(บทความชุด "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ลำดับที่ 2)
เมื่อติดล้อเข้าไปกับโครงเหล็ก โครงเหล็กก็วิ่งได้ แถมแบกน้ำหนักได้แยะขึ้น....ในสังคมสมัยใหม่ ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากล้อได้อย่างสร้างสรรค์ในหลายแง่มุมและน่าสนใจ พวกเขาได้สร้างอุตสาหกรรมติดล้อขนาดมหึมาขึ้นมา และบริการของพวกเขาก็ได้ผสมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโมเดร์นไลฟสไตล์แล้วอย่างชัดเจน
ก่อนอื่นเรามารู้จักเจ้า “ล้อ” ที่ว่าก่อนเถอะ เพราะตัวมันเอง ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์มาก ช่วยแบ่งเบาภาระให้มนุษย์ได้ขนสัมภาระและขนตัวเองจากจุด A ไปจุด B ได้สะดวก ง่ายดาย และเปลืองแรงน้อยลง กว่าสมัยที่ยังไม่มีมันแยะเลย
ไม่มีใครรู้ว่า “ล้อ” อุบัติขึ้นมาในโลกเมื่อไหร่กันแน่ ผู้คนในอารยธรรมเก่าแก่ทั้งหลาย ดูเหมือนว่าจะใช้ “ล้อ” กันมาช้านานแล้ว ทั้งจีน อินเดีย บาบิโลเนีย เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก โรมัน ก็ล้วนมีถนนและล้อกันแล้ว สมัยโน้น ล้อเป็นส่วนประกอบของเกวียน รถรบ รถใบ (เป็นรถแต่กางใบเหมือนเรือ และอาศัยพลังลม) รถลาก รถม้า หรือแม้กระทั่งธรรมจักร
ปัจจุบัน ดีไซน์ล่าสุดของจักรยาน รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ และเครื่องบิน ก็ยังสลัดล้อไปไม่พ้น ยานทุกแบบที่ว่ามานั้นยังต้องติดล้ออยู่อย่างเดิม เช่นเดียวกับดีไซน์ยุกแรกของพวกมัน
แสดงว่ายังไม่มีอะไรที่สร้างสรรค์กว่าล้อ มาเขี่ยมันทิ้งจากเวทีประวัติศาสตร์ไปได้
ท่านผู้อ่านที่เป็นนักสร้างสรรค์และเป็นนักประกอบการ จะลองเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาลองติดล้อดูบ้างก็ได้ เผื่อจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ Breakthrough แบบระเบิดเถิดเทิง
อย่างกระเป๋าเดินทางนั่นประไร มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์ล่าสุดที่เพิ่งติดล้อเข้าไปเมื่อสักยี่สิบกว่าปีมานี้เอง โดยอดีตกัปตันเครื่องบินคนหนึ่ง ที่ต้องแบกกระเป๋าเดินทางเกือบตลอดเวลา เขาเพียงเอาล้อ 4 ข้างไปติดไว้ตรง 4 มุมล่างของกระเป๋า เพียงเท่านี้ ก็สามารถลากสัมภาระหนักๆ ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น ต่อมาจึงปรับลดให้เหลือเพียง 2 ล้อ พร้อมติดแขนลากเข้าไป เปลี่ยนให้มาลากด้านขวาง (กระเป๋าอยู่หลังผู้ลาก) แทนด้านแคบ (กระเป๋าอยู่ข้างผู้ลาก) อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
ผมคิดว่า กระเป๋าเดินทางติดล้อ ยังคงพัฒนาให้สร้างสรรค์กว่านี้ได้อีก
หรือว่าท่านผู้อ่านจะลองกันดู!
2. อาหารติดล้อ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เคยทรงตรัสเล่าว่าสมัยยังทรงพระเยาว์เคยขอเงินสมเด็จย่าเพื่อไปซื้อขนมจุกจิกแถวข้างถนนนอกวังบ่อยๆ นั่นแสดงว่าอุตสาหกรรมอาหารข้างถนนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนกรุงมานานแล้ว
ล้อเข็นอาหารข้างถนนนับเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โดยตัวของมันเอง มีแต่ผู้ประกอบการไทยเท่านั้น ที่สามารถพัฒนาหาบเร่ แผงลอย ไปสู่อาหารติดล้อได้น่ารัก แบบที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ล้อเข็นอาหารข้างถนนนับเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โดยตัวของมันเอง มีแต่ผู้ประกอบการไทยเท่านั้น ที่สามารถพัฒนาหาบเร่ แผงลอย ไปสู่อาหารติดล้อได้น่ารัก แบบที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย และอาหารติดล้อคงจะเด่นชัดมากจนครั้งหนึ่งทีมงานแห่งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ถึงกับหยิบยืมไปทำเป็นนิทรรศการกิ๊บเก๋บนห้างเอ็มโพเรียม
ทำเล่นไป พ่อค้าแม่ค้าบางคน เห็นขายกล้วยแขกในพื้นที่เล็กนิดเดียวบนทางเท้า แต่สามารถส่งลูกเรียนเมืองนอกได้สบายเฉิบ ฟุตบาทแถวสัมเพ็งเคยสร้างมหาเศรษฐีมาแล้วมากมาย ชิน โสภณพนิช และเทียม โชควัฒนา เป็นตัวอย่างที่ชอบยกกันขึ้นมาเตือนใจและให้แรงบันดาลใจกับผู้ประกอบการรุ่นหลัง
อาหารติดล้อ มีตั้งแต่ข้าวแกง ไปจนถึงตั๊กแตนทอด มีตั้งแต่ล้อเดียว ไปจนถึงสิบล้อ และมีดีไซน์แปลกๆ เช่นเป็นมอเตอร์ไซด์ติดไซด์คาร์ และเป็นจักรยานติดไซต์คาร์ห่อหุ้มด้วยผ้ามุ้งกันแมลง ไปจนถึงรถเข็นหน้าจั่วล้อเดียวติดตั้งถังทองแดงบรรจุซุปกระเพาะปลาพร้อมเตาถ่านข้างล่าง ไปจนถึงซาเล้งสุดหรูในเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ขายลูกชิ้นทอดสารพัดชนิดรวมถึงซีฟู๊ดเกือบสดด้วย
ผู้ประกอบการเหล่านี้ เปิดทำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผลัดกันเปิด ผลัดกันปิด แต่ก็หากินได้ตลอดวันตลอดคืนชั่วนาตาปี จนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมืองไปแล้ว
นอกจากในน้ำมีปลา ในนามีข้าวแล้ว บนฟุตบาทยังมีอาหารสารพัดชนิดอีกด้วย!
