วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

MERS & เผด็จการ: ไวรัสสองสายพันธุ์ ที่น่ากลัวไม่แพ้กัน


ระยะนี้มีเหตุการณ์ต่อเนื่องสองอย่างที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมากหน่อย อย่างแรกคือการจะต่ออายุให้กับพลเอกประยุทธ์ และอย่างที่สองคือการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์มรณะ MERS ในเกาหลีใต้ซึ่งถือว่าใกล้บ้านเราเข้ามาทุกที

สองอย่างนี้น่าหวาดเสียวด้วยกันทั้งคู่

อันที่จริง หลังจากระบอบสมบูรณาญสิทธิราชย์สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.. 2475 "เผด็จการ" ก็ไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่คู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด สลับกันไปมาระหว่างเผด็จการทหารกับเผด็จการรัฐสภา และบางช่วงก็เป็นทั้งสองอย่างผสมกัน

บางทีก็เข้ม บางทีก็จาง

แต่ไม่ได้หายและไม่เคยหายไปไหน!

มันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ไม่ต่างจากปลวก หนู แมลงสาบ และไวรัส ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน บางช่วงก็เยอะ บางช่วงก็น้อย บางทีก็ซุ่มเงียบ และบางทีก็ระบาดหนัก แต่ก็ไม่เคยหายไปไหนเช่นกัน

ผมหมายถึง ระบอบที่คนจำนวนหยิบมือคอยกำหนดชะตากรรมของคนส่วนใหญ่โดยคนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมน้อยมาก

โดย Cronies ของคนจำนวนหยิบมือนั้นย่อมถืออภิสิทธิ์ในทางต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเมือง หรือแม้กระทั่งกฎหมาย เหนือกว่าประชาชนธรรมดาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม

ไม่ใช่เฉพาะสังคมไทยหรอกที่เป็นแบบนี้ สังคมของประเทศสำคัญๆ ก็เป็นแบบนี้ อย่างเช่นจีน รัสเซีย หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง ก็มีแนวโน้มเป็นแบบนี้ยิ่งขึ้นทุกทีๆ แล้ว

คนที่อยู่ภายใต้ระบอบนั้นมานานๆ ส่วนใหญ่จะคิดว่า ถ้าไม่มีระบอบนี้แล้ว ความโกลาหลจะเกิดขึ้น อย่างในสังคมจีนนั้น ความเห็นแบบที่ว่านี้ พบเห็นได้ชัดเจนทั่วไป แม้ว่าเผด็จการของจีนบางช่วงจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายมาก

ยิ่งคนที่อยู่ในเครือข่ายผลประโยชน์ของระบอบนี้ พวกเขาย่อมต้องการให้ระบอบนี้คงอยู่ต่อไป ในแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบทหารนำหรือรัฐสภานำ หรือเป็นแบบผสมก็ได้ สุดแท้แต่ว่าตัวเขาและพวกเขานั้นสังกัด Cronies กลุ่มใด

พวกเขาเพียงแต่ชอบระบอบเผด็จการที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา

ก็เท่านั้นเอง

ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองสังเกตุพฤติกรรมของบรรดานักธุรกิจ นายธนาคาร เทคโนแคร็ต และนักลงทุนใหญ่ๆ ในแต่ละช่วงดูก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เผด็จการแบบใด ถ้าไม่ไปขัดผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะสนับสนุนระบอบหรือผู้นำของระบอบนั้น หลายครั้งถึงขั้นออกปากชมกันแบบออกนอกหน้าเลยก็มี

พักเรื่องไวรัสสายพันธุ์การเมืองไว้เพียงเท่านี้ แล้วหันมามองไวรัสสายพันธ์ุมรณะ MERS กันมั่ง

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ (10 มิ.ย. 58) นับเป็นวันที่ 22หลังจากทางการเกาหลีใต้ตรวจพบผู้ติดเชื้อคนแรก โดยระหว่างนี้กลับมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 122 ราย และเสียชีวิตลง 9 รายจากจำนวนนั้น โดยยังมีผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้ออีกถึง 3,500 คน ถูกกักบริเวณอยู่ในเขตกักกันโรค (Quarantine)

