คนรุ่นใหม่สมัยนี้
ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่
ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะกิน
แต่เพราะจะกินอะไรเข้าไปแต่ละคำ
ต้องมีเรื่องให้ครุ่นคิดกันมาก
นอกจากต้องระวังเรื่องสุขภาพ
ถึงกับบางคนต้องพกตารางคำนวนแคลรอรี่ด้วยแล้ว
หลายคนยังเกรงว่าการกินการดื่มของตนแต่ละมื้อนั้น
จะไปเบียดเบียนธรรมชาติ
เป็นการไปซ้ำเติมภาวะโลกร้อนให้หนักหนาขึ้นไปอีก
จะกินเนื้อวัว
หรือผลิตภัณฑ์จากวัว เช่น
ชีส เนย นม ก็กลัวจะไปซ้ำเติมภาวะเรือนกระจกเข้าให้อีก
เพราะวัวมันต้องปล่อยก๊าซมีเทนออกมาจากกระเพาะเรื่อยๆ
เมื่อมันเคี้ยวเอื้อง
(ปล่อยออกทั้งข้างหน้าและข้างหลัง)
ไหนจะต้องถางป่าเพื่อเอาที่ดินไปปลูกหญ้าให้มันกินอีกละ
ดังนั้น
ถ้าทุกคนหันมากินก๊วยเตี๋ยวเนื้อหรือสเต๊กกันมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น
ชั้นบรรยากาศของโลกจะมิแย่ลงไปกว่านี้เหรอ
เพราะปัจจุบันจำนวนประชากรโลกก็ปาเข้าไปกว่า
7,000
ล้านคนแล้ว
แถมยังเพิ่มขึ้นอีกราวๆ
70-80
ล้านคนทุกปี
โอ้ว!
แต่ละปี
มนุษย์เราเพิ่มจำนวนขึ้นยิ่งกว่าคนทั้งหมดในประเทศไทยเลยหรือนี่?
แล้วจะเอาหญ้าที่ไหนมาให้วัวกิน
ถ้าไม่ถางป่าแล้วเอาที่ดินมาปลูกหญ้ากันหน่ะ
ครั้นจะหันไปกินปลาแทน
ก็เหมือนหนีเสือปะจะเข้
ปลาจำนวนมากสูญพันธุ์ไปแล้ว
เพราะการทำประมงแบบอวนลากแถมตาข่ายรูเล็ก
ที่กวาดเอาลูกเล็กเด็กแดงมาจากก้นมหาสมุทรจนเกลี้ยง
และเมื่อไม่มีปลาเล็กปลาน้อยบางชนิด
มันย่อมส่งผลต่อปลาใหญ่ที่กินปลาน้อยเป็นอาหาร
เดือดร้อนต้องโยกย้ายถิ่นฐาน
และกลายเป็นปัญหาต่อเจ้าถิ่นเดิม
ไม่จบไม่สิ้น
เดี๋ยวนี้เราจึงมีปัญหาปลาเอเลี่ยนเยอะแยะไปหมด
มันเป็นต้นเหตุของปัญหา
Biodiversity
แบบหนึ่ง
นอกเหนือไปจากปัญหาภาวะมหาสมุทรเป็นกรด
ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้กัน
แม้จะหันไปกินปลาเลี้ยง
ก็ยังหนีไม่พ้นวงจร
เพราะยังไงอาหารปลาก็ยังต้องใช้ปลาป่นเป็นพื้นฐานอยู่ดี
และปลาชนิดที่นิยมนำมาทำปลาป่นก็ต้องจับโดยวิธีลากอวนอยู่ดี
ยังไงก็ต้องมีการจับปลามากขึ้น
หมู
ไก่ กุ้ง ก็ไว้ใจไม่ได้
เพราะกระบวนการเลี้ยงให้โตต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นยาบำรุง ยาฆ่าเชื้อ
และฮอร์โมนเร่งการเติบโตต่างๆ
ที่นอกจากจะเป็นภัยต่อสุขภาพในระยะยาวแล้ว
มันยังก่อให้เกิดการปนเปื้อนในธรรมชาติ
เพราะสุดท้ายมันจะถูกชะลงแหล่งน้ำและทะเลและมหาสมุทรในที่สุด
และถ้าเป็นการเลี้ยงโดยบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน
ก็อาจทำให้สัตว์เกิดความเครียด
โดยคนกินก็คิดมากเพราะมันอาจผิดจรรยาบรรณ
ที่ฝรั่งเรียกว่า Animal
Welfare
แต่ถ้าหันไปกินไก่ที่เลี้ยงโดยบริษัทยักษ์ใหญ่
ก็จะเกิดปัญหาน่ากลัวอีกแบบหนึ่ง
คือพันธุ์ไก่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีพีนำไปให้เกษตรกรเลี้ยงตามสัญญา
Contract
Farming นั้น
ได้ฝัง DNA
