วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องกินเรื่องใหญ่ (ว่าด้วย Slow Food)



คนรุ่นใหม่สมัยนี้ ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่

ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะกิน แต่เพราะจะกินอะไรเข้าไปแต่ละคำ ต้องมีเรื่องให้ครุ่นคิดกันมาก

นอกจากต้องระวังเรื่องสุขภาพ ถึงกับบางคนต้องพกตารางคำนวนแคลรอรี่ด้วยแล้ว หลายคนยังเกรงว่าการกินการดื่มของตนแต่ละมื้อนั้น จะไปเบียดเบียนธรรมชาติ เป็นการไปซ้ำเติมภาวะโลกร้อนให้หนักหนาขึ้นไปอีก

จะกินเนื้อวัว หรือผลิตภัณฑ์จากวัว เช่น ชีส เนย นม ก็กลัวจะไปซ้ำเติมภาวะเรือนกระจกเข้าให้อีก เพราะวัวมันต้องปล่อยก๊าซมีเทนออกมาจากกระเพาะเรื่อยๆ เมื่อมันเคี้ยวเอื้อง (ปล่อยออกทั้งข้างหน้าและข้างหลัง)

ไหนจะต้องถางป่าเพื่อเอาที่ดินไปปลูกหญ้าให้มันกินอีกละ

ดังนั้น ถ้าทุกคนหันมากินก๊วยเตี๋ยวเนื้อหรือสเต๊กกันมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น ชั้นบรรยากาศของโลกจะมิแย่ลงไปกว่านี้เหรอ เพราะปัจจุบันจำนวนประชากรโลกก็ปาเข้าไปกว่า 7,000 ล้านคนแล้ว แถมยังเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 70-80 ล้านคนทุกปี

โอ้ว! แต่ละปี มนุษย์เราเพิ่มจำนวนขึ้นยิ่งกว่าคนทั้งหมดในประเทศไทยเลยหรือนี่?

แล้วจะเอาหญ้าที่ไหนมาให้วัวกิน ถ้าไม่ถางป่าแล้วเอาที่ดินมาปลูกหญ้ากันหน่ะ

ครั้นจะหันไปกินปลาแทน ก็เหมือนหนีเสือปะจะเข้

ปลาจำนวนมากสูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะการทำประมงแบบอวนลากแถมตาข่ายรูเล็ก ที่กวาดเอาลูกเล็กเด็กแดงมาจากก้นมหาสมุทรจนเกลี้ยง และเมื่อไม่มีปลาเล็กปลาน้อยบางชนิด มันย่อมส่งผลต่อปลาใหญ่ที่กินปลาน้อยเป็นอาหาร เดือดร้อนต้องโยกย้ายถิ่นฐาน และกลายเป็นปัญหาต่อเจ้าถิ่นเดิม ไม่จบไม่สิ้น

เดี๋ยวนี้เราจึงมีปัญหาปลาเอเลี่ยนเยอะแยะไปหมด

มันเป็นต้นเหตุของปัญหา Biodiversity แบบหนึ่ง นอกเหนือไปจากปัญหาภาวะมหาสมุทรเป็นกรด ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้กัน

แม้จะหันไปกินปลาเลี้ยง ก็ยังหนีไม่พ้นวงจร เพราะยังไงอาหารปลาก็ยังต้องใช้ปลาป่นเป็นพื้นฐานอยู่ดี และปลาชนิดที่นิยมนำมาทำปลาป่นก็ต้องจับโดยวิธีลากอวนอยู่ดี

ยังไงก็ต้องมีการจับปลามากขึ้น

หมู ไก่ กุ้ง ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะกระบวนการเลี้ยงให้โตต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยาบำรุง ยาฆ่าเชื้อ และฮอร์โมนเร่งการเติบโตต่างๆ ที่นอกจากจะเป็นภัยต่อสุขภาพในระยะยาวแล้ว มันยังก่อให้เกิดการปนเปื้อนในธรรมชาติ เพราะสุดท้ายมันจะถูกชะลงแหล่งน้ำและทะเลและมหาสมุทรในที่สุด

และถ้าเป็นการเลี้ยงโดยบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจทำให้สัตว์เกิดความเครียด โดยคนกินก็คิดมากเพราะมันอาจผิดจรรยาบรรณ ที่ฝรั่งเรียกว่า Animal Welfare