ฟังแล้วน่าตกใจ และสังหรณ์ใจว่าถ้าคุมไม่อยู่ ผลกระทบของมันอาจรุนแรงเท่ากับตอนที่ไข้หวัดนรกสายพันธุ์ SARS ระบาดหนักเมื่อปี 2546 ก็เป็นได้

ผมเคยเขียนถึงเรื่องไวรัสและลักษณะการโจมตีมนุษย์ตลอดจนผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไว้อย่างละเอียด สมัยที่ H1N1 กำลังระบาดหนัก ภายใต้หัวเรื่องว่า "พวกอุบาทว์กาลีโลก ๒๐๐๙ กับเศรษฐกิจไทย" (ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถ"คลิก"อ่านได้ที่ http://mba-magazine.blogspot.com/2010/08/blog-post.html)

ว่าแต่ว่าตอนนี้ เกาหลีใต้คงอ่วมน่าดู

ผลกระทบอย่างจังที่เห็นๆ ก็คือนักท่องเที่ยวหดหายและรายได้อันเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเหือดแห้งลงทันตา การจับจ่ายใช้สอยก็น้อยลง เพราะผู้คนไม่ค่อยอยากออกจากบ้านไปปะปนกันคนหมู่มาก

ลองคิดดูว่าถ้าสถานการณ์แบบนี้ลุกลามเข้ามาในเมืองไทยในช่วงที่เรากำลังอ่อนแรงอยู่ จะซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบางอยู่นี้สักเพียงใด

ปัญหาของเกาหลีใต้ ว่าไปแล้วคล้ายกับไทยอยู่บ้าง

คือตั้งแต่วิกฤติซัพไพร์มเป็นต้นมา ประเทศใหญ่ๆ ล้วนดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย ลดดอกเบี้ยลงเป็นว่าเล่น เพื่อกดดันให้ค่าเงินของตนต่ำลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน

สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ถึงกับใช้นโยบาย QE โดยให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่มอย่างมหาศาลแล้วนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรอง เพื่อกดดันให้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงกันหรือ Yield ของพันธบัตรรัฐบาล ต่ำกว่าความเป็นจริง

นักวิเคราะห์บางคนเรียกสถานการณ์อันนี้ว่า "สงครามค่าเงิน" หรือ Global Currency Wars เพราะเป็นการเข้าแทรกแซงให้ค่าเงินของตนเองต่ำกว่าคู่แข่ง โดยหวังว่าจะขายสินค้าส่งออกได้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังวิกฤติไม่ให้ซบเซาเกินไป

สถานการณ์แบบนี้มันส่งผลกระทบกับผู้ส่งออกทั่วโลก

ของไทยเอง ก่อนหน้านี้ ค่าเงินของเราจู่ๆ ก็กลายเป็นแข็งค่าขึ้นมามากเมื่อเทียบกับเงินยูโร และแข็งโดยเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับสกุลเงินของเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในเอเชียด้วยกัน ส่งผลให้ผู้ส่งออกจำนวนมากถึงกับขาดทุน และได้กดดันไปยังรัฐบาล จนมีส่วนให้ธนาคารชาติต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยลง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารชาติเคยวิตกว่าการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นหากลดดอกเบี้ยลง ด้วยซ้ำไป
ข้อจำกัดแบบนี้ เกาหลีก็เจอคล้ายๆ เรา

อย่าลืมว่าคู่แข่งขันในตลาดโลกของเกาหลีคือญี่ปุ่น ทั้งรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไมโครโปรเซสเซอร์ชิพ เรือเดินสมุทร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภาพยนตร์ซีรี่ย์ การ์ตูน หรืออะไรต่อมิอะไรที่เกาหลีมุ่งมั่นเลียนแบบญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกมานี้ เพราะต้องการเอาชนะญี่ปุ่น ซึ่งเกาหลีถือเป็นศัตรูหมายเลยหนึ่ง อย่างไม่คิดชีวิต

นับแต่กลางปี 2556 เป็นต้นมา เงินเยนอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จนถึงขณะนี้ เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์แล้ว อ่อนลงกว่า 20% ในขณะที่เงินวอนของเกาหลีใต้สวิงเล็กน้อยในแดนบวกลบประมาณ 5% และเมื่อเทียบ ณ ขณะปัจจุบันแล้ว เกือบจะคงค่าเดิมเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ

จึงไม่แปลกที่ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อคำณวนเป็นเงินดอลล่าร์แล้ว ลดลงถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราที่ลดลงแรงที่สุดนับแต่ช่วงที่เกิดวิกฤติซัพไพร์ม

กิจการยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุง แอลจี เกีย ฮุนได แดวู ล้วนได้รับผลกระทบชัดเจน

แย่แล้ว!