ในเมืองใหญ่ที่รถราติดแจแบบกรุงเทพมหานครนี้ การแทรกตัวแล้วเลื้อยไปข้างหน้าตามซอกซองที่เว้นเป็นช่องไว้ระหว่างคันหน้ากับคันหลังและคันซ้ายกับคันขวาด้วยความเร็วพอสมควรขณะที่คันอื่นนิ่งสนิท นับเป็นความสร้างสรรค์แบบหนึ่ง ที่หาดูไม่ได้ในมหานครอื่นของโลก
กองมอเตอร์ไซด์รับจ้างภายใต้เสื้อคลุมสีส้มยังเป็นกองกำลังติดล้อขุมสำคัญเมื่อม็อบยึดเมืองอีกด้วย
ถ้าใครเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงโตเกียว คงรู้ว่าผังเมืองของมหานครแห่งนั้นต้องอาศัยการเดินครั้งละไกลๆ แม้ระบบขนส่งสาธารณะจะทรงประสิทธิภาพ รถใต้ดินบนดินครอบคลุมหลายสิบสาย แต่เมื่อจอดป้ายแล้วก็ต้องออกแรงเดินเหนื่อยเอาการ พ่อบ้านแม่บ้านเลิกจากงานหรือไปรับลูก คิดอยากจะแวะซื้อของ แต่ถ้าถือหนักเกินไปก็จะไม่เอา เพราะรู้ว่าเดี๋ยวต้องเดินไกล
ปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก เบอร์ลิน สิงคโปร์ ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
ผิดกับกรุงเทพฯ ที่ลงจากรถไฟฟ้าหรือโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินปุ๊บ ก็กระโดดขึ้นซ้อนท้ายไอ้เสื้อส้มปั๊บ ส่งถึงที่โดยไม่ต้องเดิน ด้วยสนนราคาเพียง 10-15-20-30-40-50 ไม่ว่าจะซอกเล็กซอยน้อยแค่ไหน ลึกลับซับซ้อนเพียงใด ฝนจะตกฟ้าจะร้อง ไอ้เสื้อส้มล้วนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมให้พึ่งพาได้ แม้แต่หมวกกันน็อกก็มีให้ยืม
สิบกว่าปีมานี้ ไอ้เสื้อส้มเติบโตขึ้นมากอย่างหนาตา ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมการเซ้งเสื้อวินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และก็เกิดลูกพี่ใหญ่ประจำคิวขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งตำรวจก็มีรายได้เสริมเข้าให้อีกทาง
พวกเขาเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญของม็อบแดงในรอบที่ผ่านมา
จึงไม่แปลกที่เราได้เห็นรัฐบาลปัจจุบันออกนโยบายมาเพื่อเอาใจพวกเขาโดยเฉพาะ ….ประชาวิวัฒน์และไอ้เสื้อส้มจงเจริญ!
4. บางกอกตุ๊กตุ๊ก
ตุ๊กตุ๊ก เป็นโครงเหล็กติดล้อเล็กสามล้อที่มีดีไซน์แปลกเก๋ ยูนีค มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมี “อัต-ตะ-ลักษณ์” เป็นของตัวเอง เร่งและเข้าเกียร์ด้วยการบิดข้อมือเหมือนเวสป้า ทว่าเบรคด้วยเท้าเหมือนรถยนต์ บรรทุกสัมภาระและผู้คนไปได้ในระยะไกลด้วยต้นทุนที่ต่ำ เลื้อยเลี้ยวพลิกกลับตัวแคล่วคล่องเหมือนมอเตอร์ไซด์
ตุ๊กตุ๊กเป็นส่ิงประดิษฐ์สร้างสรรค์อันเชิดหน้าชูตาของกรุงเทพมหานครมาช้านาน ชาวโลกล้วนรู้จักเฉกเช่นที่รู้จักรถบัสสองชั้นของกรุงลอนดอนนั่นเอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หลังจากที่พากันดื่มของเย็นๆ ที่ท้ายซอยคาวบอย บรรณาธิการและคณะนักเขียนของ MBA ได้เรียกรถตุ๊กตุ๊ก วานให้ไปส่งกลับออฟฟิศที่กลางซอยอโศก
“40 บาทพี่” โชเฟอร์เรียกราคา
“ให้ 100 นึงเลย แต่ขอขับได้มั๊ย?” บรรณาธิการต่อรอง
“ โอเคพี่”
แล้วบรรณาธิการก็ขึ้นควบโดยมีโชเฟอร์เอนกอยู่บนเบาะหลัง
นั่นนับเป็นทริปเดินทางที่แปลกพิลึก!
