ผมเติบโตขึ้นมาในยุค
"สงครามเย็น"
และทันเห็นกับตาว่ากำแพงเบอร์ลินถูกโค่นและสหภาพโซเวียตล่มสลายและจีนกลับลำแบบ
180 องศา
จนสามารถวิ่งไล่กวดฝรั่งชนิดเขย่งก้าวกระโดด
แบบว่าอะไรๆ
ที่ฝรั่งใช้เวลาสะสมและสร้างให้สมบูรณ์นานถึงร้อยสองร้อยหรือสามร้อยปี
แต่จีนใช้วิทยายุทธ์ย่นย่อให้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียง
30
กว่าปีเท่านั้นเอง
โดยจีนใช้วิธีทุ่มซื้อความเจริญสำเร็จรูปแทบทุกอย่างที่ฝรั่งพัฒนาจนเป็นแบบแผนล่าสุดแล้ว
สมัยที่ผมเริ่มเรียน
ร.ด.
(รักษาดินแดน)
นั้น
ไซ่ง่อนเพิ่งแตกได้ไม่เกิน
4 ปี
และกองทัพเวียดนามเพิ่งจะบุกเขมรไปหมาดๆ ผมยังจำได้อย่างแม่นยำถึงเช้าวันหนึ่งที่ผมดันไปเดินข้ามปืนยาวที่นอนเรียงเอาไว้ในขณะพักพล
ทำให้ครูฝึกเดือดขึ้นมาอย่างแรง
และปรี่เข้ามาเตะผมจนผมล้มลงและยังรุกเข้ามาเตะอีกเป็นชุดในขณะที่ผมกระเถิบตัวถอยหนีและเอาฝ่าเท้ากันลูกเตะไปพลาง
“....(ป้าป!)...ต้องมีวินัย
จำไส่กะโหลกไว้...(ป้าป
ป้าป!)...มึงเห็นภูเขารอบๆ
นี้ไหม (ป้าป!)...ไอ้แกวมันล้อมมึงไว้หมดแล้ว
(ป้าป!
ป้าป!
ป้าป!)....มึงยังมาทำเล่นอีกเหรอ...(ป้าป!
ป้าป!)....ไอ้แกวไอ้เกี๊ยบมันกำลังจะบุกมึงอยู่แล้ว...(ป้าป!)....”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยิน
Analysis
แบบนี้
เพราะสมัยนั้น
ความเกลียดกลัวคอมมิวนิสต์และเวียดนามยังมีอยู่มาก
ดังที่ท่านทูต อนุสนธิ์
ชินวรรโณ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงฮานอย
ย้อนรำลึกให้ผมฟังเมื่อไม่นานมานี้ว่า
"สมัยโน้น
คอมมิวนิสต์ใหญ่เบอร์หนึ่งที่พวกเราเกลียดกลัวกันมากคือเมาเซตุง
และเบอร์สองคือโฮจิมินห์"
ผมมาคิดได้ทีหลังว่าเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็น
"เวียดเกี่ยว"
หรือ
Oversea
Vietnamese และเรียน
ร.ด.
อยู่ด้วยกัน
เขาคงกล้ำกลืนฝืนทนมาก
เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคุยกับผมแบบ
Private
ว่าพ่อแม่เขาได้ส่งเงินไปช่วยเวียดกงเพื่อรบกับอเมริกันและบอกว่าเขาได้ดูหนังที่กองทัพเวียดนามเหนือเอาชนะกองทัพอเมริกัน
โดยเล่าด้วยความภูมิใจมาก
และผมก็มารู้ทีหลังอีกว่า
"ไอ้เกี๊ยบ"
ที่ครูฝึกคนนั้นพูดถึงในขณะที่กำลังระดมแจกลูกเตะให้ผม
ก็คือนายพล "หวอเหวียนย๊าป"
นักการทหารนามอุโฆษ
มือขวาด้านการทหารของโฮจิมินห์
และอดีตผู้บัญชาการกองทัพประชาชนเวียดนามและวีรบุรุษสงครามของเวียดนามตลอดกาล
ผู้พิชิตฝรั่งเศสในสมรภูมิเดียนเบียนฟูและรบชนะอเมริกันจนยึดเวียดนามใต้และรวมประเทศได้สำเร็จ
และเพิ่งเสียชีวิตลงหมาดๆ
ด้วยวัย 102
ปี...เพราะคนไทยในขณะนั้นรู้จักท่านแม่ทัพในนาม
"โววันเกี๊ยบ"
วีรกรรมของนายพลย๊าปมีคนเขียนไว้แยะแล้ว
ในหนังสือหลายเล่มของท่าน
ท่านก็ได้เขียนไว้เองด้วย