แต่ถ้าหันไปกินไก่ที่เลี้ยงโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็จะเกิดปัญหาน่ากลัวอีกแบบหนึ่ง คือพันธุ์ไก่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีพีนำไปให้เกษตรกรเลี้ยงตามสัญญา Contract Farming นั้น ได้ฝัง DNA บางประเภทไว้ในยีนของไก่เหล่านั้นด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรนำไปเพราะพันธุ์เอง เพราะไก่ในเจนเนอเรชั่นต่อไปจะกลายเป็นไก่ไม่สมประกอบทันที

นับเป็นการใช้ Genetic Engineering เพื่อผูกขาดตัดตอนและผูกพันแรงงานไว้ โดยไม่ให้พวกเขาพัฒนาตัวเองได้ คล้ายๆ กับโมเดลเศรษฐกิจในยุคศักดินาของยุโรปสมัยกลางนั่นเอง

แต่สำหรับผู้บริโภค เมื่อเราได้รับ DNA ประเภทนั้นเข้าไปในร่างกาย ก็ยังไม่มีใครตอบได้ชัดๆ ว่ามันจะไม่ทำให้เกิดพิษภัยในระยะยาว

มันเหมือนกับฝังระเบิดเวลาเอาไว้" ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าว

ดังนั้น คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงหันไปกินไก่บ้าน หมูบ้าน เพราะเขาเหล่านั้นไม่เชื่อว่า ลูกหลานของเจ้าสัวจะกล้ากินผลิตภัณฑ์ไก่และหมูของตัวเอง ในชีวิตประจำวัน

ที่พูดมานี้ มิใช่เฉพาะโปรตีนเท่านั้นที่ทำให้เกิดปัญหา คาร์โบไฮเดรตก็น่าปวดหัวเช่นกัน

การปลูกธัญพืชให้ได้ผลผลิตดี พอเลี้ยงพลเมืองโลกได้นั้น ต้องอาศัยปุ๋ย ซึ่งเป็นการนำไนโตรเจนเข้าไปสู่ดิน แต่เมื่อมันถูกชะล้างออก ไนโตรอ๊อกไซด์ย่อมปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่ยังไม่นับว่าต้องใช้ยาฆ่าแมลงด้วย

ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก ทั้งในแง่การปนเปื้อนของแหล่งน้ำใต้ดิน และภาวะมหาสมุทรเป็นกรด ที่เรียกว่า Ocean Acidity

ยังมีสถิติที่น่ากลัวอีกมาก

Jeffrey Sachs นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เพิ่งจะเปิดคอร์สออนไลน์ผ่าน Coursera เรื่อง The Age of Sustainable Development ไปเมื่อไม่นานมานี้ ในเนื้อหาล้วนว่าด้วยเรื่องที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าพฤติกรรมการกินของเราจะทำให้โลกร้อนเท่านั้น แต่ภาวะโลกร้อนก็ย้อนกลับมาทำลายวงจรการเกษตรของเราอีกทอดหนึ่งอีกด้วยเช่นกัน มันเป็นปัญหาแบบสองทาง

และที่น่าตกใจคือ แม้สมัยปัจจุบันที่เราคิดว่าวิทยาการทุกอย่างก้าวหน้าแล้ว ยังปรากฏว่ามีคนในโลกที่เป็นโรคขาดอาหารอยู่ถึง 800-1,000 ล้านคน

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก และการไม่ได้รับสารอาหารหรือวิตามินเพียงพอหรือไม่ครบถ้วน ย่อมทำให้พัฒนาการไม่สมบูรณ์ หรือไม่ก็เกิดโรคตามมา แกรนบ้าง ตาลขโมยบ้าง หัวโตพุงโลก้นปอดบ้าง ถ้ารุนแรงหน่อยก็อาจกลายเป็นคนปัญญาอ่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนอยู่อีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่แม้จะไม่เป็นโรคขาดอาหารโดยตรงแต่ก็เป็นประเภท "แอบแฝง" คือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบถ้วนเช่นกัน แต่เป็นครั้งคราว ดังนั้น ถ้านับว่าพลเมืองโลกกว่า 1,800 ล้านคนยังอยู่ในภาวะหิวโหย (Undernourished) ก็น่าตกใจมากทีเดียว

ที่น่าเจ็บใจคือมีคนเกือบ 1,000 ล้านอีกเช่นกันที่เป็นพวกมีอันจะกินและอยู่ในภาวะ "กินเกิน" โดยวัดจากการมีน้ำหนักเกิน (Overweight-วัดจากดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index)

