อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนโชคดีตั้งแต่เกิด
เขาไม่จำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างจริงจัง เพราะพ่อแม่หาไว้ให้หมดทุกอย่างแล้ว
พ่อของเขาเป็นคนมองการณ์ไกล และได้ให้การศึกษาแบบที่ดีที่สุดในโลกแก่เขา เป็นการศึกษาแบบที่ให้กับลูกหลาน Aristocrat ของอังกฤษ และแม้เขาจะไม่ได้พำนักอยู่ที่วิทยาลัย Christ Church สมัยเรียน Oxford แต่ St.John’s College กับดีกรี Modern Great ก็เกินพอแล้วสำหรับเมืองไทย
เป้าหมายของเขาจึงมีอันเดียวคือ “การเมือง” และเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ไม่ต้องว็อกแว็ก ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องปันใจให้เรื่องอื่น
เขาคล้ายๆ ฮิตเลอร์หรือเลนิน ที่คิดแต่เรื่องการเมืองและหนทางขึ้นสู่อำนาจ เป็นพวก Single Mission อย่างมุ่งมั่น กัดติด ไม่ลดละ
ดังนั้น ก่อนขึ้นสู่อำนาจ เขาจึงต้องครองตัว ครองภาพลักษณ์ ให้ใสสะอาดหมดจด สูตรสำเร็จของเขาคือ “No Sex, No Drink, No Scandal, No Affair, Rare Interview”
สำหรับเขาแล้ว อามิสสินจ้างเล็กๆ น้อยๆ แลสินบาท คาดสินบน จึงไม่มีความหมาย
เขายังโชคดีที่เกิดมาเป็นคนรูปงาม
หน้าตาเกลี้ยงเกลา กระดูกโครงหน้าเล็กและลูกกระเดือกสวยพองาม รูปร่างสันทัด ไม่สูงมาก ไม่อ้วน ช่วงบนและล่างได้สัดส่วน แข็งแรงแบบนักฟุตบอล แลดูกระฉบับกระเฉง ไม่อุ้ยอ้าย มีกำลังวังชา มีพลังชีวิต แถมยังแต่งตัวขึ้น
เขาจึงเหมาะมากกับงาน PR และเขาก็เข้าใจจุดแข็งตรงนี้ของเขา จึงสามารถเล่นกับ “สื่อ” ได้อย่างเกิดผลดีเกินคาด
ไม่ว่าเทคโนโลยีทางด้านสื่อสารจะพัฒนาก้าวไกลไปเพียงใด เขาก็สามารถเอาประโยชน์จากมัน หันเหให้มันมารับใช้เขาได้เสมอ ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โดยเฉพาะออนไลน์นั้น เขามีทีมงานที่ดีคอยติดตามประเมินผลค่อนข้างละเอียดและใกล้ชิด อย่างช่วงวิกฤติที่ผ่านมา เราเคยโพสต์รูปเขาขึ้น Facebook ของนิตยสาร MBA (Mbamagazine Wiki และ MBA_Magazine) แล้วยกคำของ William Butler Yeats มากำกับว่า “The innocent and the beautiful / Have no enemy but time.” เพียงเท่านี้ ก็มีคนมาอ้างกับเราภายหลังว่าเขาและทีมงานก็รู้ แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ถือเป็นเรื่องตลกโปกฮาไป แบบเพื่อนฝูงเตือนกันก็ต้องฟัง
นอกจากนั้น เขายังรู้จักพูด รู้จักเลือกคำ เลือกประโยค ไม่น้อยไป ไม่มากไป และหลีกเลี่ยงการทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
แต่ข้อเสียของเขาคือ เขาขาดจินตนาการ ขาดลีลาพริ้วไหว ขาดสีสัน สไตล์ของเขาจึงออก Monotone และน่าเบื่อในบางครั้ง
เขาไม่มี National Grandeur Strategies หรือ Agenda Grandeur อะไรเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีคนสำคัญๆ ก่อนหน้านี้ เช่น “โชติช่วงชัชวาล” “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” “ประเทศไทยจะต้องยิ่งใหญ่ และมีแผนเชิงยุทธ์” “เศรษฐกิจพอเพียง” “เสริมสร้างความสามารถเชิงแข่งขันของประเทศ” “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน” “ทำสงครามกับยาเสพติดและความยากจน” หรือแม้แต่ “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” “ต้องเอาคนดีมีคุณธรรมมาปกครอง” “สร้างรากฐานประชาธิปไตย โดยส่งเสริมคนดี” “แผนแม่บทประชาธิปไตย” และ “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ฯลฯ
ความโชคดีของเขาอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องทีมงานและความช่วยเหลือเกื้อกูลที่ได้รับจากคนรอบข้าง
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปก่อนหน้านี้เป็นเวลานานว่าเขาถูก Groom ให้ขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาจึงมีลักษณะของแม่เหล็กอยู่ในตัว ดังนั้นทีมงานและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนจัดหามา คนเก่งๆ จำนวนมาก ถ้าไม่ใช่ทีมที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนหน้าเขาสร้างไว้ให้ ก็สมัครใจมาทำงานให้เขาเอง โดยที่เขาไม่ต้องเหนื่อยยาก ไปควานหาแล้วปั้นหรือร่วมทุกข์ร่วมสุขขึ้นมาด้วยกัน อีกทั้งผู้ใหญ่และเครือข่ายของพ่อเขาก็ช่วยเหลืออุ้มชูเขา ท่ามกลางการเอาใจช่วยของคนในสังคมไทย ทั้งแอบเอาใจช่วยและแบบเปิดเผย
เมื่อเห็นเขาเข้าสู่อำนาจได้สำเร็จ แม้อาจจะโดยวิธีไม่ปรกติและสง่างามนัก แต่ก็สมหวังกับที่รอคอยมานาน ตอนแรกเราก็นึกว่าจะถึงคราวเคราะห์ของเขาเสียแล้ว และลักขณาแห่งความโชคดีที่ติดตัวมาแต่เกิดจะช่วยอะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป
ที่ไหนได้ เราเข้าใจผิดถนัด!