นั่นอาจเป็นสัญญานเตือนว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ต้องทำอะไรสักอย่างกับค่าเงินวอนเสียที เพราะก่อนหน้านี้ธนาคารชาติของเกาหลีใต้เป็นห่วงว่าหากลดดอกเบี้ยลง (เพื่อกดดันให้เงินวอนลดค่าลง) ก็จะทำให้หนี้สินภาคเอกชนซึ่งสูงอยู่แล้ว สูงขึ้นไปอีกจนเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจภาพรวม

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา McKinsey Global Institute เพิ่งออกรายงานชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญมากชื่อ Debt and (Not Much) Deleveraging

เป็นการศึกษาภาวะหนี้สินของโลกในรอบหลายปีมานี้ โดยพบว่าหนี้สินรวมของโลกเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในรอบ 7 ปีหลังวิกฤติซัพไพร์มมานี้ (ตั้งแต่ปี 2550-2557) คือเพิ่มขึ้นถึง 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 142 ล้านล้านเหรียญฯ มาเป็น 199 ล้านล้านเหรียญฯ คิดเป็น 269% และ 286% ของ GDP โลก ตามลำดับ
ว่าเฉพาะของเกาหลีใต้ เมื่อวัด ณ ไตรมาสสองของปีที่แล้ว มีหนี้สินถึง 231% ของ GDP คิดเป็นเพิ่มขึ้นจากยอดหนี้เมื่อปี 2550 ถึง 45% โดยภาคธุรกิจเอกชนเพิ่มขึ้นถึง 19% ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึง 12% ในขณะที่ภาครัฐบาลเพิ่มขึ้นเพียง 15% ต่างกับของญี่ปุ่นที่แม้จะมีหนี้สินสูงที่สุดในโลกคือ 400% ของ GDP แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ภาครัฐ (เพิ่มขึ้น 63% ใ่นช่วงเดียวกัน) โดยภาคธุรกิจเอกชนก่อหนี้เพิ่มเพียง 2% แต่ภาคครัวเรือนกลับก่อหนี้ลดลง 1% ด้วย

นั่นทำให้เราพอเข้าใจได้ว่าทำไมธนาคารกลางของเกาหลีใต้ถึงไม่ยอมลดดอกเบี้ยลง ในช่วงที่ผ่านมา

พวกเราที่คอย "เสมอนอก" ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า ไวรัสนรก MERS ตัวนี้ จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ธนาคารกลางของเกาหลีใต้ต้องเหนี่ยวไกหรือไม่

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นบทเรียนให้กับเราในโอกาสต่อไป

แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ชอบพนันขันต่อและชอบเก็งกำไรเป็นชีวิตจิตใจ หลายคนคงเริ่มมองแล้วว่าจะเข้าซื้อเงินดอลล่าร์/ขายเงินวอน กันในจังหวะไหนดีในตลาดล่วงหน้า

ขอให้โชคดี

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

10 มิถุนายน 2558

หมายเหตุ: หลังจากที่ผมเขียนบทความนี้ได้ 1 วัน ธนาคารชาติของเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25%  เหลือ 1.5% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เราจะได้อะไร เมื่อจีนกำลังจะมา “ชิงดำ” กับญี่ปุ่นกันในเมืองไทย