และในจำนวนนี้ มีสูงถึง 800 ล้านคน เป็น "โรคอ้วน" (Obesity) ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะก่อปัญหาสุขภาพตามมา ทั้งเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนแต่เป็นปัญหาอันเนื่องมาแต่ "การกิน"

พูดได้ว่า เดี๋ยวนี้ ทั้งคนรวยและคนจน ล้วนต้องถือว่า "เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่" ด้วยกันทั้งคู่

สมัยนี้ มีรายการอาหารทางทีวีจำนวนมาก นิตยสารทางด้านอาหารและรสนิยมการกินดื่มสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีฐานะก็มีอยู่ไม่น้อย ยิ่ง Cookbook ด้วยแล้ว นับเป็นเซ็กชั่นสำคัญของร้านหนังสือทุกร้าน

สังเกตุว่าอาชีพกุ๊กสมัยนี้ เป็นที่นับหน้าถือตาและทำรายได้ทีละมากๆ ไม่น้อยหน้า นายธนาคาร วิศวกร หรือหมอ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนโน้น อาชีพกุ๊กเป็นอาชีพหนึ่งที่พ่อแม่มักไม่อยากให้ลูกไปทำกัน

สมัยนี้มีลูกหลานเศรษฐีมาเรียนทำอาหารและออกไปเป็นเชฟกันไม่น้อย บางทีพวกเขาก็เรียกตัวเองให้ดูเก๋ว่า Food Designer”

ฝรั่งชั้นนำ ถึงกับเรียกร้องให้ผู้คนของเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและเปลี่ยนไลฟสไตล์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

ปรัชญาการบริโภคสมัยใหม่ที่ฝรั่งรุ่นใหม่หันมานิยมและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนแต่เรียกร้องให้ปฏิวัติวิถีบริโภคเสียใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Macrobiotic, Food Pyramid, หรือแม้แต่ Slow Food

ถ้ามองให้ลึกลงไปอีก จะพบว่าปรัชญาแนวใหม่นี้เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงถึงขั้นรากฐานของระบบจริยธรรมเลยด้วยซ้ำ

คือที่เคยมองว่าธรรมชาติมีไว้เพื่อถูกพิชิต มนุษย์ต้องพิชิตธรรมชาติและเอาธรรมชาติมารับใช้ตน ความรู้ทั้งหมดของมนุษย์ต้องเป็นไปเพื่อการณ์นั้น กลับตารปัตรมาสู่การมองโลกและธรรมชาติอย่างเป็นมิตร อย่างเป็นองค์รวม อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ที่ไม่ได้แยกจากชีวิตมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่เคารพธรรมชาติ มนุษย์นั่นแหละที่จะพินาศ

ทว่า ปัญหามักเกิดในเชิงปฏิบัติ

การจะเปลี่ยน Life Style มาบริโภคตามหนทางสายใหม่ ท่ามกลางความสะดวกสบายที่กระบวนการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรมรอบตัวเรามอบให้ภายใต้วิถีชีวิตที่เร่งรีบ ย่อมต้องอาศัยความเพียร ความอดทน และต้นทุนที่แพงขึ้น

ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองหันมากินพืชผักผลไม้แบบปลอดสารพิษ ผักพื้นบ้าน หรือผักที่ปลูกโดยชาวบ้าน ธัญพืชแบบ Whole Grain และขนมปังแบบ Whole Wheat เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงโดยชาวบ้าน ปรุงอาหารโดยน้ำมันพืชแบบหีบเย็นหรือ Olive Oil และหาความเมาจาก Craft Beer ดูสักเดือนหนึ่ง

ท่านก็คงจะเห็นด้วยกับผม

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
24 กรกฎาคม 2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนสิงหาคม 2557

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อหังการของ ถวัลย์ ดัชนี



มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ผลิตศิลปินให้กับสังคมไทยจำนวนมาก ทว่ามีน้อยคนเท่านั้นที่สามารถ "บิน" ไปได้

ถวัลย์ ดัชนี เป็นหนึ่่งในจำนวนน้อยคนนั้น

เขาเป็นศิลปินที่ "บิน" ไปได้

ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์จากผลงานชิ้นสำคัญๆ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูปุ๊บก็รู้ว่าภาพแบบนี้เป็นของถวัลย์ ดัชนี

ภาพวาดของเขาแปลกแต่ทรงพลัง ลึกลับ และงดงาม โดยเฉพาะภาพวาดในระยะแรกที่เป็นรูปขาวดำ

