การผงาดขึ้นมาของจีนส่งผลให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกขยับปรับเปลี่ยน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบบ้านเรานี้
การเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด
“ความต้องการออกทะเล”
ของจีน หนุนด้วยทรัพยสฤงคารมหาศาลในคลังหลวงของจีนปัจจุบัน
ทำให้นโยบายต่างประเทศของจีนต่อประเทศในย่านนี้
Aggressive
ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
จีนเน้นการลงทุนโดยตรงและสนับสนุนให้ประเทศแถบนี้สร้างเครือข่ายสื่อสารและขนส่งเชื่อมต่อกับจีน
อีกทั้งยังสนับสนุนให้คนจีนเข้าไปทำมาหากินในประเทศเป้าหมาย
เช่นการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก
ถนนหนทาง และท่อส่งน้ำมันในพม่า
เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์หลายประการรวมทั้งการให้รับคนจีนเข้าไปตั้งรกรากทำมาหากินในพม่า
หรือการสนับสนุนให้ไทยและลาวสร้างทางรถไฟไปเชื่อมต่อกับมณฑลยูนนานของจีน
แลกกับสัมปทานเดินรถและพื้นที่ตลอดแนวรถไฟ
หรือการเข้าไปลงทุนปลูกยางพาราในภาคเหนือของลาวอย่างแทบจะผูกขาด
เป็นต้น
ส่วนทางด้านทะเลจีนใต้
จีนก็มีเป้าหมายที่จะยึดครองน่านน้ำและเกาะแก่งต่างๆ
โดยอ้างว่าในอดีตเขตแดนในทะเลเหล่านั้นเคยเป็นของจีนมาก่อน
ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งโดยตรงกับประเทศรอบๆ
ทะเลจีนใต้ ทั้งญี่ปุ่น
ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม
ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย
หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์
ล้วนมุ่งเสริมสร้างเขี้ยวเล็บทางทะเลของตน
อีกทั้งกองเรือสหรัฐฯ
ก็ได้หันกลับมาประจำการที่ฟิลิปปินส์เพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีน
แน่นอน
การขยับตัวของจีนแบบนี้ย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจอื่นที่เคยมีผลประโยชน์ในแถบนี้อยู่แล้วอย่างญี่ปุ่น
และที่เคยมีและอยากจะกลับมามีผลประโยชน์ในแถบนี้อย่างสหรัฐฯ
ว่าแต่เฉพาะในเมืองไทย
ดูเหมือนจีนจะต้องมาปะทะเข้าอย่างจังกับญี่ปุ่นซึ่งถือว่าไทยเป็นเขตอิทธิพลของพวกเขาอยู่ก่อน
และในเมื่อหลังพิงของญี่ปุ่นอิงแอบอยู่กับสหรัฐฯ
จีนย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องชนกับสหรัฐฯ
ในบ้านเราอีกโสตหนึ่ง
ในขณะที่จีนกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในระดับโลกอย่างใกล้ชิดแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก
ความสัมพันธ์เชิงซ้อนนี้ย่อมส่งผลต่อเราทั้งในเชิงบวกและลบ
เมื่อเกิดการปรับเปลี่ยนดุลอำนาจ
ดังนั้น
ในแง่ของไทยเอง
จะฉวยจังหวะนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรให้ตัวเอง
เราจำเป็นต้องเข้าใจและ
Identify
ให้ได้ว่าอะไรที่สำคัญที่สุด
และคิดว่าจะได้มาในเกม
Balance
of Power ในรอบนี้อย่างไร
การจะทำความเข้าใจบริบทใหม่นี้
เราอาจต้องหันกลับไปมองอดีตประกอบ
ในยุคสงครามเย็น
สหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในอุษาคเนย์อย่างมาก
ชนชั้นผู้นำไทยสมัยนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์และปัญหาอินโดจีนตามความต้องการของอเมริกา