การผงาดขึ้นมาของจีนส่งผลให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกขยับปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบบ้านเรานี้ การเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด
ความต้องการออกทะเล” ของจีน หนุนด้วยทรัพยสฤงคารมหาศาลในคลังหลวงของจีนปัจจุบัน ทำให้นโยบายต่างประเทศของจีนต่อประเทศในย่านนี้ Aggressive ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
จีนเน้นการลงทุนโดยตรงและสนับสนุนให้ประเทศแถบนี้สร้างเครือข่ายสื่อสารและขนส่งเชื่อมต่อกับจีน อีกทั้งยังสนับสนุนให้คนจีนเข้าไปทำมาหากินในประเทศเป้าหมาย เช่นการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก ถนนหนทาง และท่อส่งน้ำมันในพม่า เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์หลายประการรวมทั้งการให้รับคนจีนเข้าไปตั้งรกรากทำมาหากินในพม่า หรือการสนับสนุนให้ไทยและลาวสร้างทางรถไฟไปเชื่อมต่อกับมณฑลยูนนานของจีน แลกกับสัมปทานเดินรถและพื้นที่ตลอดแนวรถไฟ หรือการเข้าไปลงทุนปลูกยางพาราในภาคเหนือของลาวอย่างแทบจะผูกขาด เป็นต้น
ส่วนทางด้านทะเลจีนใต้ จีนก็มีเป้าหมายที่จะยึดครองน่านน้ำและเกาะแก่งต่างๆ โดยอ้างว่าในอดีตเขตแดนในทะเลเหล่านั้นเคยเป็นของจีนมาก่อน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งโดยตรงกับประเทศรอบๆ ทะเลจีนใต้ ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ ล้วนมุ่งเสริมสร้างเขี้ยวเล็บทางทะเลของตน อีกทั้งกองเรือสหรัฐฯ ก็ได้หันกลับมาประจำการที่ฟิลิปปินส์เพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีน
แน่นอน การขยับตัวของจีนแบบนี้ย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจอื่นที่เคยมีผลประโยชน์ในแถบนี้อยู่แล้วอย่างญี่ปุ่น และที่เคยมีและอยากจะกลับมามีผลประโยชน์ในแถบนี้อย่างสหรัฐฯ
ว่าแต่เฉพาะในเมืองไทย ดูเหมือนจีนจะต้องมาปะทะเข้าอย่างจังกับญี่ปุ่นซึ่งถือว่าไทยเป็นเขตอิทธิพลของพวกเขาอยู่ก่อน และในเมื่อหลังพิงของญี่ปุ่นอิงแอบอยู่กับสหรัฐฯ จีนย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องชนกับสหรัฐฯ ในบ้านเราอีกโสตหนึ่ง ในขณะที่จีนกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในระดับโลกอย่างใกล้ชิดแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก
ความสัมพันธ์เชิงซ้อนนี้ย่อมส่งผลต่อเราทั้งในเชิงบวกและลบ เมื่อเกิดการปรับเปลี่ยนดุลอำนาจ
ดังนั้น ในแง่ของไทยเอง จะฉวยจังหวะนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรให้ตัวเอง เราจำเป็นต้องเข้าใจและ Identify ให้ได้ว่าอะไรที่สำคัญที่สุด และคิดว่าจะได้มาในเกม Balance of Power ในรอบนี้อย่างไร
การจะทำความเข้าใจบริบทใหม่นี้ เราอาจต้องหันกลับไปมองอดีตประกอบ
ในยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในอุษาคเนย์อย่างมาก ชนชั้นผู้นำไทยสมัยนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์และปัญหาอินโดจีนตามความต้องการของอเมริกา เราสนับสนุนลาวขาวและเขมรเสรีทั้งในแง่ของการให้ที่พักพิงกับผู้นำขบวนการกู้ชาติและการอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อขับเครื่องบินเข้าไปทิ้งระเบิดในลาว เวียดนาม และเขมร หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเหล่านั้นด้วย ส่วนทางด้านพม่าซึ่งกำลังมีปัญหาภายในกับชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก ไทยก็ได้อาศัยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นให้ทำตัวเป็นรัฐกันชนระหว่างไทยกับพม่า