ภาพเขียนของเขาถือเป็นงานที่ต้องมีอยู่ใน Collection หากคนผู้นั้นคิดจะสร้างชื่อในวงการนักสะสมศิลปะ เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักสะสมเบอร์สำคัญๆ ล้วนมีภาพของเขาอยู่ในครอบครองไม่มากก็น้อย

ถึงแม้ว่าภาพของเขาจะราคาแพง แต่ก็เป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมกระเป๋าหนัก ทั้งนักธุรกิจคนสำคัญและ Banker ที่ชอบสะสมภาพ ภาพของเขาบางภาพราคาไต่ขึ้นไปกว่า 20 ล้านบาทแล้ว

ถวัลย์มีความสามารถหลายด้าน เขาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนประถมและมัธยมที่จังหวังพะเยาและเชียงราย (สมัยก่อนพะเยายังเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) แล้วมาเข้าเพาะช่างและต่อศิลปากร ซึ่งทั้งหมดนั้นเขาสอบได้ในอันดับต้นๆ จนศิลป์ พีระศรี เห็นแววในตัวเขา จึงสนับสนุนให้ได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศเนเธอร์แลนด์จนจบปริญญาเอก

เขาเรียนทางด้านจิตกรรมฝาผนัง อภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ และได้ตระเวนสร้างงานให้กับนักสะสมในยุโรประยะหนึ่งก่อนจะกลับมาหากินเมืองไทย

ผลงานที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดคือการได้ไปวาดรูปในปราสาทกอททอร์ฟในเยอรมนี ซึ่งเขาใช้เวลาถึง 3 ปีและได้ค่าตอบแทนมาเป็นเช็คเปล่าใบหนึ่ง เพื่อให้เขากรอกตัวเลขลงไปเอง ดังเขาได้ให้สัมภาษณ์กับ ไทยรัฐ เมื่อไม่นานมานี้ว่า "ผมไปเขียนรูปให้ใครต่อใครมาทั่วโลก เมื่อ 35 ปีก่อน ได้ ไปเขียนรูปให้เฮอร์มาน กราฟฮาทซ์เฟลดท์ เจ้าของปราสาทกอททอร์ฟ อายุเก่าแก่กว่า 700 ปี ของประเทศเยอรมนี เจ้าของปราสาทชื่นชมยินดีมาก เขารู้ว่าผมเป็นช่างวาดรูปตัวเก่งของเมืองไทย แต่ไม่รู้ว่าค่าตัวผมเท่าไหร่ เขาจึงให้เช็คเปล่าๆ ผมมาใบหนึ่ง แล้วบอกว่า คุณอยากได้เงินเท่าไหร่ ก็กรอกตัวเลขเอาเอง!! ผมใช้เวลาเขียนอยู่นาน 3 ปี และฝากผลงานศิลปะไทยจิตวิญญาณตะวันออกไว้ตามมุมต่างๆของปราสาท ซึ่งมีห้องถึง 500 ห้อง น่าเสียดายที่ปราสาทแห่งนี้ไม่เปิดให้ใครเข้าชมแล้ว เพราะอากาศที่หนาวเย็นทำให้มีหยดน้ำเกาะบนกำแพง และสร้างความเสียหายให้ภาพ"

นับแต่นั้นมาเขาได้ใช้จุดขายอันนี้เป็นตัวสร้างชื่อให้ตัวเอง จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "ศิลปินเช็คไม่กรอกตัวเลข"

ถวัลย์เป็นนักการตลาดที่เก่งคนหนึ่ง เขารู้จักวิธีให้สัมภาษณ์ รู้จักสร้างและเล่า Story ให้น่าสนใจกับสื่อมวลชนและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เขาพูดเก่ง เล่าสนุก รู้เยอะ รู้จักสรรหาคำพูดที่งดงามและกินความถึงนามธรรมที่เข้าใจง่าย พูดเรื่องยากให้ดูง่าย และมีอารมณ์ขัน ที่สำคัญ เขารู้จักสร้าง Differentiation ให้กับตัวเอง ทั้งในเชิงการพูดจา และในเชิงสัญญลักษณ์ เช่นเขาจะปรากฏตัวด้วยชุดม่อฮ่อม มีเขี้ยวเล็บและกระดูกสัตว์ป่าเป็นเครื่องประดับห้อยคอ และตกแต่งบ้านที่เชียงราย (บ้านดำ) ด้วยสีดำ เต็มไปด้วยโครงกระดูกสัตว์ กระโหลกสัตว์ และหนังสัตว์ เป็นต้น

