เมื่อพูดถึง "โลกร้อน" หรือ “Climate Change” หรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "พลังงาน" ในปัจจุบัน เรามักจะโฟกัสไปที่ "พลังงานทดแทน" บ้าง การลด "Carbon Footprint” บ้าง หรือไม่ก็ “Green Lifestyle” หรือ “Carbon-Free Living" หรือมาตรการอะไรก็ตามที่จะลดดีกรีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่หันมาใช้ "จักรยาน” “Electric Car” “Hybrid Car” “พลังงานลม" “ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์" “คลื่น" หรือ "พลังงานชีวมวล" หรือแม้กระทั่ง "CleanTech” “Waste Management” และ "Carbon-captured Refinery” หรือโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องจับคาร์บอนแล้วนำกลับไปเก็บไว้ใต้พื้นพิภพดังเดิม ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่และกำลังได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศที่เจริญแล้วหลายแห่ง
แต่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง "Geoengineering” หรือ "Climate Engineering” ที่กำลังอยู่ในขั้นวิจัยและทดลองในห้องแล็ป โดยมีแนวคิดว่ามนุษย์จำเป็นต้องใช้มาตรการแทรกแซงธรรมชาติโดยตรง เพื่อให้โลกเย็นลงหรือไม่ก็ต้องลดปริมาณของคาร์บอนในอากาศลง
อันที่จริงผมเคยพูดถึงประเด็นคล้ายๆ กันนี้มาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน โดยตอนนั้นเราได้เกริ่นให้ฟังถึงโครงการ HAARP ที่ย่อมาจาก High Frequency Active Auroral Research Program ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Star Wars ของประธานาธิบดีเรแกน เริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ในมลรัฐอลาสก้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพสหรัฐฯ ทำการสับประยุทธ์กลางห้วงหาว กับสหภาพโซเวียต เป็นสำคัญ
โดยตอนหลัง เมื่อมีข่าวว่าองค์การ NASA ของสหรัฐฯ จะขอเช่าพื้นที่อู่ตะเภา ก็มีนักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์หลายท่านหยิบยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตี โดยกลัวว่าสหรัฐฯ จะใช้อู่ตะเภาเป็นสถานีทดลองทางด้านฝนฟ้าอากาศ ตามแนวทางของโครงการดังกล่าว
สุดท้าย สหรัฐฯ ก็รามือไป และรัฐบาลไทยก็เลิกพูดเรื่องนี้อีก
อันที่จริง ความกลัวอันนั้นมันมีมูลอยู่ เพราะถ้าหากสหรัฐฯ มาใช้อู่ตะเภาเป็นฐานการทดลองแนวนี้จริง มันจะทำให้แผ่นดินไทยของเรา (ซึ่งมีอธิปไตยสมบูรณ์และเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ) กลายเป็นฐานทัพของสหรัฐฯ ไปโดยไม่ตั้งใจ
แต่มันจะเป็นฐานทัพในความหมายใหม่ มิใช่ฐานทัพแบบเดิมเหมือนในสมัยสงครามเวียดนาม ที่ยอมให้กองกำลังของสหรัฐฯ เข้ามาใช้เป็นฐานบินสำหรับบรรทุกระเบิดไปทิ้งในอินโดจีน แต่จะเป็นฐานทัพที่อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่อันก้าวหน้ามาก ในการสั่งฟ้า สั่งฝน ให้ไปทำร้ายศัตรู เหมือนในละครจักรๆ วงศ์ๆ นั่นแหละ
ผมเคยค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเขียนไว้ในฉบับเดือนมีนาคม 2553 ว่า
"จากเอกสารอ้างอิงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Air Force) ระบุว่า โครงการนี้จะใช้วิธี "ปลุกปั่น" "ปรับแต่ง" "ยักย้ายถ่ายเท" "ออกแบบ" หรือ "สถาปนาใหม่" ชั้นบรรยากาศของโลก (Ionospheric modifications) โดยจงใจปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วยน้ำมือมนุษย์ เพื่อหาทางทำลายคลื่นวิทยุตลอดจนสัญญาณเรด้าร์ของเหล่าปัจจามิตรทั้งมวล
ทั้งบล็อกการสื่อสารที่มาจากเครือข่ายดาวเทียมของศัตรู รบกวนระบบนำวิถีของหัวจรวดในชั้นบรรยากาศ และหาทางทำลายระบบสื่อสารระหว่างสถานีอวกาศและภาคพื้นของฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ
ที่สำคัญ เทคนิคที่ใช้ในการนี้ มันสามารถทำให้ไฟดับทั้งเมืองได้ หรือรบกวนกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมายได้ หรือรบกวนท่อส่งน้ำมันและก๊าซ หรือแม้กระทั่งส่งกระแสความร้อนสูงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศเกิดช่องโหว่ และสารกัมตภาพรังสีที่อันตรายบางอย่าง เล็ดลอดผ่านชั้นบรรยากาศและท้องฟ้าลงมาสู่พื้นโลกได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ โครงการนี้เป็น "อาวุธ" อย่างหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ นั่นเอง
เป็นอาวุธแบบใหม่ ที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธไฮเทคที่จะเอาไว้รบหรือป้องกัน Cyberspace แต่เป็นอาวุธนิเวศน์ หรือ Eco-Weapon ที่อาศัยเทคนิคการปรับเปลี่ยนระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติของโลก ทั้ง "ดิน น้ำ ลม ไฟ" ให้วิปริตผิดเพี้ยนไป เพื่อจงใจสร้างภัยพิบัติและผลอันไม่พึงปราถนาต่อศัตรู
ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่าง Michel Chossudovsky นักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนนาดา ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้เป็นอัตรายต่อโลกและมนุษย์ เป็นภัยคุกคามทั้งในเชิงภัยพิบัติและในเชิงสุขภาพ โดยเขาเรียกร้องให้บรรจุประเด็นนี้เข้าอยู่ในความสนใจของสหประชาชาติ และการประชุมสุดยอด Climate Summit ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
เขาต้องการให้สมาชิกสหประชาชาติกดดันสหรัฐฯ ให้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการฯ และส่งผู้แทนเข้าไปตรวจสอบ
นอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีคณะกรรมการระดับสูงของสหภาพยุโรปและรัฐบาลรัสเซีย ที่แสดงความจำนงแบบเดียวกัน
ทว่า ทั้งการประชุม Kyoto Protocol และ Copenhagen Climate Summit ที่เพิ่งผ่านไป หาได้มีเรื่องทำนองนี้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาระการประชุมไม่"
แน่นอน โครงการ HAARP เป็นการออกแบบอาวุธโดยการแทรกแซงชั้นบรรยากาศโดยตรง ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดเป็นความลับทางทหาร
ต่างกับโครงการ GEOENGINEERING หรือ CLIMATE ENGINEERING ในยุคหลังที่เรากำลังพูดถึงในบทความนี้ ซึ่งมีเป้าหมายลดโลกร้อน เพื่อแก้ปัญหา Global Warming ที่พวกเราทุกคนวิตกกันอยู่ ณ ขณะนี้
แน่นอน เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่ใช้ในการทดลองตามโครงการแบบหลังนี้ย่อมเป็นที่เปิดเผย และจำนวนมากเผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ตแล้ว เพียงแต่ว่าการลงมือทำจริงในระดับ Global Scale ที่จะให้มันได้ผลจริงจัง มันต้องได้รับฉันทามติจากทุกประเทศ เพราะการเข้าไปแทรกแซงชั้นบรรยากาศโดยตรง อาจก่อผลกระทบข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งการทดลองระดับนั้น จำต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งอาจต้องใช้วิธีลงขันระหว่างประเทศ มันจึงกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ค่อนข้างเกิดยาก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ยังมองว่าไม่เร่งด่วนและรอได้ ผิดกับเรื่องการก่อการร้ายระหว่างประเทศ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม เสียงเรียกร้องให้เอา GEOENGINEERING มาใช้ คงจะดังขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่อุณหภูมิของโลกยังเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง และนับวันผลอันไม่น่าพึงปรารถณาของมัน ยิ่งก่อความทุกข์แบบใหม่ๆ ให้เราได้เห็นและประสบพบพานมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ท้าทายพระอาทิตย์และเก็บขยะกลางห้วงหาว
