเล็กขโมยน้อย แต่พอได้เข้ามาจับงานนี้ และมีความสามารถในการค้าขาย ก็สามารถกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในเวลาไม่นานนัก

เราจึงได้เห็นเศรษฐีใหม่ ประเภทไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า จำนวนมากในวงการนี้

ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจกฏของเศรษฐกิจข้อนี้ เราก็ควรแก้ปัญหายาเสพติด โดยใช้หลักการของกฎธรรมชาติของสังคมข้อนี้ เช่นเดียวกัน

เป็นการหนามยอกเอาหนามบ่ง

ทำได้ง่ายๆ โดยการยกเลิกกฎหมายเหล่านั้นเสีย ราคาของยาเสพติด ก็จะต้องลดลง เพราะรัฐบาลเลิกแทรกแซงราคา

แล้วต่อไป ราคาของมันก็จะปรับตัวไปตามกฎของธรรมชาติทางเศรษฐกิจ คือตามความต้องการและตามปริมาณการผลิต

อีกทั้ง งบประมาณที่ต้องใช้ในการปราบปราม ก็จะใช้น้อยลง

แล้วเราค่อยนำงบเหล่านั้นมาให้ความรู้กับคน เพื่อลดความต้องการลง หรือจูงใจให้คนเสพน้อยลง (เรื่องแบบนี้สำเร็จมาแล้วกับกรณีของบุหรี่)

ทีนี้ พอราคายาเสพติดมันลดลงเหลือเม็ดละไม่กี่บาท อาจขายกันเท่ากับยาแอสไพริน พ่อค้าและผู้ผลิต มันก็จะหมดแรงจูงใจไปเอง เพราะกำไรมันจะลดลง บางรายอาจเลิกผลิตไปเลย เพื่อไปผลิตยาชนิดอื่นที่ได้ราคาแทน

เหมือนกับโทรศัพท์บ้านนั่นแหละ ที่ครั้งหนึ่งคนต้องเข้าคิวรอกันเป็นปีๆ ราคาก็แพง จนมีธุรกิจยักษ์ใหญ่ทางโทรคมนาคมหลายรายแย่งประมูลสัมปทานกัน

จะเป็นจะตายก็ต้องให้ได้ จะสามล้านหรือสี่ล้านเลขหมาย ต้องทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลก็ยอม

แต่พอราคาโทรศัพท์มันลดลง และมี Smart Phone มาแทนที่ ผู้ผลิตเหล่านั้นก็เลิกลงทุนบ้าง เลิกกิจการไปบ้าง หันมาลงทุนในโครงข่ายไร้สายแทนบ้าง

อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนย่อมรักชีวิตตน และมีสิทธิที่จะทำอะไรกับชีวิตตนก็ได้ ตราบใดที่การกระทำนั้นๆ ไม่ไปเบียบเบียนคนอื่น

ดังนั้น ถ้าใครจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ตัวเองตื่นเต้นบ้างเป็นครั้งคราว มันก็เรื่องของเขา ถ้าเขาอยากเสี่ยง เขาก็ต้องรับผลแห่งความเสี่ยงนั้น

และในเมื่อมนุษย์รักชีวิตตน เขาก็ควรรับผิดชอบตัวเองในเรื่องการใช้ยา ไม่ใช้ยาเยอะเกินปริมาณที่จะเป็นพิษต่อร่างกาย

ถ้าจะพูดให้ถึงที่สุดแล้ว ยาเสพติดบางชนิด ก็เหมือนกับหลายสิ่งที่มนุษย์บริโภคอยู่ในชีวิตประจำวัน

ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล ยา ไขมัน เกลือ แอลกอฮอล์ อาหาร เซ็กส์ การพนัน การนอน หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย

ถ้าคนเราบริโภคมันมากเกินไป ย่อมไม่เป็นผลดี

นอนมาก มีเซ็กส์มาก กินน้ำตาลมาก กินยามาก กินไขมันมาก กินเกลือมาก กินอาหารมาก หรือแม้กระทั่งออกกำลังกายมากเกินไป ย่อมเป็นผลร้ายต่อร่างกายทั้งสิ้น

ยาเสพติดก็เช่นเดียวกัน




ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
20 ตุลาคม 2560

หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก www.manager.co.th ผู้เขียนขอขอบคุณเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ด้วย