จะมีบริการที่ไหนในโลกที่ถึงใจอย่างนี้?...Customization & Co-creation น๊ะเนี่ย
เดี๋ยวนี้ถ้าใครอยู่แถวสุขุมวิทก็จะเห็นตุ๊กตุ๊กสไตล์แปลกๆ เบาะที่นั่งสองตอนบ้าง สามตอนบ้าง โดยมีโชเฟอร์สวมชุดราชปะแตนขาวพร้อมหมวกและถุงมือขับร่อนไปมาในซอกซอยอันคดเคี้ยวและซับซ้อนแต่ก็โยงใยกันเป็นเครือข่าย ตัวถังรถถูกพ่นด้วยสีแปลกๆ ที่เราไม่เคยเห็น สกรีนตัวหนังสือชื่อคอนโดและ เซอร์วิสอพาทเม้นท์ต่างๆ นานา เที่ยวบริการแม่บ้านญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลี ให้พวกเธอถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ
่สิงประดิษฐ์ราคาเพียงแสนกว่าบาทชิ้นนี้ส่งออกไปทั่วโลก บนท้องถนนของกรุงไคโรก่อนเหตุการณ์ลุกฮือครั้งใหญ่ นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งล้วนโฉบมาโฉบไปบนกองทัพตุ๊กตุ๊กไทยนั่นเอง
ไม่ทราบว่ากองทัพตุ๊กตุ๊กเหล่านี้ได้มีส่วนสำคัญในการโค่นล้มทรราชย์กับเค๊าด้วยหรือเปล่า!
5. ตลกคาเฟ่
ตลกคาเฟ่เป็นรูปแบบการแสดงที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อันเฉียบคม และปฏิพานไหวพริบอันเฉียบแหลม นักแสดงตลกคาเฟ่ไทย เปรียบไปก็เหมือนนักดนตรีแจ๊สผิวดำในนิวยอร์คช่วงทศวรรษที่ 40-60 ซึ่งล้วนมาจากชนชั้นล่าง จนมามีชื่อเสียงระดับประเทศ ตะเวนแสดงงานตามคาเฟ่ในตอนกลางคืน คืนละหลายๆ แห่ง ต้องผลัดกันอิมโพรไวซ์แบบ Ad Lib ไปตามสถานการณ์และอารมณ์ ณ ขณะหนึ่งๆ การแสดงเยี่ยงนั้นให้สมบูรณ์ ต้องอาศัยมือที่ชำนาญ และสมองที่สร้างสรรค์มาก
คนเราหัวเราะกันเพราะสาเหตุใด?
ใช่เพราะเห็นความผิดปกติชวนสมเพชของคนอื่นรึเปล่า? หรือเพราะเห็นความไม่สมบูรณ์ ไม่สมหวังสมปองของคนอื่นรึเปล่า? หรือเพราะเห็นคนอื่นได้รับความลำบากหรือพลาดพลั้งไปรึเปล่า?...
ท่านผู้อ่านลองถามตัวเองอย่างจริงจังดูสักครั้ง หรือสังเกตุตัวเองเวลาหัวเราะหรือขำสักครั้งเถอะ หรือลองหาฟังเรื่องราวที่ อุดม แต้พานิช เล่าเพื่อให้คนอื่นขำดูเถอะ ว่ามันมีน้ำเสียงเย้นหยันดูแคลนผู้ถูกเล่านั้นเพียงใด
...การให้บริการเสียงหัวเราะ โดยทำตัวเองให้ผิดปกติ หรือบ้าๆ บอๆ และทำซ้ำๆ ทุกวัน วันละหลายรอบ โดยที่ตัวเองยังปกติดีอยู่และไม่หมดมุข นับเป็นรูปแบบการแสดงที่สร้างสรรค์ที่สุดในบรรดาการแสดงบนเวทีด้วยกัน
เป็ด เชิญยิ้ม ในชีวิตจริงเมื่อลงจากเวทีแล้วนั้น เป็นคนซีเรียสจริงจัง ไม่ตลกและออกเชิงธุรกิจ ดี๋ ดอกมะดัน ก็เช่นเดียวกัน สมัยที่ยังแข็งแรง ก็มีเรื่องมีราวไปทั่ว แต่เมื่อคนเหล่านี้อยู่บนเวที พวกเขาตลกอย่างยิ่ง ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ล้วนมาจากการสังเกตุ จากการอ่าน จากการจดจำ และทำซ้ำๆ
เพื่อแสวงหามุขอย่างต่อเนื่อง Bob Hope นักแสดงจำอวดระดับโลก ถึงกับต้องมีห้องสมุดส่วนตัว โดยจ้างคนตัดคลิปปิ้งข่าว เข้าแฟ้ม จัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกๆ วัน
โลกเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์และความเศร้าเคล้าน้ำตา โดยเฉพาะโลกของชนชั้นล่างในเมืองใหญ่ด้วยแล้ว คงหาความสุขได้ไม่ง่าย
ตลกค่าเฟ่นับเป็น Creative Outlet ที่ช่วยบรรเทาความเครียดของสังคมให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง!
