วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

GEOENGINEERING มนุษย์ต้องท้าทายพระอาทิตย์เพื่อให้โลกเย็นลง




เมื่อพูดถึง "โลกร้อน" หรือ “Climate Change” หรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "พลังงาน" ในปัจจุบัน เรามักจะโฟกัสไปที่ "พลังงานทดแทน" บ้าง การลด "Carbon Footprint” บ้าง หรือไม่ก็ “Green Lifestyle” หรือ “Carbon-Free Living" หรือมาตรการอะไรก็ตามที่จะลดดีกรีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่หันมาใช้ "จักรยาน” “Electric Car” “Hybrid Car” “พลังงานลม" “ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์" “คลื่น" หรือ "พลังงานชีวมวล" หรือแม้กระทั่ง "CleanTech” “Waste Management” และ "Carbon-captured Refinery” หรือโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องจับคาร์บอนแล้วนำกลับไปเก็บไว้ใต้พื้นพิภพดังเดิม ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่และกำลังได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศที่เจริญแล้วหลายแห่ง

แต่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง "Geoengineering” หรือ "Climate Engineering” ที่กำลังอยู่ในขั้นวิจัยและทดลองในห้องแล็ป โดยมีแนวคิดว่ามนุษย์จำเป็นต้องใช้มาตรการแทรกแซงธรรมชาติโดยตรง เพื่อให้โลกเย็นลงหรือไม่ก็ต้องลดปริมาณของคาร์บอนในอากาศลง

อันที่จริงผมเคยพูดถึงประเด็นคล้ายๆ กันนี้มาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน โดยตอนนั้นเราได้เกริ่นให้ฟังถึงโครงการ HAARP ที่ย่อมาจาก High Frequency Active Auroral Research Program ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Star Wars ของประธานาธิบดีเรแกน เริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ในมลรัฐอลาสก้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพสหรัฐฯ ทำการสับประยุทธ์กลางห้วงหาว กับสหภาพโซเวียต เป็นสำคัญ

โดยตอนหลัง เมื่อมีข่าวว่าองค์การ NASA ของสหรัฐฯ จะขอเช่าพื้นที่อู่ตะเภา ก็มีนักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์หลายท่านหยิบยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตี โดยกลัวว่าสหรัฐฯ จะใช้อู่ตะเภาเป็นสถานีทดลองทางด้านฝนฟ้าอากาศ ตามแนวทางของโครงการดังกล่าว

สุดท้าย สหรัฐฯ ก็รามือไป และรัฐบาลไทยก็เลิกพูดเรื่องนี้อีก

อันที่จริง ความกลัวอันนั้นมันมีมูลอยู่ เพราะถ้าหากสหรัฐฯ มาใช้อู่ตะเภาเป็นฐานการทดลองแนวนี้จริง มันจะทำให้แผ่นดินไทยของเรา (ซึ่งมีอธิปไตยสมบูรณ์และเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ) กลายเป็นฐานทัพของสหรัฐฯ ไปโดยไม่ตั้งใจ

แต่มันจะเป็นฐานทัพในความหมายใหม่ มิใช่ฐานทัพแบบเดิมเหมือนในสมัยสงครามเวียดนาม ที่ยอมให้กองกำลังของสหรัฐฯ เข้ามาใช้เป็นฐานบินสำหรับบรรทุกระเบิดไปทิ้งในอินโดจีน แต่จะเป็นฐานทัพที่อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่อันก้าวหน้ามาก ในการสั่งฟ้า สั่งฝน ให้ไปทำร้ายศัตรู เหมือนในละครจักรๆ วงศ์ๆ นั่นแหละ

ผมเคยค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเขียนไว้ในฉบับเดือนมีนาคม 2553 ว่า

"จากเอกสารอ้างอิงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Air Force) ระบุว่า โครงการนี้จะใช้วิธี "ปลุกปั่น" "ปรับแต่ง" "ยักย้ายถ่ายเท" "ออกแบบ" หรือ "สถาปนาใหม่" ชั้นบรรยากาศของโลก (Ionospheric modifications) โดยจงใจปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วยน้ำมือมนุษย์ เพื่อหาทางทำลายคลื่นวิทยุตลอดจนสัญญาณเรด้าร์ของเหล่าปัจจามิตรทั้งมวล

