เรื่องที่เกิดขึ้นกับ
UBER
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
Travis
Kalanick ผู้ประกอบการซึ่งเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งยวด
มหาเศรษฐีผู้สร้าง UBER
มากับมือ
จนเขย่าวงการธุรกิจโลกอยู่ในขณะนี้
ถูกกดดันให้จำต้องวางมือจากการบริหารกิจการของตัวเอง
เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงสมัยเมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่ Steve Jobs ถูกไล่หรือปลดออกจากตำแหน่งบริหารของ Apple Computer ซึ่งเขาสร้างมากับมือ เช่นเดียวกัน
ผมจำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพิ่งกลับมาจาก Kellogg ได้ไม่นาน มาสอนวิชา Strategic Management และได้นำเอาวีดีโอเทป เรื่อง "In Search Of Excellence” ของ Tom Peters และ Robert Waterman มาเปิดให้ดูกัน เพื่อประกอบการบรรยาย
สมัยโน้น หนังสือเล่มที่ชื่อเดียวกันนี้ขายดีมาก นับเป็น Breakthrough ของวงการหนังสือธุรกิจและการจัดการ จนส่งผลให้ Tom Peters กลายมาเป็น Management Guru ชั้นแนวหน้าของโลกคนหนึ่ง
Apple เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของ In Search of Excellence
ผมยังจำได้แม่นยำว่าอาจารย์สมคิดได้ชี้ให้เห็นจุดแตกต่างของ Apple ที่ไม่เหมือนกิจการชั้นแนวหน้าของโลกสมัยนั้น คือวัฒนธรรมองค์กรที่แสดงออกมาให้หนังสารดีสั้น ซึ่งมีการถ่ายทำให้เห็นบรรยากาศการทำงาน การประชุม และสัมภาษณ์พนักงานและผู้บริหารนั้น ว่ามันมีความเป็น "จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋" (ภาษาของแกสมัยโน้น) "ดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำกิจกรรมกันสมัยเรียน"
เพราะพนักงานและผู้บริหารของ Apple ล้วนเป็นคนหนุ่มสาว ได้รับการศึกษามาดี จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ พูดจาด้วยความฉะฉาน มั่นใจในตัวเองสูง ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างโน่นนี่นั่น แต่ไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ทั้งการแต่งตัวและวิถีปฏิบัติหรือขั้นตอนในการบริหารและการดำเนินธุรกิจ
สมัยนั้น สมัยที่นักธุรกิจยังต้องผมสั้นและผูกเน็กไทใส่สูทสวมรองเท้าหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารยังต้องแต่งตัวเนี้ยบและหวีผมเรียบแปร้ และแบบแผนการจัดการในองค์กรยังให้ความสำคัญกับสายการบังคับบัญชา ระบบอาวุโส และธรรมเนียมธุรกิจ เรื่องแบบนี้ยังถือเป็นเรื่องที่ยัง Unconventional อยู่มาก
ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนสมัยนี้ เพราะวัฒนธรรมองค์กรแบบนั้นแหล่ะ ที่ต่อมาโลกได้รับรู้คุ้นเคยกับมันในนามของ "วัฒนธรรมแบบ Silicon Valley” หรือแบบ "Nerd" ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของบรรดา “Dot-com” ในยุค 90s และ “Start-ups” ทั้งหลายในปัจจุบัน
วัฒนธรรมแบบนี้ ตอนหลังเมื่อองค์กรขยายตัวขึ้น และต้องข้องเกี่ยวกับ Stakeholders หลากหลายกลุ่มยิ่งขึ้น ร้อยพ่อพันธุ์แม่มิใช่ Core Group ที่คุ้นเคยกันเหมือนเดิม เพราะกลายมาเป็นกิจการมหาชนที่มีหุ้นจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และบรรดาผู้ก่อตั้งและพนักงานรุ่นบุกเบิกล้วนกลายเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองว่าถูกว่าดี.... ทำให้เกิดปัญหาจุกจิกยุ่งยากในเชิงการบริหารจัดการ ที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการเกี่ยวข้องอีกต่อไป จนต้องนำ Professional Managers จากข้างนอกเข้ามา แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับบรรดา Professional Managers เหล่านั้นในที่สุด