เราสนับสนุนลาวขาวและเขมรเสรีทั้งในแง่ของการให้ที่พักพิงกับผู้นำขบวนการกู้ชาติและการอนุญาตให้สหรัฐฯ
เข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อขับเครื่องบินเข้าไปทิ้งระเบิดในลาว
เวียดนาม และเขมร
หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเหล่านั้นด้วย
ส่วนทางด้านพม่าซึ่งกำลังมีปัญหาภายในกับชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก
ไทยก็ได้อาศัยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นให้ทำตัวเป็นรัฐกันชนระหว่างไทยกับพม่า
สมัยนั้นผู้นำกระเหรี่ยง
ว้า ปะโอ และไทยใหญ่
ล้วนมีบ้านช่องอัครฐานเป็นของตัวเองในจังหวัดเชียงใหม่
และลูกหลานก็ส่งมาเรียนในเมืองไทย
(เดี๋ยวนี้ก็น่าจะยังเป็นเช่นนั้นอยู่)
ชนชั้นผู้นำไทยโดยเฉพาะบรรดาทหารบกที่กุมอำนาจการเมืองในยุคนั้น
ก็ได้มีส่วนสนับสนุนกระบวนการส่งออกยาเสพติดของชนกลุ่มน้อยไปในตลาดโลก
เพื่อหารายได้มาสร้างกองกำลังต่อต้านรัฐบาลกลางของพม่า
เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากอุษาคเนย์และเกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองจีน
เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ส่งผลต่อกระบวนทัศน์ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนอย่างมากด้วย
ในการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อปี
2521
เติ้งเสี่ยวผิงได้กล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า
ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น
(Sovereignty
related conflicts) นั้น
“ขอให้เป็นภาระของคนรุ่นต่อไปเถอะ”
(left
for the next generation)
คำกล่าวนั้น
ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจีนต้องการความร่วมมือทางเศรษฐกิจจากญี่ปุ่นมาก
ความขัดแย้งที่มีมาแต่เดิมนั้นควรเก็บเอาไว้ก่อน
และนับแต่นั้นมา
นโยบายต่างประเทศของจีนก็ให้ความสำคัญกับ
Economic
Content เป็นหลัก
ผิดกับสมัยเหมาเจ๋อตงที่เน้นไปในด้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และส่งออกการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ
และการลงทุนของญี่ปุ่นในจีนก็เริ่มเติบโตขึ้น
เมื่อจีนรวยขึ้นด้วยการเปิดพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้มีการลงทุนรับจ้างผลิต
Hardware
ให้กับฝรั่ง
สะสม Foreign
Exchange Reserve
อย่างมหาศาล
จีนก็ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเอเชีย
นโยบายต่างประเทศของจีนต่อเพื่อนบ้านในเอเชียก็เป็นไปอย่างเหมาะสมผ่อนปรน
โดยจีนยอมที่จะขาดดุลการค้ากับประเทศเหล่านั้น
แต่ละปีจีนจะนำเข้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค
ตลอดจนวัตถุดิบ จากประเทศเอเชียอื่น
รวมทั้งไทยเป็นจำนวนมาก
นับเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างชาญฉลาด
จุดพลิกผันของจีน
ย่อมเป็นจุดพลิกผันของเอเชียด้วย
เมื่อคนจีนรวยขึ้นและเริ่มรู้จัก
“ใช้ชีวิต”
การบริโภคก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ด้วยจำนวนประชากรขนาดนั้น
จีนย่อมต้องการชีวปัจจัยและ
Luxury
Products
ตลอดจนพลังงานจำนวนมหาศาล
และอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ทางด้าน
Geopolitics
และทางด้านพลังงาน
และทางด้านเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกทั้งหลาย