สมัยนั้นผู้นำกระเหรี่ยง ว้า ปะโอ และไทยใหญ่ ล้วนมีบ้านช่องอัครฐานเป็นของตัวเองในจังหวัดเชียงใหม่ และลูกหลานก็ส่งมาเรียนในเมืองไทย (เดี๋ยวนี้ก็น่าจะยังเป็นเช่นนั้นอยู่) ชนชั้นผู้นำไทยโดยเฉพาะบรรดาทหารบกที่กุมอำนาจการเมืองในยุคนั้น ก็ได้มีส่วนสนับสนุนกระบวนการส่งออกยาเสพติดของชนกลุ่มน้อยไปในตลาดโลก เพื่อหารายได้มาสร้างกองกำลังต่อต้านรัฐบาลกลางของพม่า
เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากอุษาคเนย์และเกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองจีน เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกระบวนทัศน์ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนอย่างมากด้วย ในการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2521 เติ้งเสี่ยวผิงได้กล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น (Sovereignty related conflicts) นั้น “ขอให้เป็นภาระของคนรุ่นต่อไปเถอะ” (left for the next generation)
คำกล่าวนั้น ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจีนต้องการความร่วมมือทางเศรษฐกิจจากญี่ปุ่นมาก ความขัดแย้งที่มีมาแต่เดิมนั้นควรเก็บเอาไว้ก่อน และนับแต่นั้นมา นโยบายต่างประเทศของจีนก็ให้ความสำคัญกับ Economic Content เป็นหลัก ผิดกับสมัยเหมาเจ๋อตงที่เน้นไปในด้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และส่งออกการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ และการลงทุนของญี่ปุ่นในจีนก็เริ่มเติบโตขึ้น
เมื่อจีนรวยขึ้นด้วยการเปิดพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้มีการลงทุนรับจ้างผลิต Hardware ให้กับฝรั่ง สะสม Foreign Exchange Reserve อย่างมหาศาล จีนก็ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเอเชีย นโยบายต่างประเทศของจีนต่อเพื่อนบ้านในเอเชียก็เป็นไปอย่างเหมาะสมผ่อนปรน โดยจีนยอมที่จะขาดดุลการค้ากับประเทศเหล่านั้น แต่ละปีจีนจะนำเข้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนวัตถุดิบ จากประเทศเอเชียอื่น รวมทั้งไทยเป็นจำนวนมาก นับเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างชาญฉลาด
จุดพลิกผันของจีน ย่อมเป็นจุดพลิกผันของเอเชียด้วย เมื่อคนจีนรวยขึ้นและเริ่มรู้จัก “ใช้ชีวิต” การบริโภคก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยจำนวนประชากรขนาดนั้น จีนย่อมต้องการชีวปัจจัยและ Luxury Products ตลอดจนพลังงานจำนวนมหาศาล และอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ทางด้าน Geopolitics และทางด้านพลังงาน และทางด้านเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกทั้งหลาย ต่างลงความเห็นร่วมกันว่าจุดพลิกผันสำคัญที่สุดของจีนคือปี 2537 เมื่อจีนเริ่มมีสถานะเป็น “ผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ” (Net Importer of Oil) เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมา นโยบายการต่างประเทศของจีนก็เริ่มมีเนื้อหาที่เรียกว่า Petroleum Component” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