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Steve Jobs ถูก John Sculley ซึ่งตนเป็นคนจ้างเข้ามาแท้ๆ ปลดออก
เพราะถ้า Steve Jobs ยังมีบทบาทนำอยู่ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋" นั้น (ส่วนใหญ่เป็น "จิ๊กโก๋" เพราะ “Nerd หญิง" ยังมีจำนวนน้อยมาก) มันก็จะยังโดดเด่นอยู่ และทำให้องค์กรเกิดความขัดแย้งเสียดสีอยู่อย่างนั้น เพราะตัว Steve Jobs เอง เป็นคนแบบนั้น จึงสร้างและสนับสนุน (จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม) กลุ่มคนแบบเดียวกันขึ้นมาแวดล้อมเขา ทำให้ Professional Manager บริหารงานยาก และถึงแม้ว่าวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้จะเป็นคุณในระยะแรก ทว่า เมื่อองค์กรเติบโตขึ้นแล้ว บรรดานักบริหารและคณะกรรมการตลอดจนผู้ถือหุ้น คิดว่าต้องปรับให้เข้ารูปเข้ารอยเสียจะดีกว่า ฯลฯ (สมัยโน้น ยังไม่มีคำว่า "Bro-Culture” เหมือนสมัยนี้)
พูดแบบสมัยนี้ก็คือ Steve Jobs โดนข้อหาว่านิยมหรือเป็นตัวการที่สร้าง "Bro-Culture” ขึ้นในองค์กร และอันที่จริง สมัยโน้นเขาก็ออกจะมองผู้หญิงไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ และชอบพูดคำสบถต่อหน้าพวกเธอเสมอ จึงเป็นไปได้ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้เขาอาจโดนข้อหา "Discrimination” หรือ "Noninclusive” เพิ่มอีกกระทงหนึ่ง
ดีที่ว่าสมัยโน้น ยังไม่มีวลี "Political Correctness” เกิดขึ้น หรือมันอาจจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้คนยังไม่ให้ค่ากับมันมากมายถึงขนาดปัจจุบัน
นับว่าต่างกับกรณีของ
Kalanick
แห่ง
UBER
เพราะเขาต้องยอมปลดตัวเอง (จากการกดดันของผู้ถือหุ้น) ด้วยข้อหาว่าไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร กับข้อเรียกร้องของพนักงานอันเกี่ยวข้องด้วยเรื่อง การคุกคามทางเพศ ตลอดจนการใช้คำพูดและการกระทำที่ส่อไปในเชิงหมิ่นแคลนกันในที่ทำงาน อันแสดงเป็นนัยยะว่า UBER ภายใต้การบริหารของเขา ยังมีบรรยากาศของการเลือกปฏิบัติ แสดงออกหลายครั้งด้วยกริยาหรือวาจาประเภทที่ชวนให้รู้สึกว่าถูกหมิ่นแคลนระหว่างเพศ (เช่นเพศชายต่อเพศหญิง หรือต่อเพศอื่น) และระหว่างคนกลุ่มใหญ่ต่อคนกลุ่มน้อย (ระหว่างคนที่ยึดถือวัฒนธรรมต่างกัน เช่นคนที่นับถือศานาคริสต์ ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของกิจการ ต่อคนที่นับถือศาสนาอื่น หรือคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด ต่อคนที่พูดภาษาอื่นเป็นภาษาแม่มาตั้งแต่เกิด หรือคนอเมริกัน ต่อคนเชื้อชาติอื่น เป็นต้น)
คนที่สนใจรายละเอียดเรื่องนี้
ผมแนะนำให้อ่าน "Covington
Recommendations”
ซึ่งเป็นรายงานที่ผู้สืบสวนเรื่องนี้เสนอความเห็นให้ต่อคณะกรรมการของ
UBER
ซึ่งเป็นที่มาของแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่มีต่อตัว
Kalanick
รายงานฉบับดังกล่าว
ทำให้เราเห็นความสำคัญของ
Political
Correctness ที่มีและจะมีต่อแวดวงธุรกิจนับแต่นี้
ธุรกิจจะละเลยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไป
นับแต่นี้
ศาสตร์การจัดการจะต้องบรรจุเรื่องทำนองนี้เข้าไปในหลักสูตร
และกิจการธุรกิจจะต้องสร้างโครงสร้างและ
Function
งานมารองรับคอนเซปท์งานทางด้านนี้โดยตรง