ต่างลงความเห็นร่วมกันว่าจุดพลิกผันสำคัญที่สุดของจีนคือปี
2537
เมื่อจีนเริ่มมีสถานะเป็น
“ผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ”
(Net
Importer of Oil) เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมา
นโยบายการต่างประเทศของจีนก็เริ่มมีเนื้อหาที่เรียกว่า
“Petroleum
Component” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสิ้นปี 2549 ยอดนำเข้าน้ำมันของจีนก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2537 และได้กลายเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยได้แซงหน้าญี่ปุ่นที่เคยครองอันดับสองมาก่อน
และมิเพียงเท่านั้น ยอดนำเข้าวัตถุดิบชนิดอื่นที่จำเป็นต่อการผลิตและบริโภคก็ก้าวกระโดดขึ้นด้วยในอัตราเร่งเช่นเดียวกับน้ำมัน Logic แบบนี้ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยไม่มากก็น้อย
เมื่อสิ้นปี 2549 ยอดนำเข้าน้ำมันของจีนก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2537 และได้กลายเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยได้แซงหน้าญี่ปุ่นที่เคยครองอันดับสองมาก่อน
และมิเพียงเท่านั้น ยอดนำเข้าวัตถุดิบชนิดอื่นที่จำเป็นต่อการผลิตและบริโภคก็ก้าวกระโดดขึ้นด้วยในอัตราเร่งเช่นเดียวกับน้ำมัน Logic แบบนี้ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยไม่มากก็น้อย
ผู้นำจีนที่ขึ้นมากุมอำนาจหลังจากเติ้งเสี่ยวผิง
ก็ได้ผลัดกันออกเดินสายกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรซึ่งจีนคาดว่าต้องพึ่งพิงในอนาคต
ทั้งรัสเซีย
(ซึ่งจีนจะวางท่อส่งน้ำมันตรงจากไซบีเรียและอาจวางผ่านมองโกเลียด้วยในอนาคต)
ออสเตรเลีย
อินโดนีเชีย หรือแม้กระทั่งอียิปต์
อัลจีเรีย อิหร่าน ปากีสถาน
และกาบอน
ปัจจุบันจีนมีกองทหารประจำการในซูดานเพื่อดูแลสัมปทานน้ำมันของจีนที่นั่น
และกิจการปิโตรเลียมของจีนก็หาโอกาสเข้าซื้อกิจการสัญชาติอื่นเพื่อครอบครองสัมปทานน้ำมันอยู่อย่างขะมักเขม้น
ด้วยโลกสันนิวาสแบบนี้เองที่ทำให้ภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียเปลี่ยนแปลงไปด้วย
โดยเฉพาะในดินแดนที่เป็นแหล่งน้ำมัน
แหล่งพลังงาน แหล่งวัตถุดิบ
และเป็นเส้นทางลำเลียงของโภคภัณฑ์เหล่านั้นเข้าจีน
จีนได้ลงทุนสร้าง Infrastructure
ให้กับอิหร่าน
สร้างท่าเรือและฐานทัพเรือที่
Gwadar และ Pasni ในปากีสถาน
และที่ Chittagon ในบังคลาเทศ
สร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงที่ทางตอนใต้ของศรีลังกา
และตามหมู่เกาะรายทางในมหาสมุทรอินเดีย
และลงทุนสร้างท่าเรือตลอดจนถนนหนทางและเส้นทางขนส่งในพม่าเพื่อต่อเชื่อมระหว่างปากอ่าวเบงกอลกับจีนตอนใต้
ตลอดจนสนใจสนับสนุนให้มีการขุดคลองลัดที่คอคอดกระที่จังหวัดประจวบคีรีขันท์หรือระนอง
เพื่อสร้างทางเลือกของการขนส่งน้ำมันมิให้ต้องผ่านช่องแคบมะละกาแต่เพียงทางเดียว
นอกจากนั้นจีนยังมีโครงการจะวางท่อก๊าซตรงจาก Azerbaijan, Kazakhstan, Turkmenistan อีกด้วย
นี่ยังไม่นับโครงการสำรวจก๊าซในอ่าวไทยที่กำพูชากำลังหาทางอ้างสิทธิอยู่ในขณะนี้ด้วย
สำหรับพม่า
ซึ่งนอกจากจะเป็นประเทศหนึ่งที่ครองชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