เมื่อสิ้นปี 2549 ยอดนำเข้าน้ำมันของจีนก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2537 และได้กลายเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยได้แซงหน้าญี่ปุ่นที่เคยครองอันดับสองมาก่อน


และมิเพียงเท่านั้น ยอดนำเข้าวัตถุดิบชนิดอื่นที่จำเป็นต่อการผลิตและบริโภคก็ก้าวกระโดดขึ้นด้วยในอัตราเร่งเช่นเดียวกับน้ำมัน Logic แบบนี้ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยไม่มากก็น้อย
ผู้นำจีนที่ขึ้นมากุมอำนาจหลังจากเติ้งเสี่ยวผิง ก็ได้ผลัดกันออกเดินสายกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรซึ่งจีนคาดว่าต้องพึ่งพิงในอนาคต ทั้งรัสเซีย (ซึ่งจีนจะวางท่อส่งน้ำมันตรงจากไซบีเรียและอาจวางผ่านมองโกเลียด้วยในอนาคต) ออสเตรเลีย อินโดนีเชีย หรือแม้กระทั่งอียิปต์ อัลจีเรีย อิหร่าน ปากีสถาน และกาบอน ปัจจุบันจีนมีกองทหารประจำการในซูดานเพื่อดูแลสัมปทานน้ำมันของจีนที่นั่น และกิจการปิโตรเลียมของจีนก็หาโอกาสเข้าซื้อกิจการสัญชาติอื่นเพื่อครอบครองสัมปทานน้ำมันอยู่อย่างขะมักเขม้น
ด้วยโลกสันนิวาสแบบนี้เองที่ทำให้ภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะในดินแดนที่เป็นแหล่งน้ำมัน แหล่งพลังงาน แหล่งวัตถุดิบ และเป็นเส้นทางลำเลียงของโภคภัณฑ์เหล่านั้นเข้าจีน
จีนได้ลงทุนสร้าง Infrastructure ให้กับอิหร่าน สร้างท่าเรือและฐานทัพเรือที่ Gwadar และ Pasni ในปากีสถาน และที่ Chittagon ในบังคลาเทศ สร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงที่ทางตอนใต้ของศรีลังกา และตามหมู่เกาะรายทางในมหาสมุทรอินเดีย และลงทุนสร้างท่าเรือตลอดจนถนนหนทางและเส้นทางขนส่งในพม่าเพื่อต่อเชื่อมระหว่างปากอ่าวเบงกอลกับจีนตอนใต้ ตลอดจนสนใจสนับสนุนให้มีการขุดคลองลัดที่คอคอดกระที่จังหวัดประจวบคีรีขันท์หรือระนอง เพื่อสร้างทางเลือกของการขนส่งน้ำมันมิให้ต้องผ่านช่องแคบมะละกาแต่เพียงทางเดียว นอกจากนั้นจีนยังมีโครงการจะวางท่อก๊าซตรงจาก Azerbaijan, Kazakhstan, Turkmenistan อีกด้วย นี่ยังไม่นับโครงการสำรวจก๊าซในอ่าวไทยที่กำพูชากำลังหาทางอ้างสิทธิอยู่ในขณะนี้ด้วย
สำหรับพม่า ซึ่งนอกจากจะเป็นประเทศหนึ่งที่ครองชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจีนต้องการให้คุ้มครองกองเรือขนส่งน้ำมันไปสู่จีนแล้ว โดยตัวของพม่าเองยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรที่จีนต้องการเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและยุธโทปกรของจีน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ทองแดง สังกะสี ไม้สัก ยูเรเนียม และพลังน้ำ