6.นำ้ขาว
แอลกอฮอล์ นอกจากจะทำหน้าที่ Stimulant ให้มนุษย์ตื่นตัว รู้สึกดี และทำงานได้อีดแล้ว มันยังเป็นผลผลิตที่ต้องบ่มขึ้นด้วยความรัก ด้วยศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
แอลกอฮอล์อยู่คู่โต๊ะอาหารของมนุษย์มาช้านาน นานกว่านิโคติน และคาเฟอินด้วยซ้ำไป
“น้ำขาว” เป็นผลผลิตจากท้องถิ่นแดนล้านนาที่มีเรื่องราวความเป็นมาอันน่าสนใจ ไม่แพ้ไวน์ตามเขตแคว้นน้อยใหญ่ในแดนดินฝรั่งเศส
ก่อนที่รัฐบาลกลางจะเข้าผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำเมาแล้วให้ผู้ค้าจีนเช่าช่วงสัมปาทานจนร่ำรวยกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นของประเทศนั้น ชาวบ้านทั่วประเทศล้วนมีเทคโนโลยีในการหมัก ต้ม กลั่น “ชัยบาน” ดื่มเองมาช้านาน
“น้ำขาว” เป็นชัยบานหมักจากข้าวเหนียวประจำแคว้นล้านนา ชาวบ้านนิยมหมักกันก่อนสงกรานต์ ใส่โอ่งฝังดินไว้ให้ได้ที่ พอถึงช่วงเทศกาลก็เปิดเลี้ยงฉลองกัน แขกไปใครมาต้องแวะจิบคนละกรึ๊บสองกรี๊บ...บางคนก็พรวดเดียว
แต่ละบ้านล้วนมีสูตรเป็นของตนเอง เช่นหุงข้าวเหนียวกี่นาที ต้องซาวน้ำกี่น้ำก่อนหรือไม่อย่างไร ต้องใช้นำสะอาดจากบ่อไหน ส่วนความลับสำคัญอยู่ที่ “ลูกแป้ง” ซึ่งบางบ้านได้เลี้ยงยีสต์บางสายพันธุ์มาหลายเจนเนอเรชั่นแล้ว โดยนำมาผสมผสานกับสมุนไพรพื้นบ้านนับหลายโหล ในสัดส่วนที่เป็นความลับเฉพาะตน (แม้คนในครอบครัวก็ยังไม่ได้รับการถ่ายทอด เพราะจะถ่ายทอดให้กับคนรุ่นใหม่ที่ใจรักและมีความเพียรเท่านั้น) บางคนก็ผสมผลไม้แต่ละชนิดลงไป เช่น เชอรรี่ สตรอเบอรี่ องุ่น ลำไย ทำให้ End Product มีรสชาติกลมกล่อม นุ่มลิ้นและเพดานปาก แถมหวานขึ้นจมูกและติดอยู่อย่างนั้น....ได้สักสองสามเป๊กก็จะครึ้นเครงไม่หยอก
ฝรั่งจำนวนมากที่มาแต่งงานอยู่กันกับสาวไทยล้วนติดอกติใจไวน์น้ำอย่างลึกล้ำ บางคนว่าเมืองไทยเป็นสวรรค์บนดินของการบริโภค ทั้งเรียบง่ายและหลากหลาย ที่สำคัญคือราคาย่อมเยาว์
ขาดอย่างเดียวเท่านั้นแหละ....คือ Stories ดีๆ และมาตรฐานการผลิต อย่างที่ผู้ประกอบการและรัฐบาลฝรั่งเศสเก่งนัก
ในภาวะที่ Image ของแอลกอฮอล์ตกต่ำ และคาเฟอีนเฟื่องฟูอยู่ในขณะนี้ (การค้าคาเฟอินไม่ถูกควบคุมใดๆ เลย..สตาร์บักเปิดเอาๆ ชาเขียวโฆษณาเอาๆ กระทิงแดง เอ็มร้อย ก็ใช่ย่อย) รัฐบาลควรปลดปล่อยอุตสาหกรรมนี้ เปิดกรงให้ความคิดสร้างสรรค์ได้โบยบินออกมาอย่างอิสระ โดยมีเป้าหมาย Aim High ไปที่ตลาดโลก
ตลาดแอลกอฮอล์เป็นตลาดใหญ่มากๆ และผู้บริโภคเรียกร้องความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานที่ แม้แต่เทพเจ้ากรีกโรมมันก็มีวิธีดื่มกินเป็นของตนเอง หรือพระอิศวรก็ทรงเคยเสวยน้ำโสมอยู่บ้าง
โอกาสที่ชัยบานจากท้องทุ่งหรือป่าเขาไทยจะสำเร็จในตลาดโลกย่อมมีเสมอ โดยต้องอาศัยจิตใจอันแน่วแน่ของผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ว่าจะผสม Creative Mix ออกมาเช่นใด เพื่อต่อตรงไปสู่ผู้บริโภคที่เป็นสากล
ขนาด “กระทิงแดง” เคยเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นล่างมาแท้ๆ ครั้นไปโด่งดังที่เมืองนอก กลับตารปัตรโดยสิ้นเชิง
7. ส้มตำ
ส้มตำเป็นอาหารไทยแท้ๆ เพียงอย่างเดียวที่ได้รับความนิยมในขั้นแนวหน้า ถูกบริโภคกันทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทะลุทะลวงข้ามพรมแดนแห่งชนชั้น ไม่ว่าเจ้าว่าไพร่ ถ้าได้ลองแล้ว เป็นติดใจ
ส้มตำเป็นงาน Hand Made
สูตรผลิตส้มตำอิมโพร์ไวซ์ไปตาม Preference ของท้องถิ่นและรสมือของแม่ครัว...บ้างใส่ปูดอง บ้างใส่ถั่ว บ้างใส่ปลาร้า บ้างก็เพิ่มเส้นหนมจีน บ้างก็เปลี่ยนมะละกอเป็นแตงกวา บ้างก็ใส่ปูม้า เผ็ดมากเผ็ดน้อยก็ว่ากันไป Ingredient ของส้มตำให้สารอาหารที่มีประโยชน์...จะมีอะไรที่ถูก สะดวก ให้ประโยชน์ทางโภชนาการครบถ้วน และ “แซ่บบบบบ”....ครีเอตีฟมะ