หลักการง่ายๆ ของ GEOENGINEERING มีอยู่ 2 แนวทางด้วยกันคือ ลดการแผดเผาจากรัศมีของดวงอาทิตย์ และหาทางเก็บขยะคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ชักจะมีอยู่มากเกินขนาดในชั้นบรรยากาศแล้วเขี่ยมันลงถังผง ปิดผาให้สนิท โดยถังผงที่ว่าหมายถึงใต้ท้องมหาสมุทรและที่ใดที่หนึ่งใต้พื้นพิภพ...นำมันกลับไปกลบฝังไว้ตลอดกาล
หลักการง่ายๆ ของ GEOENGINEERING มีอยู่ 2 แนวทางด้วยกันคือ ลดการแผดเผาจากรัศมีของดวงอาทิตย์ และหาทางเก็บขยะคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ชักจะมีอยู่มากเกินขนาดในชั้นบรรยากาศแล้วเขี่ยมันลงถังผง ปิดผาให้สนิท โดยถังผงที่ว่าหมายถึงใต้ท้องมหาสมุทรและที่ใดที่หนึ่งใต้พื้นพิภพ...นำมันกลับไปกลบฝังไว้ตลอดกาล
ทั้งสองวิธีนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือหวังว่าโลกเราจะ "เย็นลง"
อันที่จริง พวกที่คิดจะท้าทายพระอาทิตย์ตามแนวทางแรกนั้น ได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ Pinatubo ที่ฟิลิปปินส์เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 นั่นเอง
คือเมื่อภูเขาไฟระเบิดเมื่อครั้งนั้น มันพ่นลาวาออกมาด้วยความเร็ว 600 ไมล์ต่อชั่วโมง และไหลท่วมท้นพื้นที่บริเวณกว้างถึง 250 ตารางไมล์ ที่สำคัญมันได้พ่นกลุ่มก๊าสและเถ้าภูเขาไฟออกมาอย่างคละคลุ้ง ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า และไม่นานก็แผ่ขยายไปบนชั้นบรรยากาศ Stratosphere ที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ วัดจากความสูงเหนือพื้นดินประมาณ 21 ไมล์
สามอาทิตย์หลังจากนั้น หมู่เมฆอันเนื่องมาแต่กลุ่มก๊าสและขี้เถ้าเหล่านั้นก็กระจัดพัดพรายไปทั่วท้องฟ้า ห่อหุ้มโลกทั้งโลก และมีอิทธิพลอยู่แบบนั้นต่อมาอีก 2 ปี จึงจะมลายหายไป
ที่นึกไม่ถึงคือกลุ่มก๊าสและขี้เถ้าเหล่านั้น (นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าประกอบด้วย Sulfur Dioxide ถึง 20 ล้านเมตริกตัน) เมื่อมันผสมเข้ากับละอองไอน้ำที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า มันกลับก่อให้เกิดปฏิกริยาคล้ายๆ กระจกเงาบานใหญ่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ ส่งผลให้รัศมีของดวงอาทิตย์ที่ส่องตรงมายังพื้นโลกสะท้อนกลับไปบนอวกาศ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตลอดสองปีนั้น 2535-2536 แสงอาทิตย์ตกถึงพื้นโลกลดลงประมาณ 10% ส่งผลให้อุณภูมิของโลกในช่วงนั้นลดลงประมาณ 0.7 องศา
ไอเดียก็เลย “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที ว่าเราสามารถลดอุณหภูมิของโลกได้โดยลดรัศมีแผดเผาของดวงอาทิตย์ลง
ตามนี้เลย...โครงการ SPICE (Stratospheric Particle Injection for Climate Engineering) จึงเกิดขึ้นจากการร่วมมือของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ Bristol, Cambridge, และ Oxford
คนเหล่านี้ต้องการพ่นสารเคมีหรือ Particle ที่สะอาดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด (เขามองว่า Sulfur Dioxide มันมีส่วนทำลายชั้นบรรยากาศ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งของทีมย่อมต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ผลกระทบกับดินฟ้าอากาศที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย) ขึ้นไปในอากาศโดยหวังให้เกิดผลลัพธ์แบบภูเขาไฟระเบิดครั้งโน้น คือเกิดปฏิกิริยากระจกเงาและสะท้อนรัศมีของดวงอาทิตย์