และมีแปลเป็นภาษาอังกฤษและวางขายทั่วไปตามแหล่งท่องเที่ยวของเวียดนาม
โดยสำนวนเป็นแบบอ่านง่าย
เพราะท่านนายพลเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์และครูสอนประวัติศาสตร์มาก่อน
ในภาคภาษาไทยก็มีหนังสือของคุณศุขปรีดา
พนมยงค์ ลูกชายของ ดร.ปรีดี
ที่เข้าออกบ้านของท่านแม่ทัพได้
และมีโอกาสได้สัมภาษณ์ท่านแม่ทัพไว้หลายครั้งก่อนที่ผู้เขียนจะเสียชีวิตอีกด้วย
ท่านเขียนไว้ใน
Memoir
of Wars: Dien Bien Phu ว่า
ที่ตัดสินใจเขียนหนังสือก็เพราะได้แรงบันดาลใจจากวันที่ท่านไปตรวจค่ายทหารฝรั่งเศส
ณ สมรภูมิเดียนเบียนฟู
(หรือที่ไทยเรียกว่า
"เมืองแถน")
หลังจากพิชิตได้แล้ว
และท่านเห็นอะไรต่อมิอะไร
ทั้งศพทหาร เลือดที่หลั่งจนผืนดินแดงกลายเป็นคล้ำ
และปึกจดหมายถึงครอบครับของบรรดานายทหารฝรั่งเศสที่ยังเขียนไม่จบ
โดยท่านอยากให้โลกรู้ว่ากองทัพของชาติด้อยพัฒนาก็สามารถเอาชนะกองทัพแห่งจักรวรรดินิยมอันยิ่งใหญ่ได้
ผู้อ่านหลายท่านคงรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพบัญชาการให้ค่อยๆ
ลำเลียงสรรพาวุธและเสบียงโดยอาศัยจักรยานต่างของหลายหมึ่นคันและแพและหาบเร่และรถสามล้อเข็นโครงไม้ไผ่ที่ต่อขึ้นแบบง่ายๆ
อีกกว่าหมึ่น โดยปืนใหญ่ต้องถูกถอดออกเป็นชิ้นๆ
และใช้กองลำเลียงกว่าสองแสนคน
แม่ทัพฝรั่งเศสไม่คิดว่าเวียดนามจะบุกขึ้นมาได้
เพราะชัยภูมิล้อมรอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนและป่าทึบ
แต่นายพลย๊าปยึดเอาคำของนโปเลียน
ฮีโร่ในดวงใจท่าน ที่ว่า
"ถ้าแพะผ่านได้
คนก็ต้องผ่านไปได้ และถ้าคนผ่านไปได้
กองทหารย่อมผ่านไปได้เช่นกัน"
ที่สำคัญ
ท่านอ่านใจคู่ต่อสู้ขาด
เพราะท่านรู้ภาษาฝรั่งเศสดีและเข้าใจวัฒนธรรมฝรั่งเศสอย่างลึกซึ้ง
ท่านว่าบรรดาทหารฝรั่งเศสนั้น
แม้ว่าจะได้รับการฝึกมาดี
จบจากโรงเรียนทหารที่มีชื่อเสียง
และระเบียบวินัยเข้มงวด
แต่มันไม่มีอุดมการณ์อันแน่วแน่
พวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ
บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมารบถึงแดนอาณานิคมอันไกลโพ้นและลำบากเช่นนี้...ทำไปเพื่ออันใดกัน
ต่างกับชาวเวียดนามที่มีเจตนารมณ์ชัดเจน
มีเป้าหมายและเข็มมุ่งอันแน่วแน่
คือต้องการอิสระภาพและเสรีภาพอย่างแรงกล้า
ต้องการปลดปล่อยแอกอันหนักอึ้งของเจ้าอาณานิคม
ความคิดอันนี้แหละที่ผู้นำเวียดกงใช้เป็นตัวกระตุ้นแรงรักชาติในตัวคนเวียดนามให้ลุกขึ้นสู้กับฝรั่งทั้งฝรั่งเศสและอเมริกัน
แม้จะต้องลำบากเข็นใจและสูญเสียเพียงใดก็ตาม
ลองฟังสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโฮจิมินห์
เมื่อวันที่ 2
กันยายน
1945 ณ
จตุรัสบ่าดิ่นห์
ตอนขึ้นไปประกาศเอกราชของชาติต่อหน้ามหาชน
ก็สามารถพิสูจน์ชัดในข้อนี้