แม้ฝรั่งจะรู้จักส้มตำน้อยกว่าต้มยำกุ้ง แต่ Image ของส้มตำก็เหนือกว่า (เพราะต้มยำกุ้งดันถูกยืมชื่อไปใช้ตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่เมื่อปี 40) เพื่อพิสูจน์ว่าส้มตำมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในตลาดโลก เราจึงทดลองค้นหาเรื่องราวของส้มตำในภาคภาษาอังกฤษบนอินเทอร์เน็ต ก็ปรากฎว่ามีอยู่ไม่น้อยเลย
MBA ขออนุญาตบ้าจี้สักนิด ขอตีพิมพ์ข้อความภาษาปะกิตที่ค้นคว้ามาและได้ตรวจสอบกับผู้รู้ไปแล้วสักหน่อย เพื่อประกาศศักดาของส้มตำ ว่าข้านี้ก็หนึ่งในตองอู หวังว่าผู้อ่านคงจะไม่หมั่นไส้เอาน๊ะ...โอเคน๊ะ
Most common Som Tum's ingredients are:
1 raw papaya
5-6 segment of garlics
5-6 Thai Red Chillies (upside unlimited, depend on your capacity to eat hot chilly)
2 half-sliced tomatos
2 tablespoons of grounded peanut
1 snake bean (long bean)
2 tablespoons of fish sauce
2 table spoons of dehydrated small shrimps
¼ cup of lime juice
1 tablespoon of palm sugar
(all ingredients could be varied according to your taste)
There are both advantages and disadvantages of this dish:
Advantages: This dish is very advantage to our body by the nutritional facts:
1.It contain high fiber--which colud help the body to get rid of toxin and waste.2.It contain low amount of fat--shortly it's good for your heart and your metabolism.
3.It contain fruit, vegetable, bean, and spices-such as papaya, tomatoes, pepper, garlic.etc.; which contain high profile on nutritional facts.
Disadvantages: On the other hand, there are harms which could probably associated with some proper prepared or proper stored ingredients:
1.In the grounded peanut and grounded pepper, there are a substance called alfatoxin that may cause liver disease and carcinogenic in which may lead to death with cerebral edema and fatty involvement of the liver, kidneys, and heart.2.Chemical pesticide residues from pepper, tomato, and lime.
3.Artificial colouring residue in the dried shrimps and artificial colouring in the fish sauce which slow down the metabolism.
4.Monosodium Glutamate of which a normal person should consume no more than 1 teaspoon of per day, or it will affect the kidneys and contributing to high blood pressure.
5.Acids from salt and fake lime juice affect the digestive system.
6.Chemical food preservative.
7.Tapeworm, flatworm, and mostly Fluke in the additional raw preserved sand crab and other fresh vegetables.
Nutritional facts of vegetable in Som Tum:
Papaya contains:
-Iron which could maintain the balance of blood cells.
-Calcium for strong bones and teeth.
-Vitamin A which help to maintain strong eyes.
-Vitamin B are nutrition for the nervous system.
-Vitamin C that help cure disease and make strong immune system.
-Contain enzyme in which help maintain strong immune system.
Tomato contains:
-Vitamin A
-Calcium
-Vitamin C
-Iron
Garlic contains:
-Vitamin A (in small amount)
-Calcium
-Vitamin C
-Iron
Peanuts contains:
-Calcium
-Iron
Pepper contains:
-Vitamin A
-Vitamin C
-Iron
-The spice is low in saturated fat and sodium and very low in cholesterol
Long bean contains:
-Vitamin A
-Iron
-Vitamin C
ว่าไงละ ท้าทายนักสร้างสรรค์มิใช่เล่น...รัฐบาลน่าจะเปิดการประกวดประขัน ให้บรรดานักสร้างสรรค์ลองใส่ Creative Mix ของแต่ละท่านลงไป เพื่อเปิดประตูไปสู่ตลาดโลกกัน ก็น่าจะดีไม่น้อย
ไม่เสียอะไรหนิ...ว่ามะ!