ซึ่งจีนต้องการให้คุ้มครองกองเรือขนส่งน้ำมันไปสู่จีนแล้ว
โดยตัวของพม่าเองยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรที่จีนต้องการเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและยุธโทปกรของจีน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
ถ่านหิน ทองแดง สังกะสี ไม้สัก
ยูเรเนียม และพลังน้ำ
วงการทูตของประเทศตะวันตก คาดการณ์กันว่าแต่ละปี รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารของพม่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ในขณะเดียวกันจีนก็ได้ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและ Hardware ให้กับสังคมพม่าในราคาถูก (เดี๋ยวนี้ถ้าพวกเราอยากได้ DVD ปลอม หรือพวกนาฬิกาปลอม หรือกระเป๋าปลอม ก็ต้องไปเอามาจากแม่สาย เป็นต้น) รวมตลอดถึงได้ส่งบริษัทก่อสร้างของจีนเข้ามาสร้างอะไรต่อมิอะไรในพม่าด้วยราคากันเอง
วงการทูตของประเทศตะวันตก คาดการณ์กันว่าแต่ละปี รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารของพม่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ในขณะเดียวกันจีนก็ได้ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและ Hardware ให้กับสังคมพม่าในราคาถูก (เดี๋ยวนี้ถ้าพวกเราอยากได้ DVD ปลอม หรือพวกนาฬิกาปลอม หรือกระเป๋าปลอม ก็ต้องไปเอามาจากแม่สาย เป็นต้น) รวมตลอดถึงได้ส่งบริษัทก่อสร้างของจีนเข้ามาสร้างอะไรต่อมิอะไรในพม่าด้วยราคากันเอง
จีนไม่สนใจหรอกว่ารัฐบาลทหารของพม่าและรัฐบาลของประเทศอื่นที่จีนติดต่อด้วยจะปกครองแบบเผด็จอำนาจ
และพวกเขาจะเห็นคุณค่าของสิทธิมนุษยชนหรือไม่เพียงใด
จีนดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ
Pragmatic
และไม่สนใจแม้กระทั่งว่าพม่าจะส่งออกฝิ่นและยาเสพติดไปทั่วโลกหรือไม่
(อย่าลืมว่าจีนเคยเป็นเหยื่อของอังกฤษและอเมริกามาก่อน
สมัยที่มอมเมาจีนด้วยฝิ่นจำนวนมากอย่างไร้มนุษยธรรมโดยดำเนินการส่งฝิ่นเข้าไปจากอินเดีย
และผมว่าชนชั้นผู้นำของจีนปัจจุบันยังไม่ลืมเหตุการณ์เหล่านั้น)จีนสนใจเพียงว่า
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเส้นทางการลำเลียงน้ำมัน
เช่นเกิดวิกฤติขึ้นกับไทย
มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย
จนต้องปิดช่องแคบมะละกา
จีนจะสามารถลำเลียงน้ำมันผ่านพม่าได้
โดยให้เรือบรรทุกน้ำมันจากตะวันออกกลางมาขึ้นฝั่งที่พม่า
ซึ่งจีนลงทุนสร้างท่าเรือให้แล้ว
และขนส่งผ่านท่อหรือลำเลียงผ่านเส้นทางบกเข้าสู่ยูนนาน
เพื่อไม่ให้การผลิตและเครื่องจักรเศรษฐกิจของจีนต้องหยุดชะงัก
นอกจากนั้นจีนยังสนใจยูเรเนียมในพม่าอีกด้วย
ไทยเองก็เป็น
“Strategic
Importance” ต่อยุทธศาสตร์ของจีนอยู่พอสมควร
ตั้งแต่สมัยเมื่อสงครามในเขมรสิ้นสุดลง
และจีนจำเป็นต้องพึ่งไทยให้เป็นจุดลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่กองกำลังเขมรแดง
และปัจจุบันซึ่งจีนต้องการไทยเป็นทางผ่านออกสู่ทะเล
ตลอดจนประเทศในคาบสมุทรเช่น
มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเชีย
และเลยไปสู่โอเชียนเนีย
อีกทั้งตลาดไทยก็มีความสำคัญต่อผู้ผลิตสินค้าจีน
และในทางกลับกันจีนก็ต้องการสินค้าและพืชผลเกษตรจากไทยด้วยเช่นกัน
ความสำคัญของไทยในสายตาจีนย่อมมากอยู่
และรัฐบาล คสช.