ทั้งบล็อกการสื่อสารที่มาจากเครือข่ายดาวเทียมของศัตรู รบกวนระบบนำวิถีของหัวจรวดในชั้นบรรยากาศ และหาทางทำลายระบบสื่อสารระหว่างสถานีอวกาศและภาคพื้นของฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

ที่สำคัญ เทคนิคที่ใช้ในการนี้ มันสามารถทำให้ไฟดับทั้งเมืองได้ หรือรบกวนกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมายได้ หรือรบกวนท่อส่งน้ำมันและก๊าซ หรือแม้กระทั่งส่งกระแสความร้อนสูงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศเกิดช่องโหว่ และสารกัมตภาพรังสีที่อันตรายบางอย่าง เล็ดลอดผ่านชั้นบรรยากาศและท้องฟ้าลงมาสู่พื้นโลกได้

กล่าวโดยสรุปก็คือ โครงการนี้เป็น "อาวุธ" อย่างหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ นั่นเอง

เป็นอาวุธแบบใหม่ ที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธไฮเทคที่จะเอาไว้รบหรือป้องกัน Cyberspace แต่เป็นอาวุธนิเวศน์ หรือ Eco-Weapon ที่อาศัยเทคนิคการปรับเปลี่ยนระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติของโลก ทั้ง "ดิน น้ำ ลม ไฟ" ให้วิปริตผิดเพี้ยนไป เพื่อจงใจสร้างภัยพิบัติและผลอันไม่พึงปราถนาต่อศัตรู

ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่าง Michel Chossudovsky นักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนนาดา ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้เป็นอัตรายต่อโลกและมนุษย์ เป็นภัยคุกคามทั้งในเชิงภัยพิบัติและในเชิงสุขภาพ โดยเขาเรียกร้องให้บรรจุประเด็นนี้เข้าอยู่ในความสนใจของสหประชาชาติ และการประชุมสุดยอด Climate Summit ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

เขาต้องการให้สมาชิกสหประชาชาติกดดันสหรัฐฯ ให้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการฯ และส่งผู้แทนเข้าไปตรวจสอบ

นอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีคณะกรรมการระดับสูงของสหภาพยุโรปและรัฐบาลรัสเซีย ที่แสดงความจำนงแบบเดียวกัน

ทว่า ทั้งการประชุม Kyoto Protocol และ Copenhagen Climate Summit ที่เพิ่งผ่านไป หาได้มีเรื่องทำนองนี้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาระการประชุมไม่"

แน่นอน โครงการ HAARP เป็นการออกแบบอาวุธโดยการแทรกแซงชั้นบรรยากาศโดยตรง ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดเป็นความลับทางทหาร

ต่างกับโครงการ GEOENGINEERING หรือ CLIMATE ENGINEERING ในยุคหลังที่เรากำลังพูดถึงในบทความนี้ ซึ่งมีเป้าหมายลดโลกร้อน เพื่อแก้ปัญหา Global Warming ที่พวกเราทุกคนวิตกกันอยู่ ณ ขณะนี้

แน่นอน เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่ใช้ในการทดลองตามโครงการแบบหลังนี้ย่อมเป็นที่เปิดเผย และจำนวนมากเผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ตแล้ว เพียงแต่ว่าการลงมือทำจริงในระดับ Global Scale ที่จะให้มันได้ผลจริงจัง มันต้องได้รับฉันทามติจากทุกประเทศ เพราะการเข้าไปแทรกแซงชั้นบรรยากาศโดยตรง อาจก่อผลกระทบข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งการทดลองระดับนั้น จำต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งอาจต้องใช้วิธีลงขันระหว่างประเทศ มันจึงกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ค่อนข้างเกิดยาก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ยังมองว่าไม่เร่งด่วนและรอได้ ผิดกับเรื่องการก่อการร้ายระหว่างประเทศ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

กระนั้นก็ตาม เสียงเรียกร้องให้เอา GEOENGINEERING มาใช้ คงจะดังขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่อุณหภูมิของโลกยังเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง และนับวันผลอันไม่น่าพึงปรารถณาของมัน ยิ่งก่อความทุกข์แบบใหม่ๆ ให้เราได้เห็นและประสบพบพานมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ




ท้าทายพระอาทิตย์และเก็บขยะกลางห้วงหาว

หลักการง่ายๆ ของ GEOENGINEERING มีอยู่ 2 แนวทางด้วยกันคือ ลดการแผดเผาจากรัศมีของดวงอาทิตย์ และหาทางเก็บขยะคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ชักจะมีอยู่มากเกินขนาดในชั้นบรรยากาศแล้วเขี่ยมันลงถังผง ปิดผาให้สนิท โดยถังผงที่ว่าหมายถึงใต้ท้องมหาสมุทรและที่ใดที่หนึ่งใต้พื้นพิภพ...นำมันกลับไปกลบฝังไว้ตลอดกาล

ทั้งสองวิธีนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือหวังว่าโลกเราจะ "เย็นลง"

อันที่จริง พวกที่คิดจะท้าทายพระอาทิตย์ตามแนวทางแรกนั้น ได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ Pinatubo ที่ฟิลิปปินส์เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 นั่นเอง

คือเมื่อภูเขาไฟระเบิดเมื่อครั้งนั้น มันพ่นลาวาออกมาด้วยความเร็ว 600 ไมล์ต่อชั่วโมง และไหลท่วมท้นพื้นที่บริเวณกว้างถึง 250 ตารางไมล์ ที่สำคัญมันได้พ่นกลุ่มก๊าสและเถ้าภูเขาไฟออกมาอย่างคละคลุ้ง ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า และไม่นานก็แผ่ขยายไปบนชั้นบรรยากาศ Stratosphere ที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ วัดจากความสูงเหนือพื้นดินประมาณ 21 ไมล์

สามอาทิตย์หลังจากนั้น หมู่เมฆอันเนื่องมาแต่กลุ่มก๊าสและขี้เถ้าเหล่านั้นก็กระจัดพัดพรายไปทั่วท้องฟ้า ห่อหุ้มโลกทั้งโลก และมีอิทธิพลอยู่แบบนั้นต่อมาอีก 2 ปี จึงจะมลายหายไป

ที่นึกไม่ถึงคือกลุ่มก๊าสและขี้เถ้าเหล่านั้น (นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าประกอบด้วย Sulfur Dioxide ถึง 20 ล้านเมตริกตัน) เมื่อมันผสมเข้ากับละอองไอน้ำที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า มันกลับก่อให้เกิดปฏิกริยาคล้ายๆ กระจกเงาบานใหญ่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ ส่งผลให้รัศมีของดวงอาทิตย์ที่ส่องตรงมายังพื้นโลกสะท้อนกลับไปบนอวกาศ

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตลอดสองปีนั้น 2535-2536 แสงอาทิตย์ตกถึงพื้นโลกลดลงประมาณ 10% ส่งผลให้อุณภูมิของโลกในช่วงนั้นลดลงประมาณ 0.7 องศา

ไอเดียก็เลย “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที ว่าเราสามารถลดอุณหภูมิของโลกได้โดยลดรัศมีแผดเผาของดวงอาทิตย์ลง

ตามนี้เลย...โครงการ SPICE (Stratospheric Particle Injection for Climate Engineering) จึงเกิดขึ้นจากการร่วมมือของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ Bristol, Cambridge, และ Oxford

คนเหล่านี้ต้องการพ่นสารเคมีหรือ Particle ที่สะอาดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด (เขามองว่า Sulfur Dioxide มันมีส่วนทำลายชั้นบรรยากาศ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งของทีมย่อมต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ผลกระทบกับดินฟ้าอากาศที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย) ขึ้นไปในอากาศโดยหวังให้เกิดผลลัพธ์แบบภูเขาไฟระเบิดครั้งโน้น คือเกิดปฏิกิริยากระจกเงาและสะท้อนรัศมีของดวงอาทิตย์

พวกเขาคิดกันว่าจะใช้ท่อขนาดใหญ่ผูกติดกับบอลลูนยักษ์ดึงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศโดยอีกด้านหนึ่งผูกติดกับเรือขนาดใหญ่ไว้แล้วค่อยพ่นสารเคมีขึ้นไป โดยตอนแรกพวกเขากะจะทดลองปล่อยเคมีที่ความสูง 1 กม.ก่อน เมื่อสักปลายปีที่ผ่านมา แต่ถูกม็อบต่อต้านเสียก่อน รัฐบาลจึงขอให้พวกเราระงับการทดลองนั้นเสีย

