วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทุกข์ที่ต้องปฏิรูป เมื่อชนชั้นกลางเจ็บป่วย



คำสนทนาต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นกลางดึกของค่ำคืนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ โดยมันบ่งบอกข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับระบบรักษาพยาบาลของไทย:

ก่อนอื่นขออนุญาตแจ้งให้ญาติทราบเรื่องค่าใช้จ่ายเบื้องต้นก่อนน๊ะค๊ะ”

ค่าผ่าตัดและห้องผ่าตัดหัวใจในแบบที่คุณหมอฯ แจ้งให้ทราบนั้นราคา 1 ล้านบาท ส่วนค่าห้องซีซียูคืนละ 1 แสนบาทค่ะ...ทางเราจะจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมทันทีที่คนไข้มาถึง"

นั่นเป็นคำพูดที่แว่วมาจากปลายสายของประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลเอกชนชื่อเดียวกับพระนคร ย่านซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พูดกับญาติผู้ป่วยหนักที่กำลังจะถูกส่งต่อไปจากโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งแถวๆ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ซึ่งแพทย์เวรที่นั่นพิจารณาแล้วว่าทรัพยากรตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งนั้น ไม่สามารถรองรับคนป่วยได้ จำต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นในละแวกใกล้เคียง ซึ่งตัวเองประเมินแล้วว่ามีศักยภาพและความพร้อมสูงกว่า

ณ ห้วงเวลาวิกฤติขณะนั้น ญาติผู้ป่วยซึ่งกำลังร้อนใจและล้วนไม่มีพื้นฐานความรู้ทางด้านการแพทย์มาก่อนแม้แต่น้อย ย่อมไม่มีความสามารถที่จะต่อรองได้เลย

พวกเขามีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือยอมรับหรือไม่ก็ปฏิเสธไปเลย ซึ่งถ้าเลือกทางหลัง พวกเขาอาจจะต้องรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาเดินทางที่ต้องไกลออกไปและในระหว่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่พึงปรารถณาขึ้นกับคนไข้ ในขณะที่ราคาซึ่งจะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลอื่นก็อาจจะพอๆ กัน (หรือไม่อย่างไร ไม่อาจรู้ได้ เพราะราคาค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเหมือนกับราคาก๋วยเตี๋ยวหรือราคาสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือซูปเปอร์มาร์เก็ตที่ผู้ขายต้องติดป้ายให้ทราบเป็นแบบเปิดเผยโดยทั่วกันตามกฎหมาย) ฯลฯ

คำพังเพยที่ว่า "ไปตายเอาดาบหน้า" มันช่างผ่าลงตรงกลางใจและก่อให้เกิดความหดหู่ได้จริงๆ ในสถานการณ์เช่นนั้น หากพวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

พวกเขาไม่เคยซาบซึ้งวลีดังกล่าวมาก่อนเฉกเช่นนี้เลยในชีวิตจนกว่าค่ำคืนนั้น!

จะเห็นว่าระหว่างโรงพยาบาลกับคนไข้หรือผู้ใช้บริการนั้น ฝ่ายหลังย่อมเสียเปรียบได้ง่ายๆ

ในทางเศรษฐศาสตร์เราเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า "ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงข้อมูลหรือการรับรู้" (Asymmetry of Information) ซึ่งจะนำไปสู่การได้เปรียบของฝ่ายหนึ่ง (ในกรณีนี้คือผู้ให้บริการหรือผู้ขายหรือโรงพยาบาล) และเสียเปรียบของอีกฝ่ายหนึ่ง (ในกรณีนี้คือผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการหรือคนไข้) ทั้งในแง่การตั้งราคาแบบไม่เป็นธรรม หรือตั้งราคาตามใจชอบ แบบแต่ละคน ทีละคน ไม่เท่ากัน (Discriminatory Pricing) และการผูกขาดตัดตอน