8. ดุลภาพบำบัด
ปัจจุบัน มนุษย์ตายเพราะถูกเชื้อโรคโจมตีน้อยลงแยะ แต่มนุษย์กลับมาตายด้วยน้ำมือตัวเอง มะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิต อัลไซม์เมอร์ ตับ ไต ไส้ พุง พิการเรื้อรัง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่พรากชีวิตมนุษย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะที่อยู่ในประเทศมั่งคั่งและเทคโนโลยีก้าวหน้า...การแพทย์และอุตสาหกรรมยาสมัยใหม่ยังมืดแปดด้าน ทว่าคำตอบกลับอยู่ในประเทศไทย ใกล้ตัวเราเพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง
พ.ญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ แห่งคลีนิกบ้านสวน (โทร. 02-8658114) เป็นคนชอบสังเกตุและมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ประสบการณ์ที่เห็นคนเจ็บป่วยและหายจากความเจ็บป่วยมาช้านาน และประจักษ์กับความตีบตันของการแพทย์ตะวันตกสมัยใหม่ (ที่เน้นการใช้ยาและผ่าตัด) ซึ่งแก้ปัญหาไม่ได้ แถมยังซ้ำเติมความเจ็บป่วยจนหนักหนาและซับซ้อนยิ่งไปอีก ทั้งความเลวร้ายของอุตสาหกรรมยา และความโลเลเหลวไหลของวงราชการแพทย์ไทย ทำให้เธอตัดสินใจเดินออกนอกระบบ เพื่อทดลองกับแนวคิดใหม่ ที่ไม่ใช้ยา ไม่ใช้มีดหมอ ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ แต่หันมาใช้การปรับสมดุลของร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยการปรับสมดุล นวด ฝังเข็ม ยืดเส้นสาย เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ซึ่งผิดเพื้ยนไปนั้นกลับสู่ที่ทางของมัน
เธอพิสูจน์จนเห็นจริงแล้วว่า ที่คนเราเจ็บป่วยกันด้วยโรคลึกลับเหล่านั้น เพราะเราขาดสมดุล โมเดร์นไลฟสไตล์เป็นศัตรูอันร้ายกาจของความสมดุลในชีวิต ผู้คนใช้ชีวิตเอียงกระเท่เร่ อย่างซ้ำๆ เป็นเวลาช้านาน (นั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือพวงมาลัยนานๆ ซ้ำๆ แบกของหนักบ่อยๆ นักเรียนแบกกระเป๋าใบใหญ่ตั้งแต่เด็ก ใส่ส้นสูงมากๆ ตลอดเวลา เดินเอียงข้างใดข้างหนึ่ง ฯลฯ) จนร่างกายปรับตัวต่อต้าน หรือไม่ก็เคยได้รับอุบัติเหตุและละเลยที่จะปรับสมดุลให้ทุกอย่างกลับเข้าที่ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ จนสูญเสียเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท เส้นเลือด ฯลฯ ผกผันบิดตัว การไหลเวียนจึงไม่สะดวก นานเข้าก็เจ็บป่วย
การหายจากโรคเรื้อรังของคนไข้ที่เคยพบทางตันมาแล้วกับวิถีแพทย์กระแสหลัก ทำให้เธอมั่นใจว่าแนวทาง “ดุลยภาพบำบัด” ของเธอนี้ ใช่เลย!
ชื่อเสียงของเธอขจรขจายไปทั่วโลกเองโดยอาศัยปากต่อปาก แม้แต่หมอจากเยอรมันเองก็ต้องบินมารักษากับเธอ
วิถีชีวิตสมัยใหม่ แม้จะสะดวกสบาย แต่ก็นำภัยที่มองไม่เห็นมาด้วยเสมอ...ขณะที่การแพทย์สมัยใหม่ปวดหัวกับภัยเหล่านี้ คุณหมอลดาวัลย์กลับ “คิดออก” และเห็นเป็นเรื่องท้าทาย
ความฝันของเธอยังเหลืออีกอย่างเดียว คือต้องการเห็นราษฎรถูกปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์อันเข้มงวดไร้สาระ ให้ทุกคนกลับมีเสรีภาพ ได้กลับมารักษาตัวเอง เป็นหมอให้กับตัวเองและญาตพี่น้องได้ เอาเข็มทิ่มตัวเองได้โดยอิสระ ทว่าถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่จะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม มิใช่ผูกขาดไว้ในมือหมอแต่เพียงผู้เดียว
ถ้ารัฐบาลจะหันมามองสักนิด หรือมีใครช่วยใส่ Management เข้าไปอีกหน่อย MBA เชื่อแน่ว่า “ดุลยภาพบำบัด” จะโด่งดังไปทั่วโลกจนหยุดไม่อยู่ และมันจะช่วยให้คนจำนวนมากได้พ้นจากทุกข์และความทรมาน
แน่นอน...Hard Currencies ย่อมต้องไหลมาเทมา...มันจะมาของมันเอง
9. THAI COMMONSENSE
คนจีนอพยพไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สามารถกลืนเข้ากับเจ้าถิ่นได้อย่างสนิทใจ จำต้องอยู่กันเองเป็นสังคมเล็กๆ ในฐานะผู้ขออาศัย ยุโรป อเมริกา ก็มีไชน่าทาวน์เป็นพยานอยู่ และบางแห่งก็ถึงกับขัดแย้งรุนแรงกับเจ้าถิ่น อย่างที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ล้วนมีความทรงจำที่ไม่ดี กับญี่ปุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ทว่ากรณีเหล่านั้นหาได้เกิดขึ้นในเมืองไทยไม่ คนจีนมาอยู่เมืองไทยกันเพียงสองสามเจนเนอเรชั่นก็กลายเป็นคนไทยไปหมด แง่งามของวัฒนธรรมไทยในเชิงนี้ นับเป็นแง่มุมที่สร้างสรรค์ยิ่ง ถ้าเราจะทำความเข้าใจมันสักนิด คิดให้เป็นระบบสักหน่อย ก็อาจจะได้ประโยชน์จากแง่งามนี้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในยุคสังคมเครือข่ายของโลกอนาคต