บางประเภทไว้ในยีนของไก่เหล่านั้นด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรนำไปเพราะพันธุ์เอง
เพราะไก่ในเจนเนอเรชั่นต่อไปจะกลายเป็นไก่ไม่สมประกอบทันที
นับเป็นการใช้
Genetic
Engineering
เพื่อผูกขาดตัดตอนและผูกพันแรงงานไว้
โดยไม่ให้พวกเขาพัฒนาตัวเองได้
คล้ายๆ
กับโมเดลเศรษฐกิจในยุคศักดินาของยุโรปสมัยกลางนั่นเอง
แต่สำหรับผู้บริโภค
เมื่อเราได้รับ DNA
ประเภทนั้นเข้าไปในร่างกาย
ก็ยังไม่มีใครตอบได้ชัดๆ
ว่ามันจะไม่ทำให้เกิดพิษภัยในระยะยาว
“มันเหมือนกับฝังระเบิดเวลาเอาไว้"
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าว
ดังนั้น
คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงหันไปกินไก่บ้าน
หมูบ้าน เพราะเขาเหล่านั้นไม่เชื่อว่า
ลูกหลานของเจ้าสัวจะกล้ากินผลิตภัณฑ์ไก่และหมูของตัวเอง
ในชีวิตประจำวัน
ที่พูดมานี้
มิใช่เฉพาะโปรตีนเท่านั้นที่ทำให้เกิดปัญหา
คาร์โบไฮเดรตก็น่าปวดหัวเช่นกัน
การปลูกธัญพืชให้ได้ผลผลิตดี
พอเลี้ยงพลเมืองโลกได้นั้น
ต้องอาศัยปุ๋ย
ซึ่งเป็นการนำไนโตรเจนเข้าไปสู่ดิน
แต่เมื่อมันถูกชะล้างออก
ไนโตรอ๊อกไซด์ย่อมปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ยังไม่นับว่าต้องใช้ยาฆ่าแมลงด้วย
ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก
ทั้งในแง่การปนเปื้อนของแหล่งน้ำใต้ดิน
และภาวะมหาสมุทรเป็นกรด
ที่เรียกว่า Ocean
Acidity
ยังมีสถิติที่น่ากลัวอีกมาก
Jeffrey
Sachs นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
เพิ่งจะเปิดคอร์สออนไลน์ผ่าน
Coursera
เรื่อง
The
Age of Sustainable Development
ไปเมื่อไม่นานมานี้
ในเนื้อหาล้วนว่าด้วยเรื่องที่น่าเป็นห่วง
ไม่ใช่ว่าพฤติกรรมการกินของเราจะทำให้โลกร้อนเท่านั้น
แต่ภาวะโลกร้อนก็ย้อนกลับมาทำลายวงจรการเกษตรของเราอีกทอดหนึ่งอีกด้วยเช่นกัน
มันเป็นปัญหาแบบสองทาง
และที่น่าตกใจคือ
แม้สมัยปัจจุบันที่เราคิดว่าวิทยาการทุกอย่างก้าวหน้าแล้ว
ยังปรากฏว่ามีคนในโลกที่เป็นโรคขาดอาหารอยู่ถึง
800-1,000
ล้านคน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก
และการไม่ได้รับสารอาหารหรือวิตามินเพียงพอหรือไม่ครบถ้วน
ย่อมทำให้พัฒนาการไม่สมบูรณ์
หรือไม่ก็เกิดโรคตามมา
แกรนบ้าง ตาลขโมยบ้าง
หัวโตพุงโลก้นปอดบ้าง
ถ้ารุนแรงหน่อยก็อาจกลายเป็นคนปัญญาอ่อน
ยิ่งไปกว่านั้น
ยังมีคนอยู่อีกประมาณ 1,000
ล้านคน
ที่แม้จะไม่เป็นโรคขาดอาหารโดยตรงแต่ก็เป็นประเภท
"แอบแฝง"
คือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบถ้วนเช่นกัน
แต่เป็นครั้งคราว ดังนั้น
ถ้านับว่าพลเมืองโลกกว่า
1,800
ล้านคนยังอยู่ในภาวะหิวโหย
(Undernourished)
ก็น่าตกใจมากทีเดียว
ที่น่าเจ็บใจคือมีคนเกือบ
1,000
ล้านอีกเช่นกันที่เป็นพวกมีอันจะกินและอยู่ในภาวะ
"กินเกิน"
โดยวัดจากการมีน้ำหนักเกิน
(Overweight-วัดจากดัชนีมวลกาย
หรือ Body
Mass Index)
และในจำนวนนี้
มีสูงถึง 800
ล้านคน
เป็น "โรคอ้วน"
(Obesity) ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะก่อปัญหาสุขภาพตามมา