ในช่วงวิกฤติที่สุดนั้น ฝ่ายเสื้อแดงดันเดินเกมผิดพลาด ประกอบกับการกระทำอันอุอาจเยี่ยงโจรของซีกเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ จนสถานการณ์กลับกลายพลิกผัน มาเป็นลูกไก่ในกำมือเขา ให้เขาบทขยี้ได้โดยไม่มี War Guilt
เขาจึงทำสงคามกับฝ่ายอธรรม เป็น "ธรรมาธรรมะสงคราม" อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงของประเทศ
ตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา เขาบริหารประเทศแบบข้าราชการ ไม่ต่างไปจากวิธีการเดิมๆ และแบบแผนประเพณีเดิมๆ ที่ทำกันมาในแวดวงราชการไทย เขาพยายามรักษาจังหวะจะโคน ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป เอาใจทุกกลุ่ม ประนีประนอม เมื่อไม่ถึงเวลาก็ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า ให้เกียรติทีมงาน และที่สำคัญคือพยายามไม่ให้ตัวเองเด่นดังเกินไป
จุดอ่อนของเขาคือเรื่องทางมหาดไทยและเรื่องทางทหาร
แม้เขาจะได้รับการศึกษามาดี รู้เรื่องเศรษฐกิจและความเป็นไปของโลกทะลุปรุโปร่ง Well Informed ทว่า เรื่องทางมหาดไทยและทางทหารนับเป็นจุดบอดของเขาที่เขาต้องศึกษาเพิ่มเติมอย่างหนักถ้าต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีและสำเร็จ เขาต้องรู้เรื่องประเทศไทยที่นอกเหนือกรุงเทพฯ ให้มากกว่านี้ ต้องรู้จักสังคมไทยที่ไม่ใช่สังคมชั้นสูงและชั้นกลางให้ดีกว่านี้ และต้องรู้เรื่องทางทหารและการป้องกันประเทศสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง แม้แต่อาวุธยุโธปกรณ์และเทคโนโลยีด้านนี้ ตลอดจนข่าวกรองและ Spy ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยคอยฟังจากข้าราชการแต่เพียงฝ่ายเดียว
แต่เนื่องจาก Theme ของ MBA ฉบับนี้ เราว่าด้วยเรื่อง Vision และถึงแม้เราจะเคยสัมภาษณ์เขามาก่อนตอนที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ครั้งนี้ไม่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ เราจึงใช้วิธีอ่านจากเอกสารว่าตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้แสดงวิสัยทัศน์อันใดที่มีลักษณะ Original ไม่ลอกเลียนแบบมา และเป็น Innovation หรือ Creative Solutions สำหรับประเทศไทยในระยะยาวหรือไม่อย่างไร
เราไม่พบอะไรที่น่ากล่าวถึงรายละเอียดของวิสัยทัศน์ที่เขาแสดงมาในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีวิสัยทัศน์ เขามีแต่ไม่แสดงออกมากนัก เขาเป็นนักการเมืองอาชีพ ที่ไม่ต้องการพูดอะไรล้ำสมัย หรือหวือหวาน่าตื่นเต้น แต่ต้องผูกมัดตัวเอง และผลของมันก็อาจทำให้คนบางกลุ่มพอใจแต่กลุ่มอื่นหนักใจ เขาต้องพยายามเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกกลุ่ม
ที่สำคัญ เขาไม่ต้องการทำตัวเด่น ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งต้องถ่อมตน เพราะบทเรียนทำนองนี้มีให้เห็นมาแล้วอย่างเจ็บปวด
Margaret Thatcher อดีตสาวอ็อกฟอร์ด (Somerville College) และอดีตนายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของอังกฤษ และร่วมสมัยกับช่วง Formative Years ของอภิสิทธิ์ขณะที่กำลังเรียนอยู่ในอังกฤษนั้น เคยกล่าวไว้ว่า "Good PM's must have the ability to get their big simple ideas across to the public."
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มากด้วย Simple Idea แต่ไม่มี Big Idea
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น