ท่านผู้อ่านที่สนใจศึกษารายละเอียด แนะนำให้เปิดดูเว็บไซต์ของโครงการได้ที่ www2.eng.cam.ac.uk/~hemh/SPICE/SPICE.htm

นอกจาก SPICE แล้ว ยังมีไอเดียอื่นอีกหลายไอเดีย ซึ่งบางทีฟังแล้วก็ยังห่างไกลความเป็นจริง เช่นให้วางกระจกขนาดยักษ์บนพื้นทะเลทราย หรือส่งร่มขนาดยักษ์ขึ้นไปบนท้องฟ้า หรือสร้างเมฆเทียมขนาดยักษ์ด้วยการตีให้น้ำทะเลเป็นฟองแล้วพ่นมันขึ้นเป็นฝอยเหมือนกับน้ำพุยักษ์เพื่อให้ระเหยขึ้นเป็นเมฆ หรือสร้าง Sea Bubble ขนาดยักษ์กลางมหาสมุทรให้เป็นตัวสะท้อนแสงอาทิตย์ เป็นต้น (ผู้สนใจเพิ่มเติม แนะนำให้อ่านงานของ Russell Seitz แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)

ส่วนแนวทางที่สอง เป็นความคิดที่จะลดคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากอากาศลง โดยวิธีเก็บกวาดมันลงไปฝังไว้ใต้โลกหรือใต้มหาสมุทร (ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วมหาสมุทรและใต้พิภพก็ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว)

วิธีการที่หลายกลุ่มนำเสนอมีตั้งแต่เสนอให้ "กวน" มหาสมุทร โดยใช้ท่อพลาสติกขนาดใหญ่ ยาวสักแท่งละ 100 เมตร จำนวนล้านท่อ กวนให้น้ำทะเลที่บริสุทธิ์ใต้ท้องสมุทรหมุนเวียนขึ้นมาข้างบน (ใต้มหาสมุทรยังเย็นอยู่โดยมาก) และจับคาร์บอนไว้ในขณะที่น้ำบนผิวสมุทรเดิมที่หนักกว่าและกักคาร์บอนไว้ก่อนแล้ว จนลงสู่ก้นสมุทร (ผู้สนใจควรติดตามความคิดของ Nathan Myhrvold ที่ www.nathanmyhrvold.com/)

แม้กระทั่ง Silicon Valley ก็หันมาสนใจลงทุนในแนวนี้กันมากแล้ว อย่าง Global Thermostat ที่คิด Proprietary Technology ของสารเคลือบพื้นผิวที่พวกเขาเรียกว่า “AMINES” เอาไว้ทาลงบนพื้นผิวแล้วมันจะสามารถจับคาร์บอนในอากาศมาเก็บกักไว้ได้ โดยพวกเขาทดลองสร้างโครงข่ายคล้ายรังผึ้งขึ้นมาแล้วเคลือบแต่ละยวงไว้ด้วยสารชนิดนี้ โดยเมื่อแต่ละยวงเก็บคาร์บอนได้เต็มแล้วมันก็เคลื่อนลงแล้วมียวงใหม่มาแทน

พวกเขายังจะสามารถ Make Money ได้ด้วยการนำเอาคาร์บอนไปใช้ในกิจการอุตสาหกรรม เช่น น้ำอัดลม เบียร์ อาหารกระป๋อง เชื่อมโลหะ และอุตสาหกรรม GreenTech แนวใหม่ที่ใช้คาร์บอนไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสังเคราะห์แสง เป็นต้น

ท่านผู้อ่านที่สนใจเทคโนโลยีการจับคาร์บอนในอากาศ แนะนำให้อ่านบทความจากนิตยสาร Fortune ฉบับ October 7, 2011 หรือคลิกที่เว็บไซต์ www.tech.fortune.cnn.com/tag/global-thermostat/



โรคกลัวโลกร้อน


ที่ว่ามานั้น เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดล่าสุดที่ฝรั่งช่วยกันสังเกตุธรรมชาติและจินตนาการขึ้นและลงมือทำไปบ้างแล้วเป็นบางส่วน แม้จะยังเป็นส่วนน้อยมาก แต่พวกเขาก็เชื่อว่า สุดท้ายมนุษย์อาจจะต้องหันเข้าหาวิธีการเหล่านี้ เพราะหมดหนทาง