ดังตัวอย่างของความตอนหนึ่งว่า
“ฝรั่งเศสได้หนีไปแล้ว
ญี่ปุ่นก็ยอมจำนน
จักรพรรดิบ๋าวได่ก็สละราชบัลลังก์แล้ว
ประชาชนของเราได้ตัดพันธะซึ่งผูกมัดพวกเขามาเกือบศตวรรษ
และได้ช่วงชิงเอกราชให้แก่เวียดนาม.....เวียดนามมีสิทธิที่จะได้รับเสรีภาพและอิสรภาพ
และได้เป็นประเทศอิสระและเสรีแล้วจริงๆ
ชาวเวียดนามมุ่งจะใช้กำลังกายและกำลังปัญญาทั้งหมด
และสละชีพและทรัพย์สินเพื่อรักษาอิสรภาพและเสรีภาพไว้"
(รูป: เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากนิตยสาร Way)
ความคิดและเจตนารมณ์หรือจิตใจอันแน่วแน่แบบเดียวกันนี้แหละ
ที่ทำให้ขบวนการนักศึกษาประชาชนไทยเอาชนะเผด็จการทหารในการลุกขึ้นสู้ครั้งสำคัญ
เมื่อวันที่ 14
ตุลาคม
2516
เสกสรรค์
ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาในขณะนั้น
ได้หวลวิเคราะห์ทบทวนในหนหลังและให้เครดิตกับ
"จิตใจอันแน่วแน่"
ว่าเป็นปัจจัยชี้ขาดแห่งชัยชนะ
เขาได้กล่าวไว้ในงานรำลึก
40 ปี
14 ตุลาฯ
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า
"ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ท่ามกลางผู้รักประชาธิปไตยทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า
และยิ่งยินดีเป็นพิเศษที่ได้พบปะกับมิตรสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่
เมื่อ 40
ปีก่อนในวันเวลาเดียวกันนี้
คนหนุ่มสาวแห่งยุคสมัยได้พร้อมใจกันเคลื่อนกำลังออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ร่วมกับมวลมหาประชาชนประกาศตนไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ
มันเป็นการต่อสู้อันมีชีวิตเป็นเดิมพัน
เพราะฝ่ายหนึ่งกุมอำนาจรัฐด้วยอำนาจกระบอกปืน
ขณะที่ฝ่ายเรามีสองมือเปล่าและหัวใจเปี่ยมความฝัน
ชัยชนะในครั้งนั้นสอนเราว่าเจตนารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ว่าในชีวิตของคนคนหนึ่งหรือการเติบโตของประชาชาติหนึ่ง
เจตจำนงแน่วแน่เป็นเรื่องสำคัญโดยตัวมันเอง
โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนเรือนแสนเรือนล้านที่ผนึกกันเป็นหนึ่งเดียว....”
และยังต่อด้วยประโยคอันงดงาม
ที่เน้นย้ำในเรื่องเดียวกันอีกครั้ง
หลังจากนักศึกษาประชาชนจำนวนหนึ่งหันไปก่อสงครามกลางเมือง
โดยเข้าป่าจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลในขณะนั้นว่า
"...อันที่จริงสงครามไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของผู้ใด
เนื่องจากมันคือกองไฟที่อาศัยชีวิตมนุษย์เป็นฟ่อนฟืน
กระนั้นก็ตาม
เมื่อต้องเลือกระหว่างการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อกับการยอมจำนนกับการกดขี่ข่มเหง
ก็คงมีน้อยคนนักที่จะเลือกชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี..."
คำพูดของเสกสรรค์ช่วยให้เราคนไทยเข้าใจภาวะจิตของคนเวียดนามในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นการ "เอาใจเราไปใส่ใจเขา"
หรือ
"เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
มันก็เหมือนกันเด๊ะ
จิตใจของชาวเวียดนามตอนนั้นก็อยู่ในภาวะที่
“เหลืออด”
จากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยผู้ปกครองที่เป็นเจ้าอาณานิคมคล้ายๆ
กันนี้แหละ
พันปีภายใต้จีน
และอีกเกือบร้อยปีภายใต้ฝรั่งเศส
ดังนั้นเมื่ออเมริกันทำท่าจะเข้ามาอีก
ด้วยการยุแยงให้คนเวียดนามเข่นฆ่ากันเอง
และขัดขวางเหนี่ยวรั้งไม่ให้เวียดนามเหนือใต้ได้รวมกันและปกครองตัวเองอย่างมีอิสระด้วยแล้ว
พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้
และเป็นการลุกขึ้นสู้อย่างมีเป้าหมาย
อย่างมีเข็มมุ่ง
หรืออย่างมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่
เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระภาพและเสรีภาพนั่นเอง
สงครามเวียดนามสำหรับพวกเขาจึงเป็นสงครามที่ต้องทุ่มสุดตัว
ต่างกับฝ่ายอเมริกันที่บางทีก็ยังเบลอๆ
อยู่ว่า ตัวเองพากันมายังดินแดนอันไกลโพ้นที่มีแต่ป่าดิบ
ฝน หนองน้ำ ทุ่งนา โคลน และแมลง
และต้องตกระกำลำบาก
และต้องฆ่าแกงชาวเวียดนามไปเพื่ออะไรกัน....
ด้วยที่ต้องผ่านประวัติศาสตร์กันมาแบบนี้กระมังที่ทำให้นิสัยคนเวียดนามในเชิงลึกนั้นยากจะไว้ใจคนอื่น
โดยเฉพาะคนต่างชาติ
ประวัติศาสตร์ของคนเวียดนามเป็นประวัติศาสตร์ของการถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบและการลุกขึ้นสู้และการปลดปล่อย
เป็นประวัติศาสตร์ที่กลัวว่าเดี๋ยวจะมาหลอก
จะมาเอาเปรียบ จะมากดตัวเองลงเป็นเบี้ยล่าง
จะมายุให้พี่น้องแตกแยกและฆ่าฟันกันเอง
จะมาหลอกใช้
เหมือนกับที่เคยเจอมาแล้วในรอบพันกว่าปี
(อนุสนธิ์ ชินวรรโณ กับ ผู้เขียน ที่สถานทูตฯ)
จุดนี้เป็นจุดสำคัญและไม่ควรมองข้าม
เมื่อเราต้องพิจารณายุทธศาสตร์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หรือการร่วมมือในระดับภูมิภาคอย่าง
AEC
หรือการร่วมทุนและหุ้นส่วนในระดับเอกชนและวิสาหกิจ
หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมงานในระดับองค์กรและปัจเจกบุคคล
ท่านผู้อ่านเคยรู้บ้างไหมว่านักธุรกิจใหญ่ของเราหลายคน
ในอดีตก็เคย "ล้มเหลว"
และ "เข็ด"
กันมาแล้วที่เวียดนาม
และนับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศมานี้
กิจการร่วมทุนระหว่างเวียดนามกับฝรั่งหรือกับญี่ปุ่นหรือกับใครๆ
ก็มักจะฝ่อไปด้วยความระหองระแหงเช่นเดียวกัน
ผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนิสัยที่ยากจะไว้ใจและวางใจคนต่างชาตินี้เอง
ที่ทำให้กิจการร่วมทุน
ทั้งในเชิงของ Equity
Participation, Joint Venture, หรือ
Mergers &
Acquisitions
ระหว่างคนเวียดนามฝ่ายหนึ่งกับคนต่างชาติอีกฝ่ายหนึ่งมักล้มเหลว
นั่นทำให้ผมนึกถึง
“Fish
Can't See Water: How National Cultures Can Make or Break Your
Corporate Strategy” หนังสือเล่มใหม่ของ
Kai Hammerich
และ Richard
Lewis ที่แสดงให้เห็นอย่างค่อนข้างละเอียดว่า
Walmart
ล้มเหลวไม่เป็นท่าอย่างไรบ้างในเยอรมนี
ก่อนจะขยับตัวไปกับท่วงทำนองของ
AEC
ผมอยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาอย่างท่องแท้ถึงนิสัยใจคอของเพื่อนบ้านแต่ละชาติ
ว่ามีข้อไหนบ้างที่จะเกื้อกูลหรือเหนี่ยวรั้งมิตรภาพและความสำเร็จของเราในอนาคต
ทักษ์ศิล
ฉัตรแก้ว
15
ตุลาคม
2556
คลิกอ่านบทความชุด AEC เพิ่มเติมได้จากลิงก์ข้างล่างนี้:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น