ฟ้าผ่า UBER เหยื่อ! ของความหวังดี




เรื่องที่เกิดขึ้นกับ UBER ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว

Travis Kalanick ผู้ประกอบการซึ่งเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งยวด มหาเศรษฐีผู้สร้าง UBER มากับมือ จนเขย่าวงการธุรกิจโลกอยู่ในขณะนี้ ถูกกดดันให้จำต้องวางมือจากการบริหารกิจการของตัวเอง

เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงสมัยเมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่ Steve Jobs ถูกไล่หรือปลดออกจากตำแหน่งบริหารของ Apple Computer ซึ่งเขาสร้างมากับมือ เช่นเดียวกัน

ผมจำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพิ่งกลับมาจาก Kellogg ได้ไม่นาน มาสอนวิชา Strategic Management และได้นำเอาวีดีโอเทป เรื่อง "In Search Of Excellence” ของ Tom Peters และ Robert Waterman มาเปิดให้ดูกัน เพื่อประกอบการบรรยาย

สมัยโน้น หนังสือเล่มที่ชื่อเดียวกันนี้ขายดีมาก นับเป็น Breakthrough ของวงการหนังสือธุรกิจและการจัดการ จนส่งผลให้ Tom Peters กลายมาเป็น Management Guru ชั้นแนวหน้าของโลกคนหนึ่ง

Apple เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของ In Search of Excellence

ผมยังจำได้แม่นยำว่าอาจารย์สมคิดได้ชี้ให้เห็นจุดแตกต่างของ Apple ที่ไม่เหมือนกิจการชั้นแนวหน้าของโลกสมัยนั้น คือวัฒนธรรมองค์กรที่แสดงออกมาให้หนังสารดีสั้น ซึ่งมีการถ่ายทำให้เห็นบรรยากาศการทำงาน การประชุม และสัมภาษณ์พนักงานและผู้บริหารนั้น ว่ามันมีความเป็น "จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋" (ภาษาของแกสมัยโน้น) "ดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำกิจกรรมกันสมัยเรียน"

เพราะพนักงานและผู้บริหารของ Apple ล้วนเป็นคนหนุ่มสาว ได้รับการศึกษามาดี จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ พูดจาด้วยความฉะฉาน มั่นใจในตัวเองสูง ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างโน่นนี่นั่น แต่ไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ทั้งการแต่งตัวและวิถีปฏิบัติหรือขั้นตอนในการบริหารและการดำเนินธุรกิจ

สมัยนั้น สมัยที่นักธุรกิจยังต้องผมสั้นและผูกเน็กไทใส่สูทสวมรองเท้าหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารยังต้องแต่งตัวเนี้ยบและหวีผมเรียบแปร้ และแบบแผนการจัดการในองค์กรยังให้ความสำคัญกับสายการบังคับบัญชา ระบบอาวุโส และธรรมเนียมธุรกิจ เรื่องแบบนี้ยังถือเป็นเรื่องที่ยัง Unconventional อยู่มาก

ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนสมัยนี้ เพราะวัฒนธรรมองค์กรแบบนั้นแหล่ะ ที่ต่อมาโลกได้รับรู้คุ้นเคยกับมันในนามของ "วัฒนธรรมแบบ Silicon Valley” หรือแบบ "Nerd" ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของบรรดา Dot-com” ในยุค 90s และ Start-ups” ทั้งหลายในปัจจุบัน

วัฒนธรรมแบบนี้ ตอนหลังเมื่อองค์กรขยายตัวขึ้น และต้องข้องเกี่ยวกับ Stakeholders หลากหลายกลุ่มยิ่งขึ้น ร้อยพ่อพันธุ์แม่มิใช่ Core Group ที่คุ้นเคยกันเหมือนเดิม เพราะกลายมาเป็นกิจการมหาชนที่มีหุ้นจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และบรรดาผู้ก่อตั้งและพนักงานรุ่นบุกเบิกล้วนกลายเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองว่าถูกว่าดี.... ทำให้เกิดปัญหาจุกจิกยุ่งยากในเชิงการบริหารจัดการ ที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการเกี่ยวข้องอีกต่อไป จนต้องนำ Professional Managers จากข้างนอกเข้ามา แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับบรรดา Professional Managers เหล่านั้นในที่สุด

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Steve Jobs ถูก John Sculley ซึ่งตนเป็นคนจ้างเข้ามาแท้ๆ ปลดออก