ทั้งเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
ความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนแต่เป็นปัญหาอันเนื่องมาแต่
"การกิน"
พูดได้ว่า
เดี๋ยวนี้ ทั้งคนรวยและคนจน
ล้วนต้องถือว่า "เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่"
ด้วยกันทั้งคู่
สมัยนี้
มีรายการอาหารทางทีวีจำนวนมาก
นิตยสารทางด้านอาหารและรสนิยมการกินดื่มสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีฐานะก็มีอยู่ไม่น้อย
ยิ่ง
Cookbook
ด้วยแล้ว
นับเป็นเซ็กชั่นสำคัญของร้านหนังสือทุกร้าน
สังเกตุว่าอาชีพกุ๊กสมัยนี้
เป็นที่นับหน้าถือตาและทำรายได้ทีละมากๆ
ไม่น้อยหน้า นายธนาคาร วิศวกร
หรือหมอ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนโน้น
อาชีพกุ๊กเป็นอาชีพหนึ่งที่พ่อแม่มักไม่อยากให้ลูกไปทำกัน
สมัยนี้มีลูกหลานเศรษฐีมาเรียนทำอาหารและออกไปเป็นเชฟกันไม่น้อย
บางทีพวกเขาก็เรียกตัวเองให้ดูเก๋ว่า
“Food
Designer”
ฝรั่งชั้นนำ
ถึงกับเรียกร้องให้ผู้คนของเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและเปลี่ยนไลฟสไตล์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
ปรัชญาการบริโภคสมัยใหม่ที่ฝรั่งรุ่นใหม่หันมานิยมและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ล้วนแต่เรียกร้องให้ปฏิวัติวิถีบริโภคเสียใหม่
ไม่ว่าจะเป็น Macrobiotic,
Food Pyramid,
หรือแม้แต่
Slow
Food
ถ้ามองให้ลึกลงไปอีก
จะพบว่าปรัชญาแนวใหม่นี้เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงถึงขั้นรากฐานของระบบจริยธรรมเลยด้วยซ้ำ
คือที่เคยมองว่าธรรมชาติมีไว้เพื่อถูกพิชิต
มนุษย์ต้องพิชิตธรรมชาติและเอาธรรมชาติมารับใช้ตน
ความรู้ทั้งหมดของมนุษย์ต้องเป็นไปเพื่อการณ์นั้น
กลับตารปัตรมาสู่การมองโลกและธรรมชาติอย่างเป็นมิตร
อย่างเป็นองค์รวม
อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ที่ไม่ได้แยกจากชีวิตมนุษย์
ถ้ามนุษย์ไม่เคารพธรรมชาติ
มนุษย์นั่นแหละที่จะพินาศ
ทว่า
ปัญหามักเกิดในเชิงปฏิบัติ
การจะเปลี่ยน
Life Style
มาบริโภคตามหนทางสายใหม่
ท่ามกลางความสะดวกสบายที่กระบวนการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรมรอบตัวเรามอบให้ภายใต้วิถีชีวิตที่เร่งรีบ
ย่อมต้องอาศัยความเพียร
ความอดทน และต้นทุนที่แพงขึ้น
ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองหันมากินพืชผักผลไม้แบบปลอดสารพิษ
ผักพื้นบ้าน หรือผักที่ปลูกโดยชาวบ้าน
ธัญพืชแบบ Whole
Grain และขนมปังแบบ
Whole Wheat
เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงโดยชาวบ้าน
ปรุงอาหารโดยน้ำมันพืชแบบหีบเย็นหรือ
Olive Oil
และหาความเมาจาก
Craft Beer
ดูสักเดือนหนึ่ง
ท่านก็คงจะเห็นด้วยกับผม
ทักษ์ศิล
ฉัตรแก้ว
24 กรกฎาคม
2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนสิงหาคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น