อันที่จริง ถ้าย้อนกลับไปมองตอนที่ภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 2534 จนทำให้เกิดเมฆซัลเฟอร์ห่อหุ้มโลกอยู่นั้น แม้มันจะช่วยทำให้อุณหภูมิโลกในช่วงนั้นเย็นลง แต่มันก็ส่งผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน

นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าน้ำท่วมใหญ่ในบางพื้นที่ของอเมริกาหลังจากนั้นเป็นผลโดยตรงอันหนึ่ง หรือเหตุที่ลมมรสุมในอินเดียระยะนั้นมาช้ากว่ากำหนด ทำให้ฝนฟ้าตกไม่ตรงเวลา ก็น่าจะอนุสนธิของเหตุการณ์นั้นด้วย เป็นต้น ดังนั้น การใช้วิธี GEOENGINEERING เข้าไปแทรกแซงบรรยากาศโดยตรง จึงต้องรอบคอบมากๆ

ทว่าในทางตรงกันข้าม หากเราไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ หายนะก็จะมาเยือนเช่นเดียวกัน

ความรู้ในปัจจุบันบอกเราว่า หากปล่อยไปแบบนี้อีกสัก 50 ปี ปลายศตวรรษนี้ โลกจะร้อนขึ้นอีกประมาณ 1.1-2.9 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการปล่อยคาร์บอนของมนุษย์นับแต่นี้ (บางสถาบันที่มองโลกในแง่ร้ายถึงกับประมาณการณ์ว่าโลกจะร้อนขึ้นระหว่าง 2.4-6.4 องศาเซลเซียส)

แน่นอน น้ำเข็งขั้วโลกต้องละลาย และน้ำทะเลจะกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์มากขึ้น Arctic Permafrost ละลาย ทำให้ก๊าซมีเทนที่เคยกักเก็บอยู่ใต้นั้นละเหยออกมา ยิ่งทำให้บรรยากาศแย่ ฤดูกาลเปลี่ยน ทะเลทรายขยายตัว ไฟป่าลุกลามขยายอาณาเขต น้ำทะเลขึ้นสูง เมืองจำนวนมากถูกน้ำท่วม และเกาะบางเกาะเช่นมัลดีฟ จะจมหายไป ฯลฯ

แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ความรู้และ Scenario เหล่านี้ล้วนมาจากฝรั่ง และเราก็รู้อีกว่าฝรั่งกำลังทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการที่จะ Launch ออกมาเพื่อลด "ความกลัว" ของผู้บริโภคลงในอนาคต

ถ้าคิดเป็นจำนวนเงินแล้ว มันย่อมเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก เพราะเขารณรงค์ให้มันเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกและเทรนด์ใหม่ของการบริโภค

ดังนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าบรรดานักลงทุนใน Silicon Valley อย่าง Global Thermostat และ S.R.I International และบรรดา Electric Car Manufacturer อย่าง TESLA (ลงทุนโดย Elon Musk อดีตผู้ก่อตั้งและรวยขึ้นมาจาก PayPal) และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน กำลังคิดค้นอย่างขะมักขะเม่นที่จะหากินกับเทรนด์ใหญ่อันนี้...ประกอบกับโครงการยุทธการบนฟากฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่าง HAARP ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดเป็นความลับ เป็น Trade Secret ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งในอนาคต...ผมจึงอยากจะจบบทความนี้โดยนำเอาข้อสรุปที่เคยสรุปไว้เมื่อหลายปีก่อนมาย้ำอีกครั้งว่า

"…..เรื่องราวข้างต้น ทำให้เราต้อง "ยั้งใจ" ไว้บ้าง ถ้าคิดจะเชื่อจน "หมดใจ" ว่า ปัญหาโลกร้อนและความวิปริตผันแปรของภูมิอากาศทั้งปวงอันเนื่องมาแต่สภาวะเรือนกระจกนั้น เป็นเรื่องจริงตามที่ฝรั่งโฆษณาชวนเชื่อ 100 เปอร์เซนต์