Trust เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของโลกสมัยใหม่ โลกที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าเห็นตากันหรือรู้จักกันมาก่อนแต่ต้องมาค้าขายหรือทำธุรกรรมระหว่างกัน
วัฒนธรรมไทยเอื้อให้เกิด Trust ได้ง่ายมาก ง่ายยิ่งกว่าวัฒนธรรมญวน แขก ญี่ปุ่น หรือจีนหลายเท่าตัว
ง่ายเกือบเท่าวัฒนธรรมของพวกฝรั่งแองโกลแซ็กซั่น ที่สามารถมี Trust Beyond Family ของตัวออกไปได้ (ซึ่งเป็นเรื่องยากเข็ญมากที่จะให้คนจีนไว้ใจคนนอกครอบครัว)
เป็นเรื่องนอกเหนือจินตนาการออกไปมากโข ที่คิดว่าผู้นำสูงสุดของเครือซีพี จะไม่ใช่คนนามสกุล “เจียรวนนท์” อย่างวัฒนธรรมญวนนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องเพราะพวกเขาอยู่ภายใต้อุ้งอำนาจของต่างชาติมาเป็นพันปี เริ่มจากจีน แล้วก็มาฝรั่งเศส แล้วก็มาอเมริกัน ซึ่งพวกเขาล้วนมีความทรงจำที่ไม่ดี ทำให้โอกาสที่จะเอื้ออำนวยให้เกิด Trust ต่อพันธมิตรต่างชาตินั้นเป็นเรื่องยาก แม้พวกเขาจะไม่แสดงออกอย่างชัดเจนในภายนอก แต่ข้างในลึกๆ เราล้วยเข้าใจได้
กิจการ Joint Venture หรือ Merger & Acquisition ระหว่างต่างชาติกับเวียดนามจึงมักล้มเหลวไม่เป็นท่า นักธุรกิจแนวหน้าของไทยหลายรายล้วนเคยม้วนเสื่อกลับมากันทั่วหน้า
เรื่องเหล่านี้แถบจะไม่เป็นปัญหาในเมืองไทย
ว่ากันว่า คนจีนที่อพยพเข้ามาหากินในเมืองไทยนั้น นอกจากจะพึงพอใจกับความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังพอใจให้ลูกหลานได้บวชเรียน แม้แต่เพียงช่วงสั้นๆ ทว่าทันทีที่ได้บวช พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไทย แม้ลูกหลานที่ได้เข้าโรงเรียนไทย ก็ล้วนพอใจที่จะเป็นคนไทยมากกว่า แม้นามสกุลก็ต้องเปลี่ยนให้เป็นไทย
Assimilation Factor ของวัฒนธรรมไทยในเชิงนี้ นับเป็น Asset ที่สำคัญ
10. ความกตัญญู
“ความกตัญญู” มีมูลค่าเชิงเศรษฐกิจหรือ Economic Value ผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เรียกร้อง Loyalty เอากับพนักงานกลุ่มที่สร้างสรรค์มากๆ หรือ จากคู่ค้า จากซัพพลายเออร์ จาก Stakeholders และจากสังคม ก็ต้องรู้จัก “ให้” หรือรู้จัก “แบ่งปัน” ซะก่อนเป็นเบื้องแรก
ธุรกิจสร้างสรรค์ย่อมต้องอาศัยพนักงานที่สร้างสรรค์ ผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ย่อมต้องอาศัยพนักงานที่มี Talent สูงถึงสูงมาก คนเหล่านี้มีคนต้องการมาก และอาจถูกแย่งชิงได้โดยง่าย หากพวกเขาไม่มี Loyalty ต่อเรา ต่อองค์กร และต่องานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำอย่างเพียงพอ
แนวคิดของ “ความกตัญญู” ย่อมเหมาะสมและเข้ากันได้ดีกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ปัญหาสำคัญอันหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ก็คือ Healthcare ซึ่งฉุดรั้งให้งบประมาณแผ่นดินต้องขาดดุลอย่างมโหฬารและทำท่าว่าจะบานปลายไปเรื่อยๆ
พ่อแม่ในสังคมอเมริกันมักละเลยที่จะปลูกฝังลูกในเรื่องความกตัญญู และเมื่อเด็กเติบโตขึ้นสักนิด ก็นิยมแยกตัวออกไปอยู่เอง ดังนั้น เมื่อพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่ในขณะที่ลูกยังเล็ก ลูกก็ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อพวกเขาแก่เฒ่า
มันเลยเป็นภาระของรัฐที่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย แทนที่ภาระทำนองนี้จะถูก Absorb และกระจายกันไปอย่างถ้วนทั่วในสังคม ความรุนแรงของปัญหามันก็จะเบาลง
ความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์และความรู้เชิงโภชนาการยิ่งช่วยให้มนุษย์เราอายุยืนยาวขึ้นไปอีก
รัฐบาลสหรัฐฯ คงต้องหันมาปรึกษา “ขงจื้อ” ซะบ้าง แล้วกระมัง!