พวกเขาคิดกันว่าจะใช้ท่อขนาดใหญ่ผูกติดกับบอลลูนยักษ์ดึงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศโดยอีกด้านหนึ่งผูกติดกับเรือขนาดใหญ่ไว้แล้วค่อยพ่นสารเคมีขึ้นไป โดยตอนแรกพวกเขากะจะทดลองปล่อยเคมีที่ความสูง 1 กม.ก่อน เมื่อสักปลายปีที่ผ่านมา แต่ถูกม็อบต่อต้านเสียก่อน รัฐบาลจึงขอให้พวกเราระงับการทดลองนั้นเสีย
ท่านผู้อ่านที่สนใจศึกษารายละเอียด แนะนำให้เปิดดูเว็บไซต์ของโครงการได้ที่ www2.eng.cam.ac.uk/~hemh/SPICE/SPICE.htm
นอกจาก SPICE แล้ว ยังมีไอเดียอื่นอีกหลายไอเดีย ซึ่งบางทีฟังแล้วก็ยังห่างไกลความเป็นจริง เช่นให้วางกระจกขนาดยักษ์บนพื้นทะเลทราย หรือส่งร่มขนาดยักษ์ขึ้นไปบนท้องฟ้า หรือสร้างเมฆเทียมขนาดยักษ์ด้วยการตีให้น้ำทะเลเป็นฟองแล้วพ่นมันขึ้นเป็นฝอยเหมือนกับน้ำพุยักษ์เพื่อให้ระเหยขึ้นเป็นเมฆ หรือสร้าง Sea Bubble ขนาดยักษ์กลางมหาสมุทรให้เป็นตัวสะท้อนแสงอาทิตย์ เป็นต้น (ผู้สนใจเพิ่มเติม แนะนำให้อ่านงานของ Russell Seitz แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)
ส่วนแนวทางที่สอง เป็นความคิดที่จะลดคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากอากาศลง โดยวิธีเก็บกวาดมันลงไปฝังไว้ใต้โลกหรือใต้มหาสมุทร (ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วมหาสมุทรและใต้พิภพก็ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว)
วิธีการที่หลายกลุ่มนำเสนอมีตั้งแต่เสนอให้ "กวน" มหาสมุทร โดยใช้ท่อพลาสติกขนาดใหญ่ ยาวสักแท่งละ 100 เมตร จำนวนล้านท่อ กวนให้น้ำทะเลที่บริสุทธิ์ใต้ท้องสมุทรหมุนเวียนขึ้นมาข้างบน (ใต้มหาสมุทรยังเย็นอยู่โดยมาก) และจับคาร์บอนไว้ในขณะที่น้ำบนผิวสมุทรเดิมที่หนักกว่าและกักคาร์บอนไว้ก่อนแล้ว จนลงสู่ก้นสมุทร (ผู้สนใจควรติดตามความคิดของ Nathan Myhrvold ที่ www.nathanmyhrvold.com/)
แม้กระทั่ง Silicon Valley ก็หันมาสนใจลงทุนในแนวนี้กันมากแล้ว อย่าง Global Thermostat ที่คิด Proprietary Technology ของสารเคลือบพื้นผิวที่พวกเขาเรียกว่า “AMINES” เอาไว้ทาลงบนพื้นผิวแล้วมันจะสามารถจับคาร์บอนในอากาศมาเก็บกักไว้ได้ โดยพวกเขาทดลองสร้างโครงข่ายคล้ายรังผึ้งขึ้นมาแล้วเคลือบแต่ละยวงไว้ด้วยสารชนิดนี้ โดยเมื่อแต่ละยวงเก็บคาร์บอนได้เต็มแล้วมันก็เคลื่อนลงแล้วมียวงใหม่มาแทน
พวกเขายังจะสามารถ Make Money ได้ด้วยการนำเอาคาร์บอนไปใช้ในกิจการอุตสาหกรรม เช่น น้ำอัดลม เบียร์ อาหารกระป๋อง เชื่อมโลหะ และอุตสาหกรรม GreenTech แนวใหม่ที่ใช้คาร์บอนไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสังเคราะห์แสง เป็นต้น
ท่านผู้อ่านที่สนใจเทคโนโลยีการจับคาร์บอนในอากาศ แนะนำให้อ่านบทความจากนิตยสาร Fortune ฉบับ October 7, 2011 หรือคลิกที่เว็บไซต์ www.tech.fortune.cnn.com/tag/global-thermostat/
โรคกลัวโลกร้อน
ที่ว่ามานั้น เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดล่าสุดที่ฝรั่งช่วยกันสังเกตุธรรมชาติและจินตนาการขึ้นและลงมือทำไปบ้างแล้วเป็นบางส่วน แม้จะยังเป็นส่วนน้อยมาก แต่พวกเขาก็เชื่อว่า สุดท้ายมนุษย์อาจจะต้องหันเข้าหาวิธีการเหล่านี้ เพราะหมดหนทาง
อันที่จริง ถ้าย้อนกลับไปมองตอนที่ภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 2534 จนทำให้เกิดเมฆซัลเฟอร์ห่อหุ้มโลกอยู่นั้น แม้มันจะช่วยทำให้อุณหภูมิโลกในช่วงนั้นเย็นลง แต่มันก็ส่งผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าน้ำท่วมใหญ่ในบางพื้นที่ของอเมริกาหลังจากนั้นเป็นผลโดยตรงอันหนึ่ง หรือเหตุที่ลมมรสุมในอินเดียระยะนั้นมาช้ากว่ากำหนด ทำให้ฝนฟ้าตกไม่ตรงเวลา ก็น่าจะอนุสนธิของเหตุการณ์นั้นด้วย เป็นต้น ดังนั้น การใช้วิธี GEOENGINEERING เข้าไปแทรกแซงบรรยากาศโดยตรง จึงต้องรอบคอบมากๆ