วงการทูตของประเทศตะวันตก คาดการณ์กันว่าแต่ละปี รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารของพม่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ในขณะเดียวกันจีนก็ได้ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและ Hardware ให้กับสังคมพม่าในราคาถูก (เดี๋ยวนี้ถ้าพวกเราอยากได้ DVD ปลอม หรือพวกนาฬิกาปลอม หรือกระเป๋าปลอม ก็ต้องไปเอามาจากแม่สาย เป็นต้น) รวมตลอดถึงได้ส่งบริษัทก่อสร้างของจีนเข้ามาสร้างอะไรต่อมิอะไรในพม่าด้วยราคากันเอง
จีนไม่สนใจหรอกว่ารัฐบาลทหารของพม่าและรัฐบาลของประเทศอื่นที่จีนติดต่อด้วยจะปกครองแบบเผด็จอำนาจ และพวกเขาจะเห็นคุณค่าของสิทธิมนุษยชนหรือไม่เพียงใด จีนดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ Pragmatic และไม่สนใจแม้กระทั่งว่าพม่าจะส่งออกฝิ่นและยาเสพติดไปทั่วโลกหรือไม่ (อย่าลืมว่าจีนเคยเป็นเหยื่อของอังกฤษและอเมริกามาก่อน สมัยที่มอมเมาจีนด้วยฝิ่นจำนวนมากอย่างไร้มนุษยธรรมโดยดำเนินการส่งฝิ่นเข้าไปจากอินเดีย และผมว่าชนชั้นผู้นำของจีนปัจจุบันยังไม่ลืมเหตุการณ์เหล่านั้น)จีนสนใจเพียงว่า ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเส้นทางการลำเลียงน้ำมัน เช่นเกิดวิกฤติขึ้นกับไทย มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย จนต้องปิดช่องแคบมะละกา จีนจะสามารถลำเลียงน้ำมันผ่านพม่าได้ โดยให้เรือบรรทุกน้ำมันจากตะวันออกกลางมาขึ้นฝั่งที่พม่า ซึ่งจีนลงทุนสร้างท่าเรือให้แล้ว และขนส่งผ่านท่อหรือลำเลียงผ่านเส้นทางบกเข้าสู่ยูนนาน เพื่อไม่ให้การผลิตและเครื่องจักรเศรษฐกิจของจีนต้องหยุดชะงัก นอกจากนั้นจีนยังสนใจยูเรเนียมในพม่าอีกด้วย
ไทยเองก็เป็น Strategic Importance” ต่อยุทธศาสตร์ของจีนอยู่พอสมควร ตั้งแต่สมัยเมื่อสงครามในเขมรสิ้นสุดลง และจีนจำเป็นต้องพึ่งไทยให้เป็นจุดลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่กองกำลังเขมรแดง และปัจจุบันซึ่งจีนต้องการไทยเป็นทางผ่านออกสู่ทะเล ตลอดจนประเทศในคาบสมุทรเช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเชีย และเลยไปสู่โอเชียนเนีย อีกทั้งตลาดไทยก็มีความสำคัญต่อผู้ผลิตสินค้าจีน และในทางกลับกันจีนก็ต้องการสินค้าและพืชผลเกษตรจากไทยด้วยเช่นกัน ความสำคัญของไทยในสายตาจีนย่อมมากอยู่ และรัฐบาล คสช. ของเราก็ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้จีนรุกคืบเข้ามาในไทยมากขึ้น
อย่างน้อยในรอบสิบกว่าปีมานี้ มหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกและสหาย ต่างใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไล่จับผู้ก่อการร้าย โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับทรัพยากรจำนวนมากไปกับสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก อีกทั้งยังร่วมกดดันรัสเซียในกรณียูเครน และวุ่นวายอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจภายในของตน จึงยุ่งเกินกว่าที่จะหันมาจัดวางยุทธศาสตร์ด้านอุษาคเนย์อย่างจริงจัง หรือแม้กระทั่งเอเชียโดยรวมก็ตามที จึงเป็นโอกาสให้จีนได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่
แน่นอน จีนและรัสเซียย่อมไม่อยากให้สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในอัฟกานิสถานและอิรัก เพราะมันจะทำให้อิทธิพลของฝรั่งในเอเชียกลางหมดไป และจีนกับรัสเซียจะได้เข้าไปทำอะไรต่อมิอะไรกับทรัพยากรของย่านนั้นอย่างถนัดมือ เหมือนกับที่ได้ทำมาแล้วกับพม่า
ทว่า ระยะหลังมานี้ เราเริ่มได้เห็นการกลับเข้ามาในเอเซียอาคเนย์ของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ทั้งในกรณีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการฑูต การค้า และการทหารกับพม่า กัมพูชา และเวียดนาม และการเข้ามากดดันทางการฑูตต่อรัฐบาลทหารของไทยอย่างเปิดเผย
กระบวนทัศน์ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อเอเซียได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยสหรัฐฯ ได้กลับมาให้ความสำคัญกับการคงอำนาจเหนือไว้ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจไทยกลับไม่ใช่จีนและสหรัฐฯ ทว่าเป็นญี่ปุ่น
