อีกไม่นานคงจะมีคนเขียนชีวประวัติของ
สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกวางจำหน่าย
และผมทายว่าต้องเป็นหนังสือขายดี
ในฐานะนักเขียน
ผมคิดว่าชีวิตและพัฒนาการทางความคิดของคุณสุเทพนั้นน่าสนใจมาก
และชีวิตแบบนี้ต้องการนักเขียนชีวประวัติชั้นดี
มาให้อรรถาธิบายอย่างลงลึก
รอบด้าน และไม่ลำเอียง
โดยชีวิตแบบนั้นมันน่าจะให้บทเรียนกับคนรุ่นหลังได้มาก
มันเป็นชีวิตที่กำกับโดยความคิดที่พลิกผันหันหลังกลับ
และ Contradict
จนคนดูอยู่วงนอกแบบผมต้อง
ตะลึง!
พลิกผันหันหลังกลับชนิดร้อยแปดสิบองศา
จากนักเลือกตั้ง...สู่ผู้นำม็อบ
จากประชาธิปัตย์...สู่อนาธิปัตย์
จากนักระดมทุนหาเงินเข้าพรรค...สู่นักต่อต้านคอรัปชั่นตัวยง
(โดยปาวารณาว่าจะออกกฎหมายให้ความผิดฐานฉ้อโกงไม่มีอายุความ
เป็นต้น)
จากนักการเมืองอนุรักษ์...สู่นักปฏิวัติหัวก้าวหน้า
จากเลขาธิการพรรคที่กำกับการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย...สู่นักปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
ฯลฯ
ก่อนหน้านี้
สุเทพ เทือกสุบรรณ
ในสายตาของผมและเพื่อนๆ
ตลอดจนผู้คนที่ผมรู้จักและสัมผัสมา
(และผมเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ
ส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกัน)
เรียกว่าจัดอยู่ในประเภท
“Bad
Guy”
ทว่า
หลังจาก "วันนั้น"
เป็นต้นมา
ภาพลักษณ์ของสุเทพ สำหรับผม
(และสำหรับคนชั้นกลางและชั้นสูงจำนวนมาก)
ได้กลายมาเป็น
“Bad
Guy With Some Good Qualities”
สื่อมวลชนแทบจะเลิกเรียกเขาว่า
"เทพเทือก"
และในวงเหล้าหรือ
Social
Networks ที่เคยเรียกเขาว่า
"เทพเทือก"
หรือ
"ไอ้เทือก"
หรือแม้กระทั่ง
"จรกาหน้าดำ"
ก็กลายมาเป็น
"ลุงกำนัน"
บ้าง
"ท่านกำนัน"
บ้าง
หรือแม้แต่ "คุณสุเทพ"
ก็มีแยะ
คนจำนวนมากคิดไม่ถึงกับบทบาทของสุเทพในครั้งนี้
อย่าว่าแต่คนจำนวนมากเลย
กระทั่งตัวของสุเทพเองก็อาจจะคิดไม่ถึง
ว่าตัวเองมาไกลได้ถึงเพียงนี้
แกนนำผู้คร่ำหวอดบางคนแอบกระซิบว่า
"คุณสุเทพแกถูกมวลชนกดดันให้ก้าวหน้า"
อย่างกรณีคอรัปชั่นไม่มีอายุความนั้น
หลายคนก็ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากแก
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คง
Impossible”
เขากล่าว
และให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าสุเทพอยู่ในฐานะ
"ตกกระไดพลอยโจน"
เพราะนอกจากมวลชนจะออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดินเกินความคาดหมายแล้ว
เขายังได้รับสัญญาณบางอย่างจากผู้ใหญ่อีกด้วย
บางคนว่าเขาเป็น
Accidental Hero
ถ้าใครได้ติดตามฟังคำปราศรัยและการนำทัพของสุเทพในรอบเดือนที่ผ่านมา
ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าเขาทำได้ค่อนข้างดีใน
"โหมดสู้รบ"
แต่เมื่อสถานการณ์พัฒนาไป
และ Life
Cycle ของม็อบสุกงอมขึ้น
จนต้องการการนำที่เปลี่ยนจาก
"โหมดสู้รบ"
มาเป็น
"โหมดใช้ปัญญา"
ในฐานะหัวหน้าขบวนการประชาชนผู้อ้างชัยชนะ
สุเทพต้องเสนอ Blueprint
ของการเปลี่ยนแปลงสู่สาธารณะ
และจารนัยอย่างละเอียดว่าจะสถาปนาประเทศต่อไปอย่างไร
ถ้าเขาสามารถชักจูงให้ราษฎรทุกชนชั้นเห็นด้วยกับแผนการสถาปนาประเทศของเขา
การปฏิรูปเพื่อความเปลี่ยนแปลงย่อมมีโอกาสสำเร็จ
เขาต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้นำม็อบมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
หรือกำกับกระบวนการเปลี่ยนแปลง
ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถณาโดยปราศจากความรุนแรง
หาไม่แล้ว
พลังของราษฏรที่แสดงออกย่อมสูญเปล่า
หรือไม่ความขัดแย้งก็อาจบานปลายจนกลายเป็นความรุนแรงได้
นับแต่นี้
บทบาทเชิงปัญญาของสุเทพย่อมสำคัญมากกว่าบทบาทเชิงสู้รบ
และผมย่อมเอาใจช่วยให้เขาทำได้และทำสำเร็จ
โดยหวังว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น
จะต้องเสริมให้อำนาจให้กับราษฏร
และเพิ่มช่องทางให้สามารถต่อรองกันเองอย่างสันติ
ทุนผูกขาดจะถูกทำลาย
เจ้าสัวที่ชอบผ่องถ่ายทรัพย์สินของสาธารณะไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวจะถูกดำเนินคดี
ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจะถูกตราไว้ในกฎหมายและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง
อุตสาหกรรมสำคัญๆ
ที่คนเล็กคนน้อยเคยเข้าถึงได้
อย่างค้าปลีกค้าส่งจะถูกดึงกลับมาเป็น
Social
Safety Net
แทนที่จะถูกผลักเข้าไปอยู่ในกำมือของบรรษัทข้ามชาติแบบทุกวันนี้
ระบบตุลาการจะทรงประสิทธิภาพขึ้น
ระยะเวลาในการพิจารณาคดีต่างๆ
ควรสมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้
และสถาบันแห่งนั้นควรมี
Accountability
ต่อราษฏร
การคอรัปชั่นจะถูกกำราบอย่างเด็ดขาด
การเลือกตั้งจะต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม
การใช้อำนาจของข้าราชการ
ทหาร ตำรวจ จะต้องถูกตรวจสอบได้
การศึกษาและสาธารณสุขจะต้องมีคุณภาพและอย่างเพียงพอ
ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะถูกแก้ไขโดยมาตรการภาษี
ฯลฯ
อีกไม่นาน
เราก็จะได้รู้ความจริงว่าสุเทพนั้นเป็น
"เจ้าเงาะถอดรูป"
ที่งำประกายมาช้านานหรือ
"จรกา"
ดังเดิมกันแน่
ทักษ์ศิล
ฉัตรแก้ว
24
ธันวาคม
2556