จึงไม่แปลกที่เขาจะรวย เขาเคยพูดว่าเงินที่เขามีนั้น ถ้าเอามาวางซ้อนกันก็สูงเท่าภูเขาทอง

แต่ถวัลย์ก็เหมือนกับศิลปินใหญ่ๆ ทั้งหลายที่มีอัตตาแรง

"...ความอหังการเป็นสมบัติล้ำค่าของมนุษยชาติ โดยเฉพาะคนที่สร้างงานศิลปะ ถ้าไม่มีความอหังการในตัวเอง ก็อย่าทำงานศิลปะ!! เพราะจะทำให้งานศิลปะขาดพลัง ไม่มีจิตวิญญาณ ไร้ซึ่งสัญชาตญาณ ศิลปินต้องแสดงความเป็นปัจเจกภาพของจิตวิญญาณออกมาให้ชัดแจ้ง ใครที่เป็นความหวานแพร้วเพริศ ใครเป็นเปลวเพลิง ใครเป็นกระแสธารน้ำตก ใครเป็นยาพิษ เป็นความขมขื่น..." เขาเคยกล่าวไว้

เขาคงคาดไม่ถึงว่าความอหังการของเขานั่นเองที่ทำให้เขาต้องพบกับจุดจบอย่างไม่คาดคิด

เขาไม่เคยคิดที่จะดูแลตัวเองอย่างจริงจัง แม้จะรู้มานานแล้วว่าตัวเองป่วยและอาการมันจะรื้อฟื้นและลุกลามได้ เขาไม่ยอมไปตรวจร่างกาย ซ้ำร้ายยังดูถูกหมอ ถึงขั้นพูดกับคนใกล้ชิดว่า "พวกหมอมันโง่จะตายไป"

แต่สุดท้ายเมื่อเขาพบว่าทุกอย่างมันสายเสียแล้ว เขาก็สำนึกเสียใจ ถึงกับเอ่ยปากกับคู่ชีวิตคนล่าสุดว่าขอโทษ ที่ปล่อยปะละเลยจนโรคร้ายลุกลามจนเกินเยียวยา

เขาเป็นศิลปินจนวาระสุดท้าย



ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกันยายน 2557
ภาพประกอบ เป็นผลงานของศิลปินเอก Watchara Klakhakhai
จากเว็บไซต์ www.number1gallery.com

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เดือนในหมู่ดาว




ครม. "ประยุทธ์ 1” เป็น Macho Cabinet

สมาชิก 31 จาก 33 คนเป็นผู้ชาย ในจำนวนนั้น 11 คนเป็นทหาร อีก 1 คนเป็นตำรวจ ที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการพลเรือน โดยตำแหน่งสำคัญที่อาจเรียกว่า Inner Cabinet ล้วนถูกคุมโดยทหาร และเป็นผู้ชายทั้งหมด

หากเทียบว่าในสมัยที่ทักษิณเป็นใหญ่ การประชุม ครม. มักอุดมไปด้วยศัพท์แสงทางบริหารธุรกิจและการจัดการ พูดไทยคำอังกฤษคำ เช่น ซีอีโอ, บาลานซ์สกอร์คาร์ด, คอมเพททิทีพแอดแวนเทจ, รีทิ้งกิ้งไทยแลนด์, แบรนดิ้ง, สตาร์ติจี้, กลยุทธ์ โน่น นี่ นั่น, โพซิชั่นนิ่ง, โฟคัส, ดิฟเฟอเรนชิเอท, แวลูแอด, แวลูครีเอชั่น, มาร์จิ้น, แพลนนิ่ง, โคออร์ดิเนต, เม็กกะโปร์เจ็ก, พอร์ตโฟลิโอ, มาร์เก็ตติ้งออฟเนชั่น,....ฯลฯ

ดีไม่ดี การประชุม ครม. นับแต่นี้ อาจเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางทหาร เช่น นขต. (หน่วยขึ้นตรง), วัน ว. เวลา น., 10 โมง ล้อหมุน, คำสั่ง บ.., การประชุมครั้งต่อไปที่ พิกัด เท่านั้นเท่านี้, เข้าตี, รุก, ตีโอบ, ส่งกำลังบำรุง, ฐานที่มั่น, ปจว., วินัย, งานมวลชน (ทหารมักใช้คำว่าปฏิบัติการจิตวิทยา แทนคำว่าพีอาร์หรือประชาสัมพันธ์), หรือ ยุทธศาสตร์ โน่น นี่ นั่น,....ฯลฯ