ในสังคมไทย เรามักได้ยินคำพูดของหมอหรือพยาบาลที่ชอบพูดแบบทีเล่นทีจริงว่า "สำหรับเด็กๆ นั้น พ่อแม่พูด บางทีก็ไม่เชื่อ ต้องให้คุณครูพูดเด็กถึงจะเชื่อ แต่สำหรับคนแก่ ไม่ว่าจะดื้อขนาดไหน ถ้าหมอพูดก็มักจะทำตาม"

คนส่วนใหญ่เชื่อหมอ

คนไข้ยิ่งเชื่อหมอ

ดังนั้นถ้าหมอกลายเป็นพ่อค้าเสียเอง คนไข้ย่อมลำบาก

สถานการณ์ในเมืองไทยขณะนี้ หมอโรงพยาบาลเอกชน ได้กลายเป็นพ่อค้าไปเสียแล้ว หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือได้กลายเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการค้าเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด หรือเพื่อ Maximize Shareholder Value ไปเสียแล้ว 

เพราะโรงพยาบาลเอกชนสำคัญๆ ล้วนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งต้องดูแลราคาหุ้นให้ผู้ถือหุ้นพอใจ เพราะต้องเพิ่มทุน ต้องระดมเงิน ต้องเอาเงินของคนอื่นมาใช้ เพื่อลงทุนเพิ่ม ขยายกิจการ เข้าซื้อหรือ Takeover โรงพยาบาลอื่นด้วยเงินสดหรือการแลกหุ้นซึ่งกันและกัน หรือควบกิจการเข้าด้วยกันกับกลุ่มอื่นแล้วแบ่งกันถือหุ้นคนละครึ่งหรือตามสัดส่วนที่ตกลงกัน (Mergers) เพื่อผูกขาดรวบอำนาจธุรกิจไว้ในกลุ่มตน และที่สำคัญคือต้องจ่ายเงินปันผล หรือต้องสร้างอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรอยู่ตลอดเวลาทุกไตรมาส ต้องเทียบไตรมาสนี้กับไตรมาสที่ผ่านมา ต้องเทียบไตรมาสนี้กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ต้องบริหารให้มันเพิ่มขึ้นเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซนต์ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นพอใจและแสดงถึงศักยภาพของธุรกิจ และหุ้นก็จะเป็นที่นิยมของนักลงทุน โดยราคาหุ้นจะเติบโตยิ่งๆ ขึ้น ตามศักยภาพของกิจการและความนิยมของนักลงทุนดังว่านั้นแล ฯลฯ

เมื่อย่างเท้าเข้าโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันนี้ ผู้ป่วยจะไม่สามารถล่วงรู้หรือประมาณการณ์ได้เลยว่ามันจะจบลงอย่างไรและด้วยราคาเท่าไหร่

เสมือนหนึ่งผู้ป่วยหรือญาติต้อง "เซ็นเช็คเปล่า" ให้หมอไว้เติมตัวเลขเอาเอง

ระหว่างนั้น หมอจะสั่งให้ผู้ป่วยต้องทำโน่นนี่นั่น X-Ray, MRI, CT Scan, CAT Scan, ECHO, Ultrasound, ตรวจเลือด, ตรวจห้องปฏิบัติการ, ฉีดสี,......เสร็จแล้วก็กลับมา X-Ray, MRI, CT Scan, ECHO, Ultrasound, ตรวจห้องปฏิบัติการ อีกครั้งในวันถัดไป หรือตามที่หมอวินิจฉัยแล้วว่ามีความจำเป็น...เสร็จแล้วก็จะส่งคนไข้ต่อไปให้กับหมอเฉพาะทางคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับอาการหรือกลุ่มอาการ แล้วหมอคนที่สองอาจสั่งให้กลับมาทำ X-Ray, MRI, CT, ECHO หรือฯลฯ ซ้ำอีกรอบ...แล้วอาจต้องส่งต่อไปให้กับหมอเฉพาะทางคนที่ 3, 4, 5....ตามความจำเป็น