เช่นเดียวกับ Good
Governance หรือ
Business
Ethic หรือ
CSR
ทว่า
ต้องเข้มข้นกว่าหลายเท่าตัว
(เปรียบไปก็คงจะต้องเหมือนกับที่รัฐบาลพม่าต้องมี
"กระทรวงชาติพันธุ์"
อยู่ในโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินด้วย
นั่นแหล่ะ)
เอาเป็นว่า
ผมจะขอยกประเด็นนี้ไว้ก่อน
เพราะ นิตยสาร MBA
ของเรา
คงจะได้เขียนวิเคราะห์ประเด็นนี้กับการจัดการสมัยใหม่
อย่างละเอียดลึกซึ้ง ในเร็วๆ
นี้
ตอนนี้
ผมเพียงแต่ติดใจเรื่องนี้อยู่บางประเด็น
และต้องการจะแชร์ให้ผู้อ่านได้รู้ด้วย
คือคนที่ต้องลาออกจากตำแหน่งบริหารสำคัญของ
UBER
นอกจาก
Kalanick
แล้ว
ยังมี David
Bonderman อภิมหาเศรษฐีของโลกอีกคนหนึ่ง
ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทด้วย
กิจการ
Private
Equity ของเขาร่วมลงทุนใน
Start-Ups
ระดับโลกและในเอเชียจำนวนไม่น้อย
เหตุผลคือ Bonderman ดันไปพูดขึ้นในการประชุมบอร์ด ขณะกำลังประชุมพิจารณากันในประเด็นนี้ว่า "Actually, what it shows is that it's much more likely to be more talking,”
เรื่องของเรื่องคือแกเพียงแต่แหย่กรรมการหญิงอีกคนด้วยประโยค (ที่แกคิดว่า) ตลกๆ นั้น ระหว่างที่กรรมการหญิงคนหนึ่ง (คือ Ariana Huffington ผู้ก่อตั้ง Huffington Post) ออกความเห็นไปว่า การที่ UBER ตั้งผู้หญิงมาเป็นกรรมการแล้วคนหนึ่ง (หมายถึงตัวเธอเอง) ย่อมมีแนวโน้มว่าจะมีคนอื่นตามมา (คือโอกาสที่จะตั้งกรรมการหญิงเพิ่มขึ้น) ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริษัทมีความหลากหลายยิ่งขึ้น
แล้วเทปลับที่บันทึกการประชุมครั้งนั้นก็หลุดรอดมาถึงมือสื่อมวลชน (คือ Yahoo Finance)
แหล่งข่าวจากผู้ที่ได้ฟังเทปลับในการประชุมครั้งนั้น อ้างคำพูดของ Huffington ที่พูดว่า "There's a lot of data that shows when there's one woman on a board, it's much more likely that there will be a second woman on the board."
แล้ว Borderman ก็พูดประโยคที่เป็นปัญหานั้นขึ้น
ความหมายของ Borderman คือเขาโจ๊กเป็นนัยๆ ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ "พูดแยะ"
เท่านั้นแหล่ะ
เมื่อข่าวนี้แพร่ไป
(ในสถานการณ์ที่
UBER
กำลังเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอยู่)
ทำให้ผู้คนในแวดวงเทคโนโลยีไม่พอใจกันมาก
แล้วก็ขยายตัวไปในแวดวงอื่น
เช่น สื่อมวลชน การเมือง
และสิทธิมนุษยชน
ทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออก โดยเขียนอีเมล์ตอนหนึ่งว่า “I want to apologize to my fellow board members for a disrespectful comment,”
ในฐานะสื่อมวลชนและคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง
ผมก็เคยได้รับคำติเตียนในทำนองนี้มาแยะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบหลายปีหลังมานี้
ขนาดว่าผมเอง
เป็นคนระมัดระวังเรื่องการใช้ถ้อยคำอยู่แล้ว
ผมไม่เคยใช้คำไม่สุภาพกับใคร
แม้แต่นักการเมืองหรือนักธุรกิจที่ทำตัวน่ารังเกียจ
ผมยังไม่เคยเขียนด่าด้วยคำที่คิดว่า
มันจะเข้าข่าย "เหยียด"
หรือ
“Discriminate”
มาก่อนเลย
อย่าว่าแต่เรื่องชนกลุ่มน้อย
ผู้ด้อยโอกาส คนจน
หรือที่เกี่ยวกับเพศสภาพของกลุ่มต่างๆ
ผมก็ไม่เคยเขียนถึงด้วยถ้อยคำที่ทำให้
"เคือง"
หรือ
"ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เลย
(ยกเว้นว่าสมัยเด็กๆ
เคยล้อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีนิ้วมือจำนวน
11
นิ้วว่า