และรัฐบาลนี้ คงมีพฤติกรรมประเภท "ประดาบก็เลือดเดือด" ตามนิสัยเด็ดขาดแบบทหาร หากดูตาม Majority ของกลุ่มที่กำลังจะขึ้นมากุมอำนาจ และดีกรีความเบ็ดเสร็จของอำนาจที่อยู่ในมือของพวกท่าน

ทั้งหมดนี้เป็น Background หรือ Chemistry ที่ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร จะต้องเข้ามาร่วมงานและคลุกคลีด้วย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ว่าไปแล้ว Background ของกอบกาญจน์ แตกต่างจากสมาชิกส่วนใหญ่ของ ครม.นี้อย่างสิ้นเชิง

เธอเป็นหญิง เป็นนักธุรกิจ ในชีวิตไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับราชการ ไม่เคยมีอำนาจใน State Apparatus และคงไม่ประสีประสากับ Protocol ของทหาร ที่สำคัญคือเธอไม่เคยสัมผัสงานด้านกีฬาและการท่องเที่ยวมาก่อนอย่างจริงๆ จังๆ เลย

จุดแข็งของเธอในสายตาทหารและผู้มีอำนาจที่เลือกเธอมาร่วมงานด้วยมีอยู่ข้อเดียวคือ "เธอเป็นคนของญี่ปุ่น" และ "ญี่ปุ่นส่งประกวด"

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่เราต้องมีตัวแทนของญี่ปุ่นอยู่ใน ครม. เพราะในรอบสามสิบปีมานี้ ผลประโยชน์ของญี่ปุ่นมีมากในเมืองไทย จึงดีกว่า ถ้าจะให้มี Power Broker นั่งรับทราบนโยบายอยู่ในรัฐบาลด้วย และถ้ามีอะไรจะฝากถึงกัน ก็ให้มีคนที่ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สอยได้โดยตรง เช่นสมัยก่อนก็มีคนของพรรคชาติไทย สมัยทักษิณก็มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นต้น

ที่ผ่านมา ชีวิตทางธุรกิจของเธอเติบโตมาในฐานะนายหน้าของโตชิบาในเมืองไทย กิจการที่แม่ของเธอสร้างเอาไว้ให้ ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะประเมินความสามารถที่แท้จริงของเธอ ทั้งในเชิงของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความเป็นผู้มีจิตใจแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) และความสามารถในการบริหารจัดการ

การรับตำแหน่งในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นความท้าทายมากสำหรับเธอ เพราะงานทางด้านท่องเที่ยว ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์สูง และงานทางด้านกีฬาก็ต้องเผชิญกับ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ซึ่งมี Background ต่างกับเธอแบบฟ้ากับดิน

กอบกาญจน์ เกิดมาในตระกูลเศรษฐี ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะอภิสิทธิ์ชน แบบว่า "ไฮโซ" ของจริงโดยกำเนิดเลยทีเดียวหล่ะ พ่อของเธอเป็นทหารและเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่วนแม่ของเธอก็เป็นลูกสาวเศรษฐีคือ มา บุญกุล พ่อค้าข้าวที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ภายใต้ปีกของเผด็จการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม และกลุ่มราชครู

เธอได้รับการศึกษาชั้นดีแบบ "คุณหนู" มาแต่เล็ก เรียนวัฒนาแล้วไปจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยทางด้าน Liberal Arts ชั้นยอดของอเมริกา Wellesley College ที่เดียวกับ Hillary Clinton และปริญญาโททางด้านสถาปัตยกรรมจาก Rhode Island School of Design ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นโรงเรียนศิลปะชั้นแนวหน้าของโลกที่เด็กรุ่นใหม่ใฝ่ฝันจะไปเรียนให้ได้

ดูตามประวัติแล้ว เธอไม่ขี้เหร่เลย

แต่เธอจะทำอะไรได้ แค่ไหน ต้องติดตามในอีก 3 เดือนข้างหน้า เพราะงานด้านท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเกือบจะเรียกว่าวิกฤตินั้นรอไ่ม่ได้ และผลงานจะเป็นตัวฟ้องอย่างรวดเร็ว

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกันยายน 2557
ภาพประกอบจาก "ประชาชาติธุรกิจ"