ของเราก็ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้จีนรุกคืบเข้ามาในไทยมากขึ้น
อย่างน้อยในรอบสิบกว่าปีมานี้
มหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกและสหาย
ต่างใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไล่จับผู้ก่อการร้าย
โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับทรัพยากรจำนวนมากไปกับสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก
อีกทั้งยังร่วมกดดันรัสเซียในกรณียูเครน
และวุ่นวายอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจภายในของตน
จึงยุ่งเกินกว่าที่จะหันมาจัดวางยุทธศาสตร์ด้านอุษาคเนย์อย่างจริงจัง
หรือแม้กระทั่งเอเชียโดยรวมก็ตามที
จึงเป็นโอกาสให้จีนได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่
แน่นอน
จีนและรัสเซียย่อมไม่อยากให้สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในอัฟกานิสถานและอิรัก
เพราะมันจะทำให้อิทธิพลของฝรั่งในเอเชียกลางหมดไป
และจีนกับรัสเซียจะได้เข้าไปทำอะไรต่อมิอะไรกับทรัพยากรของย่านนั้นอย่างถนัดมือ
เหมือนกับที่ได้ทำมาแล้วกับพม่า
ทว่า
ระยะหลังมานี้
เราเริ่มได้เห็นการกลับเข้ามาในเอเซียอาคเนย์ของสหรัฐฯ
อย่างชัดเจน
ทั้งในกรณีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการฑูต
การค้า และการทหารกับพม่า
กัมพูชา และเวียดนาม
และการเข้ามากดดันทางการฑูตต่อรัฐบาลทหารของไทยอย่างเปิดเผย
กระบวนทัศน์ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ
ต่อเอเซียได้เปลี่ยนไปแล้ว
โดยสหรัฐฯ
ได้กลับมาให้ความสำคัญกับการคงอำนาจเหนือไว้ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้
อย่างไรก็ตาม
ผู้เล่นที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจไทยกลับไม่ใช่จีนและสหรัฐฯ
ทว่าเป็นญี่ปุ่น
หลังปี
1985
ซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ
จากประมาณ 360
เยน/ดอลล่าร์
มาเป็น 120
เยน/ดอลล่าร์
ทำให้ญี่ปุ่นต้องมุ่งออกไปลงทุนนอกประเทศ
ซึ่งไทยเราเป็นเป้าหมายสำคัญของญี่ปุ่นในขณะนั้น
เพราะมีความพร้อมทั้งในแง่ท่าเรือน้ำลึก
นิคมอุตสาหกรรม นโยบายส่งเสริมของรัฐบาล
สภาวการณ์ทางการเมืองที่มั่นคง
และแรงงานฝีมือ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา
ความสำคัญของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รัฐบาลไทยต้องเอาใจญี่ปุ่นสารพัด
กระทั่งโครงการ Mega-project
ในเรื่องน้ำ
ที่รัฐบาลต้องลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ญี่ปุ่น
ไม่ต้องการให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตไปประเทศคู่แข่ง
อีกทั้งชุมชนญี่ปุ่นแถวสุขุมวิทก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อรองรับครอบครัวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงาน
ตามขนาดการลงทุนของกิจการญี่ปุ่นในเมืองไทย
จนล้นออกไปแถบพระราม 9
และรัชดาภิเษก
ปัญหาของไทยในกรณีนี้คือไทยเองไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมากนัก
จะได้ก็เพียงค่าแรง ภาษี
ยอดขายวัตถุดิบเล็กๆ น้อยๆ
และยอดส่งออกของประเทศ
ซึ่งเสมือนหนึ่งญี่ปุ่นมายืมบัญชีส่งออกของไทยลงบัญชีเท่านั้นเอง
เพราะผลประโยชน์ที่แท้จริงตกอยู่ในกระเป๋าของผู้ส่งออกญี่ปุ่นเหล่านั้น
แม้เวลาผ่านไปนานมากแล้ว
ผู้ผลิตและแรงงานไทยก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความรู้สำคัญในการผลิตที่ญี่ปุ่นเคยสัญญาว่าจะถ่ายทอดให้