เพราะถ้า Steve Jobs ยังมีบทบาทนำอยู่ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋" นั้น (ส่วนใหญ่เป็น "จิ๊กโก๋" เพราะ “Nerd หญิง" ยังมีจำนวนน้อยมาก) มันก็จะยังโดดเด่นอยู่ และทำให้องค์กรเกิดความขัดแย้งเสียดสีอยู่อย่างนั้น เพราะตัว Steve Jobs เอง เป็นคนแบบนั้น จึงสร้างและสนับสนุน (จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม) กลุ่มคนแบบเดียวกันขึ้นมาแวดล้อมเขา ทำให้ Professional Manager บริหารงานยาก และถึงแม้ว่าวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้จะเป็นคุณในระยะแรก ทว่า เมื่อองค์กรเติบโตขึ้นแล้ว บรรดานักบริหารและคณะกรรมการตลอดจนผู้ถือหุ้น คิดว่าต้องปรับให้เข้ารูปเข้ารอยเสียจะดีกว่า ฯลฯ (สมัยโน้น ยังไม่มีคำว่า "Bro-Culture” เหมือนสมัยนี้)

พูดแบบสมัยนี้ก็คือ Steve Jobs โดนข้อหาว่านิยมหรือเป็นตัวการที่สร้าง "Bro-Culture” ขึ้นในองค์กร และอันที่จริง สมัยโน้นเขาก็ออกจะมองผู้หญิงไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ และชอบพูดคำสบถต่อหน้าพวกเธอเสมอ จึงเป็นไปได้ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้เขาอาจโดนข้อหา "Discrimination” หรือ "Noninclusive” เพิ่มอีกกระทงหนึ่ง

ดีที่ว่าสมัยโน้น ยังไม่มีวลี "Political Correctness” เกิดขึ้น หรือมันอาจจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้คนยังไม่ให้ค่ากับมันมากมายถึงขนาดปัจจุบัน

นับว่าต่างกับกรณีของ Kalanick แห่ง UBER

เพราะเขาต้องยอมปลดตัวเอง (จากการกดดันของผู้ถือหุ้น) ด้วยข้อหาว่าไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร กับข้อเรียกร้องของพนักงานอันเกี่ยวข้องด้วยเรื่อง การคุกคามทางเพศ ตลอดจนการใช้คำพูดและการกระทำที่ส่อไปในเชิงหมิ่นแคลนกันในที่ทำงาน อันแสดงเป็นนัยยะว่า UBER ภายใต้การบริหารของเขา ยังมีบรรยากาศของการเลือกปฏิบัติ แสดงออกหลายครั้งด้วยกริยาหรือวาจาประเภทที่ชวนให้รู้สึกว่าถูกหมิ่นแคลนระหว่างเพศ (เช่นเพศชายต่อเพศหญิง หรือต่อเพศอื่น) และระหว่างคนกลุ่มใหญ่ต่อคนกลุ่มน้อย (ระหว่างคนที่ยึดถือวัฒนธรรมต่างกัน เช่นคนที่นับถือศานาคริสต์ ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของกิจการ ต่อคนที่นับถือศาสนาอื่น หรือคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด ต่อคนที่พูดภาษาอื่นเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด หรือคนอเมริกัน ต่อคนเชื้อชาติอื่น เป็นต้น)

คนที่สนใจรายละเอียดเรื่องนี้ ผมแนะนำให้อ่าน "Covington Recommendations” ซึ่งเป็นรายงานที่ผู้สืบสวนเรื่องนี้เสนอความเห็นให้ต่อคณะกรรมการของ UBER ซึ่งเป็นที่มาของแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่มีต่อตัว Kalanick

รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้เราเห็นความสำคัญของ Political Correctness ที่มีและจะมีต่อแวดวงธุรกิจนับแต่นี้

ธุรกิจจะละเลยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไป

นับแต่นี้ ศาสตร์การจัดการจะต้องบรรจุเรื่องทำนองนี้เข้าไปในหลักสูตร และกิจการธุรกิจจะต้องสร้างโครงสร้างและ Function งานมารองรับคอนเซปท์งานทางด้านนี้โดยตรง เช่นเดียวกับ Good Governance หรือ Business Ethic หรือ CSR ทว่า ต้องเข้มข้นกว่าหลายเท่าตัว (เปรียบไปก็คงจะต้องเหมือนกับที่รัฐบาลพม่าต้องมี "กระทรวงชาติพันธุ์" อยู่ในโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินด้วย นั่นแหล่ะ)

