นานๆ
ที สังคมของเราก็เกิด
"คลื่นลูกใหญ่"
ที่จะวางแนวทางและกำหนดกฎเกณฑ์ความเป็นไปของสังคมตลอดจนกรอบพฤติกรรมของผู้คนในสังคมว่าจะทำอะไรได้ไม่ได้
อีกทั้งยังเป็นตัวกำหนด
"คลื่นลูกกลาง"
และ
"ระรอกคลื่นลูกเล็กๆ"
หรือแม้แต่ "รอยกระเพื่อมวิบๆ วับๆ" นับแต่นั้นไปอีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง
บางช่วงก็นาน
บางช่วงก็ไม่นานนัก
แล้วก็จะเกิดมี
"คลื่นลูกใหม่"
มาหักล้างเปลี่ยนแปลงหันเหและวางพื้นหรือชักนำกำหนดให้เกิดแนวโน้มใหม่
ที่อาจจะแปรเปลี่ยนหันเหเฉไฉไปจากเดิมบ้าง
หรือกระทั่งหักกลบลบของเก่าและหันหลังกลับแบบ
180
องศาเลยก็เป็นได้
นักปราชญ์
นักปกครอง นักกฎหมาย นักการทหาร
นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ
นักการตลาด นักการเงิน
นักการเมือง และนักอะไรต่อมิอะไร
ที่ฉลาด รอบคอบ มองการณ์ไกล
และลึกซึ้ง มักเข้าใจประเด็นนี้
ผมขอเรียกมันว่า
"คลื่นแห่งทศวรรษ"
ในกรณีที่มันจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มระยะสั้นและระยะกลาง
และเรียกว่า "คลื่นแห่งศตวรรษ"
ในกรณีที่มันจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มระยะยาว
ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์
เราจะพบคลื่นเหล่านี้เต็มไปหมด
การเปลี่ยนแปลงของแนวคิดหรือมุมมองที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติและต่อมนุษย์ด้วยกัน
พัฒนาการของวิทยาศาสตร์และการทหาร
การเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
หรือฉับพลันของภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศยักษ์ใหญ่
หรือการเปลี่ยนสถานะทางเศรษฐกิจจากจนเป็นรวยและจากรวยเป็นจนอันเนื่องมาแต่วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ
สงครามครั้งใหญ่
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคหรือความนิยมที่มีต่อสินค้าและบริการ
ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด
(และยังคงจะทำให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต)
"คลื่นแห่งศตวรรษ"
และ
"คลื่นแห่งทศวรรษ"
ตัวอย่างของคลื่นลูกใหญ่ที่เรากำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ก็มีเช่น
การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีน
การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์และการก่อเกิดของระบบโลกานุวัตร
พัฒนาการอย่างต่อเนื่องแบบยิ่งมายิ่งเข้มข้นรุนแรงของดิจิตัลเทคโนโลยีและการสื่อสารทั้งมวล
การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของประชากรโลกและช่องว่างการเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนที่ถ่างขึ้นเรื่อยๆ
การรื้อฟื้นความเชื่อแบบสุดกู่ของศาสนาบางศาสนาอันเป็นที่มาของลัทธิและพฤติกรรมการก่อการร้าย
และการเสื่อมสลายของระบบนิเวศในอัตราเร่ง...เป็นต้น
คลื่นเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มย่อยๆ
อีกทอดหนึ่งเช่น
ราคาโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและต่ำลงอันเนื่องมาแต่ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจจีน
การเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้หันเหไปสู่จีนทั้งในแง่การค้า
การลงทุน และการเมืองระหว่างประเทศ
โดยรวมถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อไปรอเชื่อมต่อกับจีนด้วยเงินภาษีของพลเมืองของตนเอง
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยไปสู่ออนไลน์และการเติบโตของ
E-commerce
การเติบโตของสินค้าและบริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
และการเติบโตของพรรคการเมืองและกฎหมายที่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม...เป็นต้น
แน่นอน
ผู้ที่มีญานทัศนะและวิสัยทัศน์
สามารถมองเทรนขาด หรือแม้แต่สามารถ
sense ได้บ้าง
ย่อมจะประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าพวกเขาจะประกอบการสิ่งไร
ที่พูดมานี้
เพราะจะชี้ให้เห็นว่าบ้านเมืองของเรากำลังจะเปลี่ยนเทรนและอาจจะเป็นเทรนขนาดกลางที่ผมเรียกว่า
"คลื่นแห่งทศวรรษ"
ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเกมส์ใหม่ให้กับสังคมการเมือง
และอาจจะรวมถึงเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้
ดังนั้น
แนวทางการลงทุน กลยุทธ์ธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด ของภาคธุรกิจเอกชน
ย่อมต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ
"คลื่นแห่งทศวรรษ"
ใหม่นี้ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์และปฏิบัติการณ์ทางการเมืองของพรรคการเมืองและธุรกิจในเครือข่าย
น่าจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากกว่าเพื่อน
อย่าลืมว่าคณะปกครองชั่วคราวของเรากำลังดำเนินการออกแบบระบบเศรษฐกิจการเมืองและสังคมใหม่อย่างขมักเขม้น
ขณะนี้เรายังไม่รู้แน่ว่าหน้าตาโครงสร้างของกฎกติกาใหม่จะเป็นอย่างไร
ทว่าเราก็เริ่มได้ยินคำว่า
"สังคมนิยมเสรี"
ซึ่งนัยว่าเป็นแนวคิดของระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นให้เกิดความเท่าเทียมกันของคนในชาติ
ลดความเหลื่อมล้ำ ทำลายอำนาจผูกขาด
เน้นการเข้าถึงทรัพยากรโดยเท่าเทียมกัน
และหันเหจากทุนนิยมสามานย์...ทว่า
บทบาทของรัฐต่อเศรษฐกิจก็น่าจะมากขึ้นและแรงขึ้น
นัยว่าจะหันเหมาให้ความสำคัญกับแนวทาง
Corporatism
และ Social
Engineering มากขึ้น
เพราะนอกจากรัฐจะเพิ่มบทบาทในเชิงการจัดระเบียบเศรษฐกิจแล้ว
เราก็ยังจะมีหน้าที่พลเมืองและคุณธรรม
12
ประการเป็นธงนำทางด้านการจัดระเบียบสังคม
และออกแบบเป้าหมายเชิงจริยธรรมซึ่งพลเมืองในอนาคตพึงมีต่อผู้อื่นและต่อประเทศชาติ
ที่สำคัญ
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นการออกแบบเทรนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในแวดวงการเมือง
ทั้งในเชิงของการเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าสู่อำนาจ
หน้าตาของพรรคการเมืองและนักการเมือง
บทบาทของสถาบันทางการเมือง
ขอบเขตอำนาจที่ทำได้ทำไม่ได้
และระบบการถ่วงดุลอำนาจตลอดจนองค์กรผู้เล่นหน้าใหม่ที่จะเข้ามาเป็นมือไม้ของการถ่วงดุลอำนาจ
เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอย่างกว้างขวาง
โดยอาศัยพลังของกลุ่มต่างๆ
ตามแนวคิดพหุสังคม ฯลฯ
ฟังดูแล้วเหมือนจะเปลี่ยนแปลงหน้าตาไปแยะ
แต่ก็ยังไม่แน่ว่า
ในทางปฏิบัติมันจะลงเอยยังไง
อาจจะ "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่...”
หรืออาจจะสำเร็จก็ได้
ใครจะไปรู้
แต่ที่รู้แน่ๆ
คือว่าในยุคของ "คลื่นแห่งทศวรรษ"
ลูกใหม่นี้
พรรคการเมืองจะมีอำนาจน้อยลง
ข้าราชการจะมีอำนาจมากขึ้น
โดยในบรรดานี้ข้าราชการทหารจะมีอำนาจมากที่สุด
สูสีกับข้าราชการฝ่ายตุลาการซึ่งต่อไปอำนาจจากภายนอกจะเข้าไปแตะต้องลำบากมาก
ธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น
ธุรกิจขนาดใหญ่ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคณะปกครองชั่วคราวนี้
ถ้าไม่ปรับตัวเข้ามาเป็นพวก
ก็อาจจะปลาสนาการไป
และองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ
เช่น อบจ.
อบต.
จะลดบทบาทลงมาก
ดังนั้นตำรวจจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น
องค์กรพัฒนาเอกชนและตัวแทนชุมชนจะถูกเพิ่มบทบาททางการเมือง
และจะมีบทบาทต่อ
(หรืออาจจะเป็นตัวตัดสินหลักต่อ)
การลงทุนของโครงการสำคัญๆ
ทั้งโครงการของรัฐและของบริษัทเอกชนมากยิ่งขึ้น
ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจย่อมต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
การตลาดการเมืองแบบเดิม
ที่อาศัยเงินหว่านเพื่อซื้อเสียงจะใช้ได้ผลน้อยลง
การตลาดการเมืองแบบใหม่
อาจต้องอาศัยเงินบริจากหรือต้องอาศัยกลยุทธ์การร่วมเป็นพันธมิตรกับทหาร
เป็นตัวชูโรง
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
13 พ.ย. 57
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2557
ภาพประกอบ: งานมงคลสมรสของลูกสาวธนินท์ เจียรวนนท์ โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ซึ่งแสดงการปรับตัวของหัวขบวนผู้ประกอบการไทยให้สอดรับกับเทรนใหม่ทางอำนาจที่กำลังก่อตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี...ภาพจาก Jakawin Photography
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น