ครม.
"ประยุทธ์
1”
เป็น
Macho
Cabinet
สมาชิก
31
จาก
33
คนเป็นผู้ชาย
ในจำนวนนั้น 11
คนเป็นทหาร
อีก 1
คนเป็นตำรวจ
ที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการพลเรือน
โดยตำแหน่งสำคัญที่อาจเรียกว่า
Inner
Cabinet ล้วนถูกคุมโดยทหาร
และเป็นผู้ชายทั้งหมด
หากเทียบว่าในสมัยที่ทักษิณเป็นใหญ่
การประชุม ครม.
มักอุดมไปด้วยศัพท์แสงทางบริหารธุรกิจและการจัดการ
พูดไทยคำอังกฤษคำ เช่น ซีอีโอ,
บาลานซ์สกอร์คาร์ด,
คอมเพททิทีพแอดแวนเทจ,
รีทิ้งกิ้งไทยแลนด์,
แบรนดิ้ง,
สตาร์ติจี้,
กลยุทธ์
โน่น นี่ นั่น,
โพซิชั่นนิ่ง,
โฟคัส,
ดิฟเฟอเรนชิเอท,
แวลูแอด,
แวลูครีเอชั่น,
มาร์จิ้น,
แพลนนิ่ง,
โคออร์ดิเนต,
เม็กกะโปร์เจ็ก,
พอร์ตโฟลิโอ,
มาร์เก็ตติ้งออฟเนชั่น,....ฯลฯ
ดีไม่ดี
การประชุม ครม.
นับแต่นี้
อาจเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางทหาร
เช่น นขต.
(หน่วยขึ้นตรง),
วัน
ว.
เวลา
น.,
10 โมง
ล้อหมุน,
คำสั่ง
บ.ก.,
การประชุมครั้งต่อไปที่
พิกัด เท่านั้นเท่านี้,
เข้าตี,
รุก,
ตีโอบ,
ส่งกำลังบำรุง,
ฐานที่มั่น,
ปจว.,
วินัย,
งานมวลชน
(ทหารมักใช้คำว่าปฏิบัติการจิตวิทยา
แทนคำว่าพีอาร์หรือประชาสัมพันธ์),
หรือ
ยุทธศาสตร์ โน่น นี่ นั่น,....ฯลฯ
และรัฐบาลนี้
คงมีพฤติกรรมประเภท
"ประดาบก็เลือดเดือด"
ตามนิสัยเด็ดขาดแบบทหาร
หากดูตาม Majority
ของกลุ่มที่กำลังจะขึ้นมากุมอำนาจ
และดีกรีความเบ็ดเสร็จของอำนาจที่อยู่ในมือของพวกท่าน
ทั้งหมดนี้เป็น
Background
หรือ
Chemistry
ที่
กอบกาญจน์
วัฒนวรางกูร
จะต้องเข้ามาร่วมงานและคลุกคลีด้วย
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ว่าไปแล้ว
Background
ของกอบกาญจน์
แตกต่างจากสมาชิกส่วนใหญ่ของ
ครม.นี้อย่างสิ้นเชิง
เธอเป็นหญิง
เป็นนักธุรกิจ
ในชีวิตไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับราชการ
ไม่เคยมีอำนาจใน State
Apparatus และคงไม่ประสีประสากับ
Protocol
ของทหาร
ที่สำคัญคือเธอไม่เคยสัมผัสงานด้านกีฬาและการท่องเที่ยวมาก่อนอย่างจริงๆ
จังๆ เลย
จุดแข็งของเธอในสายตาทหารและผู้มีอำนาจที่เลือกเธอมาร่วมงานด้วยมีอยู่ข้อเดียวคือ
"เธอเป็นคนของญี่ปุ่น"
และ
"ญี่ปุ่นส่งประกวด"
แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
ที่เราต้องมีตัวแทนของญี่ปุ่นอยู่ใน
ครม.
เพราะในรอบสามสิบปีมานี้
ผลประโยชน์ของญี่ปุ่นมีมากในเมืองไทย
จึงดีกว่า ถ้าจะให้มี Power
Broker นั่งรับทราบนโยบายอยู่ในรัฐบาลด้วย
และถ้ามีอะไรจะฝากถึงกัน
ก็ให้มีคนที่ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สอยได้โดยตรง
เช่นสมัยก่อนก็มีคนของพรรคชาติไทย สมัยทักษิณก็มี สุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ และมิ่งขวัญ
แสงสุวรรณ เป็นต้น
ที่ผ่านมา
ชีวิตทางธุรกิจของเธอเติบโตมาในฐานะนายหน้าของโตชิบาในเมืองไทย
กิจการที่แม่ของเธอสร้างเอาไว้ให้
ดังนั้น
จึงเป็นการยากที่จะประเมินความสามารถที่แท้จริงของเธอ
ทั้งในเชิงของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ความเป็นผู้มีจิตใจแบบผู้ประกอบการ
(Entrepreneurship)
และความสามารถในการบริหารจัดการ
การรับตำแหน่งในครั้งนี้
จึงถือว่าเป็นความท้าทายมากสำหรับเธอ
เพราะงานทางด้านท่องเที่ยว
ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์สูง
และงานทางด้านกีฬาก็ต้องเผชิญกับ
เสือ สิงห์ กระทิง แรด ซึ่งมี
Background
ต่างกับเธอแบบฟ้ากับดิน
กอบกาญจน์
เกิดมาในตระกูลเศรษฐี
ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะอภิสิทธิ์ชน
แบบว่า "ไฮโซ"
ของจริงโดยกำเนิดเลยทีเดียวหล่ะ
พ่อของเธอเป็นทหารและเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ส่วนแม่ของเธอก็เป็นลูกสาวเศรษฐีคือ
มา บุญกุล
พ่อค้าข้าวที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ภายใต้ปีกของเผด็จการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม และกลุ่มราชครู
เธอได้รับการศึกษาชั้นดีแบบ
"คุณหนู"
มาแต่เล็ก
เรียนวัฒนาแล้วไปจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยทางด้าน
Liberal
Arts ชั้นยอดของอเมริกา
Wellesley
College ที่เดียวกับ
Hillary
Clinton และปริญญาโททางด้านสถาปัตยกรรมจาก
Rhode
Island School of Design
ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นโรงเรียนศิลปะชั้นแนวหน้าของโลกที่เด็กรุ่นใหม่ใฝ่ฝันจะไปเรียนให้ได้
ดูตามประวัติแล้ว
เธอไม่ขี้เหร่เลย
แต่เธอจะทำอะไรได้
แค่ไหน ต้องติดตามในอีก 3
เดือนข้างหน้า
เพราะงานด้านท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเกือบจะเรียกว่าวิกฤตินั้นรอไ่ม่ได้
และผลงานจะเป็นตัวฟ้องอย่างรวดเร็ว
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกันยายน 2557
ภาพประกอบจาก "ประชาชาติธุรกิจ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น