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแม่พิมพ์
(Mold)
ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์
ฯลฯ
สังเกตุง่ายๆ
ว่า
ประเทศเรามีการเรียนการสอนวิศวกรรมศาสตร์และเภสัชศาสตร์มากว่าร้อยปีแล้ว
แต่เราก็ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์หรือจักรยานยนต์และยาใช้เองได้
ทั้งๆ ที่เราบริโภคของเหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี
อย่าว่าแต่ Machine
Tool และความรู้ที่จำเป็นในการผลิต
Consumer
Products ที่เราต้องใช้และบริโภคมากมายในแต่ละปี
เราก็ยังไม่สามารถ “สร้าง”
เองได้
กิจการขนาดใหญ่ๆ
ของไทย ล้วนต้องนำเข้าหรือเช่า
“ระบบ” หรือหัวใจสำคัญของธุรกิจจากต่างประเทศ
(ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ที่ตกถึงเราย่อมน้อยด้วย)
หรือไม่ก็ยอมตัวลงเป็น
“นายหน้า” ให้กับผู้ผลิตต่างประเทศ
ความรู้ของเรามีได้แค่ความรู้ในการใช้งานเครื่องจักรหรือใช้งานระบบ
แต่ความรู้ในการ “สร้าง”
ระบบหรือสร้างเครื่องจักรของเรายังมีไปไม่ถึง
เหมือนกับเรารู้เรื่อง
Branding
รู้เรื่อง
Marketing
รู้เรื่องการออกแบบรถยนต์หรือ
Aerodynamic
แต่เราไม่สามารถสร้างเครื่องยนต์และระบบการผลิตได้เอง
ความรู้เรามีแค่
6-7-8-9-10
แต่ยังขาด
0-1-2-3-4-5
ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจ
โดยความรู้เหล่านี้ญี่ปุ่นยังปิดบังเก็บงำเป็นความลับสุดยอด
การเข้าถึงความรู้เหล่านี้ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย
เพราะเราจะสามารถ “สร้าง”
สินค้าและบริการของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ได้
เป็นก้าวแรกของการเป็น
“เจ้าของ” อะไรสักอย่างหนึ่ง
เช่น โตโยต้า ซัมซุง 7-11
ฯลฯ
ที่สามารถใช้ความรู้สร้าง
“ของ” ตัวเองขึ้นมาแข่งขันในตลาดโลก
และสามารถส่งต่อความมั่งคั่งอันเนื่องมาแต่
“ของที่ตัวเองสร้าง”
(จากความรู้)
หรือกิจการเหล่านั้นให้กับลูกหลานต่อไป
ได้ลืมตาอ้าปากในอนาคต
มิใช่ต้องคอยกินน้ำใต้ศอกผู้ผลิตต่างชาติตลอดไป
ปัจจุบันย่อมเป็นเวลาอันเหมาะเจาะ
ที่เราจะสามารถเปิดเจรจากับญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นเจ้าของความรู้อันเป็นหัวใจสำคัญเหล่านั้น
ให้ยอมเปิดเผยและถ่ายทอดความรู้ให้กับเราเสียที
(เทคโนโลยีก็คือความรู้นั่นเอง
ดังนั้น เทคโนโลยีในการผลิต=ความรู้ในการผลิต
และ
เทคโนโลยีในการพัฒนาหรือจัดการกับระบบปฏิบัติการหรือระบบบริหาร=ความรู้ในการพัฒนาหรือความรู้ในการจัดการกับระบบปฏิบัติการหรือจัดการกับระบบงาน
นั่นเอง)
นั่นคือเป้าหมายของ
“เกม Balance
of Power” ในรอบนี้
ที่จะมีจีนเป็นหมากให้เราได้เก็บไว้เล่นกับญี่ปุ่น
ยังไงๆ ญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมให้จีนเข้ามาแย่งพื้นที่ในไทยได้ง่ายๆ อย่างจีนจะสร้างรถไฟรางคู่เชื่อมจีนกับแหลมฉบังผ่านอีสานและลาว ญี่ปุ่นก็ต้องไม่น้อยหน้า ต่อรองจนได้รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ดีกว่าไป
ยังไงๆ ญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมให้จีนเข้ามาแย่งพื้นที่ในไทยได้ง่ายๆ อย่างจีนจะสร้างรถไฟรางคู่เชื่อมจีนกับแหลมฉบังผ่านอีสานและลาว ญี่ปุ่นก็ต้องไม่น้อยหน้า ต่อรองจนได้รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ดีกว่าไป
ผู้นำที่เก่งและมีวิสัยทัศน์และรักชาติและห่วงใยลูกหลาน
ย่อมต้องไม่ปล่อยให้โอกาสทองแบบนี้หลุดมือไป
ทักษ์ศิล
ฉัตรแก้ว
23 กุมภาพันธ์ 2558
23 กุมภาพันธ์ 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น