ทั้งเรื่องความเข้มข้นของคาร์บอนในอากาศ (Carbon Concentration) การจับไนโตรเจนของพืช (Nitrogen Fixation) การสูญวงวารของนกและปลาในทะเล (Bird and Fish Extinction) การบุกรุกของพืชต่างถิ่น (Plant Invasion) การกลายเป็นทะเลทรายของบางพื้นที่ในโลก (Desertization) ตลอดจนนโยบายพลังงานทางเลือก และอัตราการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ที่พวกเขาพยายามกำหนดให้โลกปฏิบัติตาม

เพราะ การ Manipulate ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ นั้น ย่อมส่งผลข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เราต้องไม่ลืมว่า ผลประโยชน์ของเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ Global Warming นั้น ประมาณค่ามิได้

เพียงแค่ผู้ผลิตในเอเชียเปลี่ยนมาใช้ Sustainable Technology หรือ Clean Tech เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ชาติตะวันตก ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ได้ประโยชน์มหาศาล

เพื่อนฝูงในแวดวงการเงินเล่าให้ผมฟังว่า ที่คาลิฟอร์เนียเดี๋ยวนี้มีการทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการประเภทนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

บรรดา Venture Capitalist ที่เคยลงเงินให้กับกิจการไฮเทคแล้วประสบความสำเร็จอย่าง Yahoo, Google, Amazon.com, eBay, Facebook, Twitter ฯลฯ กำลังง่วนกับการ "บ่มเพาะ" เถ้าแก่รุ่นใหม่ที่สร้างกิจการแปลกๆ เช่น Zero-emission Home, Intelligent Solar Panel, eSolar, Energy-efficient Window, Algae-to-fuel Experiment, Advanced Biofuels, Smart Grid, Green Materials, Carbon-capture-cement, Sugar Diesel, Soladigm, หรือบริการการท่องเที่ยวในแบบที่พวกเขาเรียกว่า Carbon Footprint-Free Travel เป็นต้น

พวกเขากำลังทุ่มเงิน ทุ่มความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านไฮเทคและไบโอเทคที่พวกเขาชำนาญกว่าใครๆ ในโลกนี้ เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Clean Tech ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งให้กับอเมริกาในรอบใหม่นี้

อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นเศรษฐีหน้าใหม่ๆ ที่เกิดจากการนำหุ้นของกิจการเหล่านั้นเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ด้วย P/E และ Growth Rate สูงลิ่ว แบบที่เคยเกิดมาแล้วกับพวกไฮเทคในอดีต

ที่สำคัญ ผมว่าพวกเขาคงคิดไกลไปกว่านั้น

พวกเขาย่อมต้องการใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีที่ผูกขาดเอาไว้ในมือแต่ผู้เดียวนี้ ผนวกกับอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ แผ่อิทธิพลเหนืออุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Clean Tech ของโลกในอนาคตอีกด้วย

แบบที่พวกเขาเคยทำมาแล้วกับ Digital Technology กับอุตสาหกรรมไฮเทคและอินเทอร์เน็ต หรือฮ็อลลิวู๊ดกับอุตสาหกรรมบันเทิง

เมื่อเขาสร้างมาตรฐานได้แล้ว สถานะของพวกเขาจะอยู่บน "ต้นทางของห่วงโซ่อาหาร" ในทันที

และเมื่อนั้น เขาก็จะเป็นผู้กุมทิศทาง (และกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนจาก) กระบวนทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับโลก ซึ่งจะมีค่ามหาศาลในอนาคต

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูสิครับ ว่ากระบวนทัศน์การผลิตแบบใหม่นี้ จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรม ตลอดจนสินค้าและบริการ "ต่อหาง" ไปอีกหลายขบวน

บางคนว่ามันอาจเปรียบได้กับ "การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ของโลก" เลยทีเดียว

เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ยุโรป ที่ว่าแน่ๆ ก็คงต้องวิ่งไล่กวดสหรัฐฯ กันอีกรอบ”


ทางเลือกที่ดีที่สุด มิใช่การหันไปพึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่แพง ทว่า ต้องหันมาพึ่งตัวเอง คือถ้ามนุษย์ตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมกำลังทุกข์หนักเพราะน้ำมือเรา และยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อเอาใจโลกและสิ่งแวดล้อมบ้าง

เพียงแค่นี้ ปัญหาก็จะทุเลาลง

จงอย่ากลัว และฟังหูไว้หู!


ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 พฤษภาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤษภาคม 2556

1 ความคิดเห็น: