วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Private Equity “ห่วงโซ่อาหาร” ข้อต้นๆ


ข้อเขียนชุด "แนะนำ Blog การเงิน" ลำดับที่ 6


ตอนที่ประธานาธิบดีบุชผู้พ่อมาปรากฎตัวที่บ้านฝั่งธนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนที่เขาจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่นานนั้น David Rubenstein ก็อยู่ในคณะของบุชด้วยคนหนึ่ง นายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Carlyle Group บริษัทที่ทรงอิทธิพลของโลก เป้าหมายของเขาคือการชักชวนให้ทักษิิณและครอบครัวนำเงินไปลงทุนร่วมกับกองทุนของเขานั่นเอง โดยกองทุนทั้งหมดของเขาเลือกเอาแต่เงินของมหาเศรษฐีและผู้ทรงอิทธิพลของโลกเท่านั้น...รายย่อยรายกลางอย่าหวัง

กิจการแบบ Carlyle นี้ เรียกเป็นภาษาในวงการเงินว่า Private Equity Firm คือเป็นกองทุนรวมชนิดหนึ่ง ที่มิใช่ Mutual Fund, Unit Trust, หรือ Venture Capital Fund ที่ี่เราคุ้นเคย

กองทุนเหล่านี้ เน้นระดมเงินทุนจากมหาเศรษฐีแล้วนำไปลงทุนฮุบกิจการ (ด้วยการกู้หนี้ยืมสินเสียเป็นส่วนใหญ่) แล้วก็ไปจ้างนักบริหารมืออาชีพมาบริหารจัดการ ตัดค่าใช้จ่าย ขายโน่นขายนี่ทิ้งไปบ้าง หรือเอาอันโน้นมาผสมอันนี้ โปะไปโปะมาใน Portfolio ของตัวเอง ฯลฯ แล้วในที่สุดเมื่อผลประกอบการดีขึ้นแล้ว ก็มักจะขายทิ้งไปเพื่อทำกำไร แล้วค่อยนำกำไรมาจ่ายปันผลให้มหาเศรษฐีผู้ถือหน่วยลงทุนอีกทอดหนึ่ง เป็นอันสิ้นสุดวงจร Investment

กองทุนแบบนี้จึงมักเป็นแหล่งรวมของนักบริหารมืออาชีพ คอยเข้าไป Run กิจการที่ซื้อเข้ามาใน Portfolio เพื่อ Turnaround ให้เกิดกำไร

Lou Gerstner อดีตซีอีโอที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการพลิกฟื้น IBM ให้กลับมายิ่งใหญ่ ก็เข้าร่วมกับ Carlyle Group หลังเกษียณจาก IBM

โดยปกติ Private Equity Firm จะคิดค่าธรรมเนียมการบริหาร 2% ต่อปี และหักส่วนแบ่งกำไรอีก 20% เมื่อการลงทุนมีกำไร แต่ถ้าขาดทุนก็คิดเฉพาะค่าธรรมเนียม...ดูแล้วก็มีแต่ได้กับได้


กองทุนประเภทนี้ สมัยก่อนเรียกว่า LBO Firm ย่อมาจาก Leverage Buy-Out เพราะมักเข้าฮุบกิจการผู้อื่นด้วยการก่อหนี้ (เพื่อให้ส่วนที่จะต้องลงทุนจริงน้อย ทำให้ผลตอบแทนสูง) และมีขอบข่ายการลงทุนทั่วโลก

พวกที่บุกเบิกกิจการประเภทนี้ก็มีเช่น KKR (www.kkr.com) และ Blackstone Group (www.blackstone.com) เป็นต้น กิจการเหล่านี้บริหารเงินลงทุนกว่า 50,000 ล้านเหรียญฯ ต่อราย และเคยทำสถิติเข้าฮุบกิจการสูงสุดถึง 48,800 ล้านเหรียญฯ ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของ GDP ประเทศไทย นับว่าสูงมากสำหรับเข้าซื้อกิจการเพียงครั้งเดียว

เจ้าของกิจการเหล่านี้ล้วนเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นชาวยิว อีกทั้งยังทรงอิทธิพลมากใน Wall Street อย่างเรื่องราวของ KKR ก็เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลิวู๊ดมาแล้วในเรื่อง Babarian at the Gate

แน่นอน Private Equity Firm ย่อมเป็นเป้าหมายของบรรดา MBA หัวไบรท์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งหลายด้วย

ผู้อ่านที่สนใจเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง Blogger ใคร่ขอแนะนำ Lecture ที่ Yale ของ Stephen Schwarzman มหาเศรษฐียิว ผู้ร่วมก่อตั้ง Blackstone Group (คนนี้เคยมาพบสนธิ ลิ้มทองกุลที่เมืองไทยเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว)


ว่าแล้วคลิกไปที่ http://openmedia.yale.edu/projects/media_viewer/video_viewer2.php?window_size=medium&type=flv&title=ECON%20252%20-%20Lecture%2020%20-%20Prof.%20Robert%20Shiller&path=%2Fcourses%2Fspring08%2Fecon252%2Fflash%2Fecon252_20_041108

แล้วท่านจะรู้ว่าเงินพันล้านสำหรับคนเหล่านี้ มันช่างหามาได้ง่ายดายจังเลย

ข้อเขียนนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ ภายใต้นามปากกา Blogger

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น