เมื่อคืนก่อน
หลังเที่ยงคืนไม่นาน
(ตามเวลามอสโคว์)
ธนาคารชาติรัสเซียได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานจาก
10.5%
เป็น
17%
เป็นอันว่าเช้านั้น
ชาวรัสเซียและตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกเลยต้องตื่นขึ้นมาพบกับ
Surprise
กัน
ตลาดหุ้นไทยวันนั้นก็ถูกเทขายไปด้วย
ท่านผู้อ่านทุกคนที่ติดตามข่าวสารย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าค่าเงินรูเบิ้ลของรัสเซียถูกรบกวนมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยคราวนี้ก็เพื่อปกป้องไม่ให้ค่าของมันรูดลงไปอีก
เพราะรัสเซียเกรงว่ามันจะเป็นสาเหตุของ
Financial
Crisis
สถาบันการเงินล้ม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับไทยตอนปี
2540
ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้
เงิน 1
ดอลล่าร์แลกเงินรูเบิ้ลได้
69.7068
รูเบิ้ล
(อ้างจากกราฟของ Bloomberg)
ในขณะที่ตอนต้นปี
หนึ่งดอลล่าร์แลกได้เพียง
33
รูเบิ้ล
ค่าเงินรูเบิ้ลตกต่ำลงกว่า
50%
แต่ก็ยังสวิงมากอยู่หลังจากประกาศขึ้นดอกเบี้ย
แสดงถึงความไม่มั่นใจต่อนโยบายนี้ว่าจะ
"เอาอยู่"
จริงหรือ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ประธานาธิบดีปูตินเพิ่งจะออกมาประกาศลั่นว่ารัสเซียจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของนักเก็งกำไร
จะปกป้องต่อสู้ทุกวิถีทาง
ถึงกับเปรียบเทียบเหตุการณ์ปัจจุบันกับสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ตอนที่รัสเซียสู้กับฮิตเลอร์ผู้รุกรานแบบไม่คิดชีวิต แล้วก็เอาชนะกองทัพเยอรมันจนได้
และถึอเป็นจุดพลิกผันของสงคราม
ซึ่งการเสียสละครั้งนั้นได้นำเสรีภาพมาสู่ยุโรปทั้งมวล
แต่ปัญหาของรัสเซียขณะนี้ไม่ใช่ฮิตเลอร์
แต่เป็นการลดลงอย่างฮวบฮาบของราคาน้ำมัน
ทำให้ภาษีที่เคยเก็บได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดลงกว่าครึ่ง
และอย่าลืมว่าหนึ่งส่วนสามของจีดีพีรัสเซียขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมพลังงาน
ยิ่งไปกว่านั้น
การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีปูตินไปส่งเสริมอุดหนุนกบฏแบ่งแยกดินแดนในยูเครน
ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกแซงชั่นเข้าให้
(ดังนั้นใครอย่าคิดว่าการแซงชั่นโดยมหาอำนาจตะวันตกไม่สำคัญ)
การแซงชั่นส่งผลให้การค้าขายและธุรกรรมการเงินของบริษัทรัสเซียกับชาติตะวันตกที่เคยคล่องตัว
ทำยากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกู้ยืมเงินทองและเข้าถึงแหล่งทุนโลก
จุดแข็งของรัสเซียเพียงอย่างเดียวในขณะนี้อยู่ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
ซึ่งยังคงมีมากกว่าหนี้ต่างประเทศ
ถึงกว่าสองเท่าตัว
นับว่าต่างกับสถานการณ์ของไทยในปี
2540
มาก
เพราะขณะนั้น
ทุนสำรองของเราส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนของคนอื่นที่นำเข้ามาแลกเป็นเงินบาทเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ไทย
และเราดันเอาทุนสำรองก้อนนั้นไปพยุงค่าเงินบาทในตลาดซื้อขายเงินตราแล้วขาดทุนป่นปี้
เป็นเหตุให้ต้องหันไปพึ่งไอเอ็มเอฟ
จนเป็นที่มาของการขึ้นดอกเบี้ยแบบมหาโหด
จะเห็นว่ารัสเซียขึ้นดอกเบี้ยก่อน
โดยยังมิได้นำทุนสำรองออกมาพยุงค่าเงินอย่างเป็นจริงเป็นจัง
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยของเราในสมัยโน้นทำกลับกัน
หมากต่อไปของธนาคารชาติรัสเซียหากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้ผลคือการใช้มาตรการ Capital
Control
อย่างที่มหาเธย์
โมฮัมมัด
เคยนำมาใช้อย่างได้ผลหลังจากวิกฤติต้นยำกุ้งของเราเริ่มลามไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
Capital
Control
คือการจำกัดการนำเงินเข้าออกประเทศหรือจำกัดการแลกเงินรูเบิ้ลเป็นเงินตราสกุลอื่นและในทางกลับกันนั่นเอง
อย่าลืมว่า
สมัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตัดสินใจออกมาปกป้องค่าเงินบาทนั้น
เงินบาทยังคงผูกติดอยู่กับเงินดอลล่าร์ในราคา
25
บาทต่อ
1
ดอลล่าร์
โดยพวกหัวกะทิของธนาคารชาติมั่นใจว่าราคานั้นเหมาะสมแล้ว
ในขณะที่บรรดานักเก็งกำไรหรือ
Hedge
Fund
ที่กำลังโจมตีค่าเงินบาทในขณะนั้น
เชื่อว่าราคาเงินบาทที่แท้จริงต้องต่ำกว่านั้นมาก
ธนาคารชาติลืมไปว่า
ผู้ที่ถือเงินบาทในมือมากที่สุดมิใช่บรรดานักเก็งกำไรพวกนั้น
แต่คือราษฎรไทยทั้งประเทศ
ดังนั้น
เมื่อราษฎรไทยหมดความเชื่อมั่นในเงินบาท
พากันไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาเงินของตัวมิให้เสื่อมค่าลง
หรือเพื่อเก็งกำไรก็ตามที
เงินบาทย่อมรูดลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากมีข่าวรั่วว่าธนาคารชาติขาดทุนจากการปกป้องค่าเงินเป็นจำนวนมากนั่นเอง
มันเป็น
"ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ"
ฉันใดก็ฉันนั้น
คนที่ถือเงินรูเบิ้ลมากที่สุดในขณะนี้ก็คือราษฎรรัสเซียนั่นเอง
มิใช่บรรดานักเก็งกำไรทั้งหลาย
หากพวกเขายังคงไม่เชื่อมั่นว่านโยบายขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะสามารถ
"เอาอยู่"
พวกเขาอาจทยอยนำเงินรูเบิ้ลมาเปลี่ยนเป็นเงินดอลล่าร์หรือเงินสกุลแข็งอื่น
ก่อนที่ธนาคารชาติจะออกมาเล่นหมากต่อไป
เพราะพวกเขาย่อมรู้ว่าถ้ามี
Capital
Control เมื่อไหร่
เงินของพวกเขาจะ "ติดคุก"
เมื่อนั้น
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามนับแต่นี้
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
17 ธันวาคม 2557
ภาพพลเอกประยุทธ์ จันโอชา จับมือกับประธานาธิบดีปูติน
ภาพจากคุณวาสนา นาน่วม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น