"ไอ้หน่อ"
และอีกคนที่ผิวดำว่า
"นิโกร"
แต่พอโตขึ้นก็เลิก)
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ที่ทำให้ผมจำได้แม่น
คือในขณะที่ผมพูดเรื่องหมาแมวอยู่ในกลุ่มเพื่อน
ก็ได้รับคำตำหนิจากเพื่อนคนหนึ่ง
ว่าผมไม่ควรใช้คำว่า "มัน"
หรือ
"ไอ้
อี"
กับบรรดาหมาแมวเหล่านั้น
“เธอน่าจะใช้คำว่า
'น้อง'
หรือ
'เค้า'
หรือ
'นาง'
ก็ยังดี"
เธอพูดแบบไม่ติดตลก
ตั้งแต่นั้น
ผมกับลูกๆ จึงหันมาเรียกชื่อแมวตัวเองว่า
"ไอ้คุณชิโก้"
(แมวผมชื่อชิโก้
เป็นตัวผู้)
ว่ากันว่า
Political
Correctness เกินพอดีไปมากในอเมริกา
เช่น
แวดวงวรรณกรรมมีปัญหากับนักเขียนผิวขาวผู้ชายที่เขียนนิยายเกี่ยวกับผู้หญิงผิวดำ
แวดวงบริหารจัดการก็มีความพยายามจะเลิกใช้คำว่า
"Human
Resource” และ
"Manpower”
เพราะถือว่ามนุษย์ไม่ควรถูกลดศักดิ์ศรีให้เหลือเพียงแค่เป็น
"ทรัพยากร"
และมนุษย์ผู้มีคุณค่าก็มิได้มีเพียงแค่เพศเดียว
ฯลฯ
วงการพระศาสนา ก็เลี่ยงที่จะใช้คำว่า "Man” และ "He” โดยหันไปใช้ "He or She” แทน แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า "They” เพราะมีบางกลุ่มวิจารณ์ว่า "He or She” มันฟังแล้วเหมือนเป็นการบังคับให้คนเลือกเพศได้เพียง 2 เพศเท่านั้น (Gender Binary) โดยไม่คำนึงถึงคนที่ถือตัวเองว่าไม่ได้สังกัดอยู่ใน 2 เพศนี้ เช่น พวก Transgender, Genderqueer, Gender Non-conforming, หรือ Intersex เป็นต้น
วงการพระศาสนา ก็เลี่ยงที่จะใช้คำว่า "Man” และ "He” โดยหันไปใช้ "He or She” แทน แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า "They” เพราะมีบางกลุ่มวิจารณ์ว่า "He or She” มันฟังแล้วเหมือนเป็นการบังคับให้คนเลือกเพศได้เพียง 2 เพศเท่านั้น (Gender Binary) โดยไม่คำนึงถึงคนที่ถือตัวเองว่าไม่ได้สังกัดอยู่ใน 2 เพศนี้ เช่น พวก Transgender, Genderqueer, Gender Non-conforming, หรือ Intersex เป็นต้น
อ่านถึงตอนนี้แล้ว
ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านรู้สึกอะไรหรือไม่
อันที่จริง
การที่ผู้หญิงจะพูดมากหรือพูดน้อยกว่าผู้ชาย
มันก็มิได้เป็นเรื่องที่ดีหรือเลว
หรือมิได้เป็นอาชญากรรม
ออกจะเป็นเรื่องน่ารักเสียด้วยซ้ำ
ที่มีผู้หญิงมาพูดๆ
กันให้เราได้ยิน
เพราะผู้หญิงก็เป็นกลุ่มที่ชอบสังคมและชอบเม้าท์มอยเจ๊าะแจ๊ะกันมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว
ในความเห็นผม
การที่
UBER
จะมีกรรมการเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้น
แล้วกรรมการคนใหม่นั้นจะบังเอิญเป็นคนพูดมาก
มันก็อาจจะดีต่อองค์กรก็ได้
หรือมันอาจจะทำให้องค์กรแย่งลง?
ไม่มีใครรู้
การที่เกิดกระแสสังคมกดดันจนทำให้เกิดการกดดันของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูง
จนกรรมการบริษัทต้องลาออกเพราะเรื่องแค่นี้
มันเป็นอะไรที่บ่งบอกว่า
แวดวงธุรกิจการจัดการของอเมริกัน
ได้เกิดมาตรฐานและค่านิยมใหม่บางอย่างขึ้น
มาตรฐานและค่านิยมใหม่นี้
หากเกินเลยไป
ย่อมเป็นเรื่องที่จะต้องเพิ่มต้นทุนในการบริหารให้กับสังคม
และอาจจะเหนี่ยวรั้ง Competitive
Advantage ของอเมริกาเอง
เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันอย่างจีน
ซึ่งยังไม่ต้องพะว้าพะวงกับเรื่องเหล่านี้
แต่มันอาจจะมีข้อดีก็ได้....ต้อง
Observe
กันต่อไป
พบกันใหม่ฉบับหน้า
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
25 มิถุนายน 2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น