ทั้งหมดนี้ คงไม่มีผู้ป่วยหรือญาติคนไหนจะมีกะจิตกะใจหรือกล้าลุกขึ้นมาต่อรอง เพราะความรู้ความเชี่ยวชาญและข้อมูลที่พวกเขามี ตลอดจนอำนาจต่อรอง ล้วนด้อยกว่าหมอและโรงพยาบาล ณ ขณะนั้น

ยิ่งการจะนำคนไข้ออกจากโรงพยาบาลยิ่งนับเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ เพราะต้องต่อรองกับหมอซึ่งจะพล่ามถึงความเสี่ยงต่างๆ บางทีถึงกับฉายภาพ Worst Case Scenario ให้เกิดความกลัว แต่ถ้ามุ่งมั่นจะออกจริงๆ ก็ต้องเซ็นเอกสารยินยอมเพื่อให้หมอและโรงพยาบาลพ้นมลทินทั้งปวงในกรณีคนไข้เป็นอะไรไปหลังจากนั้น ตรงข้ามกับพฤติกรรมของโรงพยาบาลรัฐบาล ที่เมื่อคนไข้ทรงๆ หรือดีขึ้นบ้างแล้ว เป็นต้องไล่ให้คนไข้กลับบ้านให้เร็วที่สุด

วิถีธุรกิจแบบนี้ (ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว) ทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ ญาติผู้ป่วยบางรายถึงกับต้องกู้หนี้ยืมสินหรือบ้างก็หมดตัว ทั้งๆ ที่บางครั้งการรักษานั้นก็ไม่หาย จนมีคำพูดเป็นแนวเสียดสีว่า "คนตายขายคนเป็น"

ยิ่งเดี๋ยวนี้กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ได้ควบกิจการเข้าด้วยกัน ทำให้เครือโรงพยาบาลเอกชนสำคัญๆ ทั้งโรงพยาบาลกรุงเทพฯ สมิติเวช พญาไท เปาโลฯ บีเอ็นเอช รอยัลอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีโรงพยาบาลกว่าสี่สิบแห่งทั่วประเทศ ตกไปอยู่กับกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม

การผูกขาดนี้ยิ่งจะทำให้ต้นทุนรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นไปอีกในอนาคต โดยการคิดราคาจะยิ่งกลายเป็น "Discriminatory Pricing” เต็บรูปแบบ คือคิดราคาสำหรับคนไข้แต่ละคน ทีละคน ไม่เท่ากัน...

เราคงสามารถฟันธงได้ตรงนี้เลยว่าคนชั้นกลางจะยิ่งลำบากขึ้นในอนาคต เพราะจะถูกกำหนดราคาแบบเอาแต่ได้โดยกลุ่มผูกขาดนี้ เพราะคนรวยย่อมไม่กระทบ และคนจนก็สามารถเข้าสู่ระบบการประกันสุขภาพทั่วหน้าของรัฐบาล

การแก้ไขปัญหานี้ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลและการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคที่จะกดดันให้โรงพยาบาลต้องแสดงราคาของทุกบริการอย่างโปร่งใส เหมือนกับสินค้าที่วางขายในห้างฯ หรือซูเปอร์มาร์เก็ต มิใช่แสดงแต่ราคาค่าห้องแต่เพียงอย่างเดียว (ซึ่งปัจจุบันราคาค่าห้องนั้น คิดเป็นสัดส่วนน้อยมากของค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลรวม)

นั่นจะช่วยให้ผู้ใช้บริการรับทราบราคาและทำการคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ได้ก่อนตัดสินใจรักษา ว่าบริการแต่ละชนิดราคาเท่าไหร่ และเมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ แล้วเป็นยังไง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้ดีขึ้นและมีอำนาจต่อรองสูงขึ้น โดยสามารถเลือกไปใช้บริการกับโรงพยาบาลที่ตั้งราคาสอดคล้องกับกำลังทรัพย์ของเขาได้ด้วย