ทว่าในทางตรงกันข้าม หากเราไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ หายนะก็จะมาเยือนเช่นเดียวกัน
ความรู้ในปัจจุบันบอกเราว่า หากปล่อยไปแบบนี้อีกสัก 50 ปี ปลายศตวรรษนี้ โลกจะร้อนขึ้นอีกประมาณ 1.1-2.9 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการปล่อยคาร์บอนของมนุษย์นับแต่นี้ (บางสถาบันที่มองโลกในแง่ร้ายถึงกับประมาณการณ์ว่าโลกจะร้อนขึ้นระหว่าง 2.4-6.4 องศาเซลเซียส)
แน่นอน น้ำเข็งขั้วโลกต้องละลาย และน้ำทะเลจะกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์มากขึ้น Arctic Permafrost ละลาย ทำให้ก๊าซมีเทนที่เคยกักเก็บอยู่ใต้นั้นละเหยออกมา ยิ่งทำให้บรรยากาศแย่ ฤดูกาลเปลี่ยน ทะเลทรายขยายตัว ไฟป่าลุกลามขยายอาณาเขต น้ำทะเลขึ้นสูง เมืองจำนวนมากถูกน้ำท่วม และเกาะบางเกาะเช่นมัลดีฟ จะจมหายไป ฯลฯ
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ความรู้และ Scenario เหล่านี้ล้วนมาจากฝรั่ง และเราก็รู้อีกว่าฝรั่งกำลังทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการที่จะ Launch ออกมาเพื่อลด "ความกลัว" ของผู้บริโภคลงในอนาคต
ถ้าคิดเป็นจำนวนเงินแล้ว มันย่อมเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก เพราะเขารณรงค์ให้มันเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกและเทรนด์ใหม่ของการบริโภค
ดังนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าบรรดานักลงทุนใน Silicon Valley อย่าง Global Thermostat และ S.R.I International และบรรดา Electric Car Manufacturer อย่าง TESLA (ลงทุนโดย Elon Musk อดีตผู้ก่อตั้งและรวยขึ้นมาจาก PayPal) และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน กำลังคิดค้นอย่างขะมักขะเม่นที่จะหากินกับเทรนด์ใหญ่อันนี้...ประกอบกับโครงการยุทธการบนฟากฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่าง HAARP ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดเป็นความลับ เป็น Trade Secret ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งในอนาคต...ผมจึงอยากจะจบบทความนี้โดยนำเอาข้อสรุปที่เคยสรุปไว้เมื่อหลายปีก่อนมาย้ำอีกครั้งว่า
"…..เรื่องราวข้างต้น ทำให้เราต้อง "ยั้งใจ" ไว้บ้าง ถ้าคิดจะเชื่อจน "หมดใจ" ว่า ปัญหาโลกร้อนและความวิปริตผันแปรของภูมิอากาศทั้งปวงอันเนื่องมาแต่สภาวะเรือนกระจกนั้น เป็นเรื่องจริงตามที่ฝรั่งโฆษณาชวนเชื่อ 100 เปอร์เซนต์
ทั้งเรื่องความเข้มข้นของคาร์บอนในอากาศ (Carbon Concentration) การจับไนโตรเจนของพืช (Nitrogen Fixation) การสูญวงวารของนกและปลาในทะเล (Bird and Fish Extinction) การบุกรุกของพืชต่างถิ่น (Plant Invasion) การกลายเป็นทะเลทรายของบางพื้นที่ในโลก (Desertization) ตลอดจนนโยบายพลังงานทางเลือก และอัตราการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ที่พวกเขาพยายามกำหนดให้โลกปฏิบัติตาม
เพราะ การ Manipulate ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ นั้น ย่อมส่งผลข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องไม่ลืมว่า ผลประโยชน์ของเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ Global Warming นั้น ประมาณค่ามิได้
เพียงแค่ผู้ผลิตในเอเชียเปลี่ยนมาใช้ Sustainable Technology หรือ Clean Tech เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ชาติตะวันตก ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ได้ประโยชน์มหาศาล