เอาเป็นว่า ผมจะขอยกประเด็นนี้ไว้ก่อน เพราะ นิตยสาร MBA ของเรา คงจะได้เขียนวิเคราะห์ประเด็นนี้กับการจัดการสมัยใหม่ อย่างละเอียดลึกซึ้ง ในเร็วๆ นี้

ตอนนี้ ผมเพียงแต่ติดใจเรื่องนี้อยู่บางประเด็น และต้องการจะแชร์ให้ผู้อ่านได้รู้ด้วย

คือคนที่ต้องลาออกจากตำแหน่งบริหารสำคัญของ UBER นอกจาก Kalanick แล้ว ยังมี David Bonderman อภิมหาเศรษฐีของโลกอีกคนหนึ่ง ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทด้วย

กิจการ Private Equity ของเขาร่วมลงทุนใน Start-Ups ระดับโลกและในเอเชียจำนวนไม่น้อย

เหตุผลคือ Bonderman ดันไปพูดขึ้นในการประชุมบอร์ด ขณะกำลังประชุมพิจารณากันในประเด็นนี้ว่า "Actually, what it shows is that it's much more likely to be more talking,”

เรื่องของเรื่องคือแกเพียงแต่แหย่กรรมการหญิงอีกคนด้วยประโยค (ที่แกคิดว่า) ตลกๆ นั้น ระหว่างที่กรรมการหญิงคนหนึ่ง (คือ Ariana Huffington ผู้ก่อตั้ง Huffington Post) ออกความเห็นไปว่า การที่ UBER ตั้งผู้หญิงมาเป็นกรรมการแล้วคนหนึ่ง (หมายถึงตัวเธอเอง) ย่อมมีแนวโน้มว่าจะมีคนอื่นตามมา (คือโอกาสที่จะตั้งกรรมการหญิงเพิ่มขึ้น) ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริษัทมีความหลากหลายยิ่งขึ้น

แล้วเทปลับที่บันทึกการประชุมครั้งนั้นก็หลุดรอดมาถึงมือสื่อมวลชน (คือ Yahoo Finance)

แหล่งข่าวจากผู้ที่ได้ฟังเทปลับในการประชุมครั้งนั้น อ้างคำพูดของ Huffington ที่พูดว่า "There's a lot of data that shows when there's one woman on a board, it's much more likely that there will be a second woman on the board."

แล้ว Borderman ก็พูดประโยคที่เป็นปัญหานั้นขึ้น

ความหมายของ Borderman คือเขาโจ๊กเป็นนัยๆ ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ "พูดแยะ"

เท่านั้นแหล่ะ เมื่อข่าวนี้แพร่ไป (ในสถานการณ์ที่ UBER กำลังเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอยู่) ทำให้ผู้คนในแวดวงเทคโนโลยีไม่พอใจกันมาก แล้วก็ขยายตัวไปในแวดวงอื่น เช่น สื่อมวลชน การเมือง และสิทธิมนุษยชน

ทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออก โดยเขียนอีเมล์ตอนหนึ่งว่า “I want to apologize to my fellow board members for a disrespectful comment,”

ในฐานะสื่อมวลชนและคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง ผมก็เคยได้รับคำติเตียนในทำนองนี้มาแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบหลายปีหลังมานี้

ขนาดว่าผมเอง เป็นคนระมัดระวังเรื่องการใช้ถ้อยคำอยู่แล้ว ผมไม่เคยใช้คำไม่สุภาพกับใคร แม้แต่นักการเมืองหรือนักธุรกิจที่ทำตัวน่ารังเกียจ ผมยังไม่เคยเขียนด่าด้วยคำที่คิดว่า มันจะเข้าข่าย "เหยียด" หรือ Discriminate” มาก่อนเลย

อย่าว่าแต่เรื่องชนกลุ่มน้อย ผู้ด้อยโอกาส คนจน หรือที่เกี่ยวกับเพศสภาพของกลุ่มต่างๆ ผมก็ไม่เคยเขียนถึงด้วยถ้อยคำที่ทำให้ "เคือง" หรือ "ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" เลย (ยกเว้นว่าสมัยเด็กๆ เคยล้อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีนิ้วมือจำนวน 11 นิ้วว่า "ไอ้หน่อ" และอีกคนที่ผิวดำว่า "นิโกร" แต่พอโตขึ้นก็เลิก)