นอกจากนั้น ยังต้องหันกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องของการเพิ่มจำนวนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ทั้งโดยการอนุญาตให้มหาวิทยาลัยเอกชนผลิตแพทย์อย่างจริงจัง และสมาคมวิชาชีพแพทย์ก็ต้องไม่กีดกันแพทย์ต่างประเทศ หรือแพทย์ไทยที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่ม Supply ให้มากขึ้น โดยพร้อมกันนั้น ต้องปรับปรุงระบบการบริการของสถานพยาบาลของรัฐให้เพียงพอ ไม่รอคิว สะอาด รวดเร็ว และสะดวกสบาย ให้ยิ่งกว่านี้ ยิ่งเหนือกว่าสถานพยาบาลของเอกชนได้ยิ่งดี

ปัจจุบันรัฐบาลต้อง Subsidize นักศึกษาแพทย์คิดเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาทต่อคนจนจบหลักสูตร โดยเมื่อพวกเขาเหล่านั้นจบออกมาไม่นาน ก็มักถูกโรงพยาบาลเอกชนซื้อตัวไป นับเป็นการใช้เงินภาษีจากราษฎรไปสนับสนุนให้โรงพยาบาลเอกชนได้เปรียบ สามารถใช้ทรัพยากรที่สังคมช่วยอุ้มชูให้โดยตัวเองไม่ต้องแบกต้นทุน ให้กลายมาเป็นจักรกลสำคัญในกระบวนการธุรกิจที่จะกลับมาขูดรีดเอากับราษฎรอีกทอดหนึ่ง

คิดๆ ดูแล้วก็น่าเจ็บใจ

เทคโนโลยีสมัยใหม่บางอย่างอาจช่วยเก็บข้อมูลเบื้องต้นได้บ้าง ตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ของ FitBit ที่ช่วยสกรีนขั้นต้นให้ผู้ป่วยได้รู้ตัวตนตลอดว่าถึงจุดไหนควรไปพบแพทย์ ไม่ใช่เป็นอะไรนิดหน่อยก็ต้องไปโรงพยาบาล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะเก็บข้อมูลที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นค่าของหัวใจ น้ำตาล ความดัน ฯลฯ ซึ่งอาจช่วยลดความจำเป็นที่จะต้อง X-ray, หรือ CT Scan, หรือ MRI, หรือ ECHO ลง เป็นการช่วยลดต้นทุนการรักษาพยาบาล เพราะการเข้าเครื่องพวกนั้นในปัจจุบัน ต้องเสียเงินหลายหมึ่นบาทต่อครั้ง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะต้องร่วมเฉลี่ยต้นทุนค่าเครื่องจักร (Amortization) หรือช่วยจ่ายค่าเครื่องมือเหล่านั้น ซึ่งผู้ผลิตต่างประเทศขายมาในราคาแพงมาก ไม่ว่าของ GE หรือ Siemens คิดเป็นเงินเครื่องละหลายล้านบาท บางเครื่องหลายสิบล้านก็มี

ทางที่ดีที่สุด พวกเราต้องรู้จักดูแลตัวเอง หาความรู้ทางด้านโภชนาการ หลีกเลี่ยงการกินดื่มอะไรที่เป็นภัยต่อร่างกาย โดยต้องรู้จักตัวเองให้ดี รู้จักวิธีการบำรุงรักษาตัวเองเบื้องตน แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าโรงพยาบาล ก็จะต้องรู้จักต่อรอง ไม่ปล่อยให้การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ในมือหมอฝ่ายเดียว

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 ก.ค. 2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ส.ค. 2557
ภาพประกอบ: เบลล่า ราณี และ เจมส์ จิ (จาก www.sabysabynew.blogspot.com)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น