เพื่อนฝูงในแวดวงการเงินเล่าให้ผมฟังว่า ที่คาลิฟอร์เนียเดี๋ยวนี้มีการทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการประเภทนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
บรรดา Venture Capitalist ที่เคยลงเงินให้กับกิจการไฮเทคแล้วประสบความสำเร็จอย่าง Yahoo, Google, Amazon.com, eBay, Facebook, Twitter ฯลฯ กำลังง่วนกับการ "บ่มเพาะ" เถ้าแก่รุ่นใหม่ที่สร้างกิจการแปลกๆ เช่น Zero-emission Home, Intelligent Solar Panel, eSolar, Energy-efficient Window, Algae-to-fuel Experiment, Advanced Biofuels, Smart Grid, Green Materials, Carbon-capture-cement, Sugar Diesel, Soladigm, หรือบริการการท่องเที่ยวในแบบที่พวกเขาเรียกว่า Carbon Footprint-Free Travel เป็นต้น
พวกเขากำลังทุ่มเงิน ทุ่มความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านไฮเทคและไบโอเทคที่พวกเขาชำนาญกว่าใครๆ ในโลกนี้ เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Clean Tech ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งให้กับอเมริกาในรอบใหม่นี้
อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นเศรษฐีหน้าใหม่ๆ ที่เกิดจากการนำหุ้นของกิจการเหล่านั้นเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ด้วย P/E และ Growth Rate สูงลิ่ว แบบที่เคยเกิดมาแล้วกับพวกไฮเทคในอดีต
ที่สำคัญ ผมว่าพวกเขาคงคิดไกลไปกว่านั้น
พวกเขาย่อมต้องการใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีที่ผูกขาดเอาไว้ในมือแต่ผู้เดียวนี้ ผนวกกับอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ แผ่อิทธิพลเหนืออุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Clean Tech ของโลกในอนาคตอีกด้วย
แบบที่พวกเขาเคยทำมาแล้วกับ Digital Technology กับอุตสาหกรรมไฮเทคและอินเทอร์เน็ต หรือฮ็อลลิวู๊ดกับอุตสาหกรรมบันเทิง
เมื่อเขาสร้างมาตรฐานได้แล้ว สถานะของพวกเขาจะอยู่บน "ต้นทางของห่วงโซ่อาหาร" ในทันที
และเมื่อนั้น เขาก็จะเป็นผู้กุมทิศทาง (และกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนจาก) กระบวนทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับโลก ซึ่งจะมีค่ามหาศาลในอนาคต
ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูสิครับ ว่ากระบวนทัศน์การผลิตแบบใหม่นี้ จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรม ตลอดจนสินค้าและบริการ "ต่อหาง" ไปอีกหลายขบวน
บางคนว่ามันอาจเปรียบได้กับ "การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ของโลก" เลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ยุโรป ที่ว่าแน่ๆ ก็คงต้องวิ่งไล่กวดสหรัฐฯ กันอีกรอบ”
ทางเลือกที่ดีที่สุด มิใช่การหันไปพึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่แพง ทว่า ต้องหันมาพึ่งตัวเอง คือถ้ามนุษย์ตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมกำลังทุกข์หนักเพราะน้ำมือเรา และยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อเอาใจโลกและสิ่งแวดล้อมบ้าง
เพียงแค่นี้ ปัญหาก็จะทุเลาลง
จงอย่ากลัว และฟังหูไว้หู!
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 พฤษภาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤษภาคม 2556
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤษภาคม 2556
eToro is the most recommended forex broker for newbie and advanced traders.
ตอบลบFind out how THOUSAND of people like YOU are making a LIVING online and are fulfilling their wildest dreams TODAY.
ตอบลบCLICK HERE TO FIND OUT