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ผมจำได้แม่น คือในขณะที่ผมพูดเรื่องหมาแมวอยู่ในกลุ่มเพื่อน ก็ได้รับคำตำหนิจากเพื่อนคนหนึ่ง ว่าผมไม่ควรใช้คำว่า "มัน" หรือ "ไอ้ อี" กับบรรดาหมาแมวเหล่านั้น

เธอน่าจะใช้คำว่า 'น้อง' หรือ 'เค้า' หรือ 'นาง' ก็ยังดี" เธอพูดแบบไม่ติดตลก

ตั้งแต่นั้น ผมกับลูกๆ จึงหันมาเรียกชื่อแมวตัวเองว่า "ไอ้คุณชิโก้" (แมวผมชื่อชิโก้ เป็นตัวผู้)
ว่ากันว่า Political Correctness เกินพอดีไปมากในอเมริกา

เช่น แวดวงวรรณกรรมมีปัญหากับนักเขียนผิวขาวผู้ชายที่เขียนนิยายเกี่ยวกับผู้หญิงผิวดำ แวดวงบริหารจัดการก็มีความพยายามจะเลิกใช้คำว่า "Human Resource” และ "Manpower” เพราะถือว่ามนุษย์ไม่ควรถูกลดศักดิ์ศรีให้เหลือเพียงแค่เป็น "ทรัพยากร" และมนุษย์ผู้มีคุณค่าก็มิได้มีเพียงแค่เพศเดียว ฯลฯ 

วงการพระศาสนา ก็เลี่ยงที่จะใช้คำว่า "Man” และ "He” โดยหันไปใช้ "He or She” แทน แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า "They” เพราะมีบางกลุ่มวิจารณ์ว่า "He or She” มันฟังแล้วเหมือนเป็นการบังคับให้คนเลือกเพศได้เพียง 2 เพศเท่านั้น (Gender Binary) โดยไม่คำนึงถึงคนที่ถือตัวเองว่าไม่ได้สังกัดอยู่ใน 2 เพศนี้ เช่น พวก Transgender, Genderqueer, Gender Non-conforming, หรือ Intersex เป็นต้น

อ่านถึงตอนนี้แล้ว ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านรู้สึกอะไรหรือไม่

อันที่จริง การที่ผู้หญิงจะพูดมากหรือพูดน้อยกว่าผู้ชาย มันก็มิได้เป็นเรื่องที่ดีหรือเลว หรือมิได้เป็นอาชญากรรม

ออกจะเป็นเรื่องน่ารักเสียด้วยซ้ำ ที่มีผู้หญิงมาพูดๆ กันให้เราได้ยิน เพราะผู้หญิงก็เป็นกลุ่มที่ชอบสังคมและชอบเม้าท์มอยเจ๊าะแจ๊ะกันมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ในความเห็นผม

การที่ UBER จะมีกรรมการเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้น แล้วกรรมการคนใหม่นั้นจะบังเอิญเป็นคนพูดมาก มันก็อาจจะดีต่อองค์กรก็ได้

หรือมันอาจจะทำให้องค์กรแย่งลง?

ไม่มีใครรู้

การที่เกิดกระแสสังคมกดดันจนทำให้เกิดการกดดันของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูง จนกรรมการบริษัทต้องลาออกเพราะเรื่องแค่นี้ มันเป็นอะไรที่บ่งบอกว่า แวดวงธุรกิจการจัดการของอเมริกัน ได้เกิดมาตรฐานและค่านิยมใหม่บางอย่างขึ้น

มาตรฐานและค่านิยมใหม่นี้ หากเกินเลยไป ย่อมเป็นเรื่องที่จะต้องเพิ่มต้นทุนในการบริหารให้กับสังคม และอาจจะเหนี่ยวรั้ง Competitive Advantage ของอเมริกาเอง เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันอย่างจีน ซึ่งยังไม่ต้องพะว้าพะวงกับเรื่องเหล่านี้

แต่มันอาจจะมีข้อดีก็ได้....ต้อง Observe กันต่อไป

พบกันใหม่ฉบับหน้า


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

25 มิถุนายน 2560