หลังปี 1985 ซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ จากประมาณ 360 เยน/ดอลล่าร์ มาเป็น 120 เยน/ดอลล่าร์ ทำให้ญี่ปุ่นต้องมุ่งออกไปลงทุนนอกประเทศ ซึ่งไทยเราเป็นเป้าหมายสำคัญของญี่ปุ่นในขณะนั้น เพราะมีความพร้อมทั้งในแง่ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม นโยบายส่งเสริมของรัฐบาล สภาวการณ์ทางการเมืองที่มั่นคง และแรงงานฝีมือ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสำคัญของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลไทยต้องเอาใจญี่ปุ่นสารพัด กระทั่งโครงการ Mega-project ในเรื่องน้ำ ที่รัฐบาลต้องลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ญี่ปุ่น ไม่ต้องการให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตไปประเทศคู่แข่ง อีกทั้งชุมชนญี่ปุ่นแถวสุขุมวิทก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับครอบครัวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงาน ตามขนาดการลงทุนของกิจการญี่ปุ่นในเมืองไทย จนล้นออกไปแถบพระราม 9 และรัชดาภิเษก
ปัญหาของไทยในกรณีนี้คือไทยเองไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมากนัก จะได้ก็เพียงค่าแรง ภาษี ยอดขายวัตถุดิบเล็กๆ น้อยๆ และยอดส่งออกของประเทศ ซึ่งเสมือนหนึ่งญี่ปุ่นมายืมบัญชีส่งออกของไทยลงบัญชีเท่านั้นเอง เพราะผลประโยชน์ที่แท้จริงตกอยู่ในกระเป๋าของผู้ส่งออกญี่ปุ่นเหล่านั้น
แม้เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ผู้ผลิตและแรงงานไทยก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความรู้สำคัญในการผลิตที่ญี่ปุ่นเคยสัญญาว่าจะถ่ายทอดให้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแม่พิมพ์ (Mold) ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์ ฯลฯ
สังเกตุง่ายๆ ว่า ประเทศเรามีการเรียนการสอนวิศวกรรมศาสตร์และเภสัชศาสตร์มากว่าร้อยปีแล้ว แต่เราก็ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์หรือจักรยานยนต์และยาใช้เองได้ ทั้งๆ ที่เราบริโภคของเหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี อย่าว่าแต่ Machine Tool และความรู้ที่จำเป็นในการผลิต Consumer Products ที่เราต้องใช้และบริโภคมากมายในแต่ละปี เราก็ยังไม่สามารถ “สร้าง” เองได้
กิจการขนาดใหญ่ๆ ของไทย ล้วนต้องนำเข้าหรือเช่า “ระบบ” หรือหัวใจสำคัญของธุรกิจจากต่างประเทศ (ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ที่ตกถึงเราย่อมน้อยด้วย) หรือไม่ก็ยอมตัวลงเป็น “นายหน้า” ให้กับผู้ผลิตต่างประเทศ
ความรู้ของเรามีได้แค่ความรู้ในการใช้งานเครื่องจักรหรือใช้งานระบบ แต่ความรู้ในการ “สร้าง” ระบบหรือสร้างเครื่องจักรของเรายังมีไปไม่ถึง เหมือนกับเรารู้เรื่อง Branding รู้เรื่อง Marketing รู้เรื่องการออกแบบรถยนต์หรือ Aerodynamic แต่เราไม่สามารถสร้างเครื่องยนต์และระบบการผลิตได้เอง
ความรู้เรามีแค่ 6-7-8-9-10 แต่ยังขาด 0-1-2-3-4-5 ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจ โดยความรู้เหล่านี้ญี่ปุ่นยังปิดบังเก็บงำเป็นความลับสุดยอด
การเข้าถึงความรู้เหล่านี้ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย เพราะเราจะสามารถ “สร้าง” สินค้าและบริการของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ได้ เป็นก้าวแรกของการเป็น “เจ้าของ” อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น โตโยต้า ซัมซุง 7-11 ฯลฯ ที่สามารถใช้ความรู้สร้าง “ของ” ตัวเองขึ้นมาแข่งขันในตลาดโลก และสามารถส่งต่อความมั่งคั่งอันเนื่องมาแต่ “ของที่ตัวเองสร้าง” (จากความรู้) หรือกิจการเหล่านั้นให้กับลูกหลานต่อไป ได้ลืมตาอ้าปากในอนาคต มิใช่ต้องคอยกินน้ำใต้ศอกผู้ผลิตต่างชาติตลอดไป
ปัจจุบันย่อมเป็นเวลาอันเหมาะเจาะ ที่เราจะสามารถเปิดเจรจากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของความรู้อันเป็นหัวใจสำคัญเหล่านั้น ให้ยอมเปิดเผยและถ่ายทอดความรู้ให้กับเราเสียที (เทคโนโลยีก็คือความรู้นั่นเอง ดังนั้น เทคโนโลยีในการผลิต=ความรู้ในการผลิต และ เทคโนโลยีในการพัฒนาหรือจัดการกับระบบปฏิบัติการหรือระบบบริหาร=ความรู้ในการพัฒนาหรือความรู้ในการจัดการกับระบบปฏิบัติการหรือจัดการกับระบบงาน นั่นเอง)
นั่นคือเป้าหมายของ “เกม Balance of Power” ในรอบนี้ ที่จะมีจีนเป็นหมากให้เราได้เก็บไว้เล่นกับญี่ปุ่น

ยังไงๆ ญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมให้จีนเข้ามาแย่งพื้นที่ในไทยได้ง่ายๆ อย่างจีนจะสร้างรถไฟรางคู่เชื่อมจีนกับแหลมฉบังผ่านอีสานและลาว ญี่ปุ่นก็ต้องไม่น้อยหน้า ต่อรองจนได้รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ดีกว่าไป 
ผู้นำที่เก่งและมีวิสัยทัศน์และรักชาติและห่วงใยลูกหลาน ย่อมต้องไม่ปล่อยให้โอกาสทองแบบนี้หลุดมือไป
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
23 กุมภาพันธ์ 2558