11. อักษรไทย
ผู้คิดค้นประดิษฐ์อักษรไทยเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจิตใจใหญ่โต ใฝ่สูง อยากมีอำนาจ อยากเป็นเจ้าของ อยากมีอิทธิพล อยากได้เปรียบ อยากขี่ อยากอยู่เหนือ และเป็นจิตใจแบบ Entrepreneur แม้จะเป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” แต่ MBA คิดว่า ผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ควรมองข้าม
กว่าจะมาเป็นอักษรไทยในยุคสมัยของเรา ก ไก่ ขอ ไข่ ได้วิวัฒนาการมาแล้วหลายยุค เป็นวิวัฒนาการที่ค่อยเป็นค่อยไป ไดนามิก ไม่หยุดนิ่ง ตั้งแต่ยุคแรกที่สุโขทัยเริ่มปลดแอกจากขอม ก็ได้หยิบยืมอักษรในภาษาต่างๆ ที่มีใช้กันแพร่หลายอยู่แล้วในดินแดนอุษาคเนย์นี้มาดัดแปลงให้เป็นของตัวเอง
ถ้าจะสืบสาวเอาเข้าจริงๆ วัฒนธรรมสูงหรือ High Culture ของเราย่อมมีรากเหง้ามาจากอินเดียหรือชมพูทวีป อันนี้รวมถึงภาษาและวรรณคดีด้วย
อักษรไทยสมัยพ่อขุนรามฯ จึงวิวัฒน์มาจากอักษรพราหมี อักษาขโรษฐี อักษรอสุระ อักษรอุตตรกุรุทวีป อักษรสาคระ อักษรทวารวดี อักษรปัลลวะ อักษรมอญโบราณ อักษรเขมรโบราณ อักษรกวิ และอักษรขอม อีกทอดหนึ่ง
ในบทความเรื่อง “กว่าจะเป็นอักษรไทยในอุษาคเนย์” ที่ตีพิมพ์ในพจนานุกรมฉบับมติชน (๒๕๔๗) ให้ความเห็นไว้น่าฟังว่า “อักษรเป็นผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ เช่นเดียวกับภาษา จึงไม่มีกำเนิดในปีหนึ่งปีใด หากค่อยๆ ก่อรูปและค่อยๆ ดัดแปลงไปตามสะดวก ตามฝีมือ และตามแต่จินตนาการของคน” (หน้า ๑๐๐๒)
เห็นได้ชัดว่า อักษรและภาษา เกือบเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการล้วนๆ เลย
12. National Hero
National Hero เป็นเรื่องของแรงบันดาลใจและความภูมิใจในตัวเอง คนที่ถูกพร้อมใจเลือกให้เป็น National Hero มักเป็นผู้ประสบความสำเร็จไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งมักจะมีความสร้างสรรค์สูงอยู่ในตัวด้วยแล้วเสร็จสรรพ หากเราถามคนไทยปัจจุบันดู ก็จะได้รับคำตอบต่างกัน ขึ้นอยู่กับความรับรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ ตลอดจนรากเหง้าที่มาในเชิงภูมิศาสตร์ และรูปการณ์จิตสำนึกในเชิงชนชั้นและอาชีพ แต่ถ้าให้เลือกมาสามคน ที่ทุกคนเห็นร่วมกัน ย่อมมีรายนามและรายพระนามของ สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระจุลจอมเกล้า และศรีธนชัย รวมอยู่ด้วย ผมขอเพิ่มศรีปราชญ์เข้าไปด้วยอีกคนหนึ่ง
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นกษัตริย์นักเรียนนอกพระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา จึงเข้าใจพม่าลึกซึ้งนัก ทรงเหี้ยมหาญ เป็นนักรบ เป็นนักล่า นักยึด อยากเอาชนะ อยากครอบครอง เฉียบขาด กล้าได้กล้าเสีย และรักความเสี่ยง พระองค์ทรงมีจิตใจ Entrepreneur อย่างเต็มเปี่ยม แต่พระองค์ก็ทรงมีจุดอ่อน เพราะทรงดุร้าย โหดเหี้ยม และเลือดเย็น หลังยุคสมัยของพระองค์ สมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นครองราช บ้านเมืองไม่มีศึกสงครามอีกเลย
ศรีปราชญ์และศรีธนชัยต่างก็เป็นไพร่ ทั้งคู่มีความสามรถสูงยิ่งในเชิงเลือกใช้ “คำ” คนหนึ่งสร้างสรรค์สุดๆ นิพนธ์งานโดยเลือกใช้ “คำ” ที่สามารถ Represent จินตนาการอันงดงามเพริศแพร้ว ใน กำสรวลศรีปราชญ์ นั้น “ถ้อยคำ” ที่ถูกเลือกสรรมาประดิษฐ์ประดอยล้วนพาให้ผู้อ่านทั้งได้กลิ่น ได้ยิน ได้เห็น และรู้สึก อย่างที่กวีอยากให้เป็น
ส่วนศรีธนชัยก็สามารถใช้คำ ใช้วลี ใช้ประโยค ประกอบเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือ แม้แต่กษัตริย์ก็ทรงให้ความเชื่อถืออย่างสนิทพระทัย นับเป็นความสร้างสรรค์เชิงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
จุดอ่อนของศรีปราชญ์คือเจ้าชู้ไม่เลือกคน จนนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตัว ทว่าในวาระสุดท้าย ศรีปราชญ์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสุขุม มีสติ และลุ่มลึก ถึงกับแต่งโคลงอันทรงพลังแต่แฝงไว้ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ณ ตรงหน้าลานประหาร...ตรงนั้นว่า
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารญ์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง
ส่วนจุดอ่านของศรีธนชัยคือความกะล่อน ปลิ้นปล้อน และเหลาะแหละ เอาตัวรอดไปวันๆ ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองสมัยนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระราชดำริสร้างสรรค์สูงมาก ในช่วงครึ่งหลังของรัชสมัย ถ้าพูดแบบสมัยใหม่ก็ต้องบอกว่า พระองค์ท่านทรงเป็นทั้งกษัตริย์ เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี เป็นทั้งประธานศาลฎีกา และเป็นทั้งประธานรัฐสภา จุดเด่นสำคัญของพระองค์่ท่านคือการ “ต่อท่อตรง” ดูดเอาความรู้ วิทยาการ และเทคโนโลยี ของยุโรปมาพัฒนาประเทศ
ก่อนยุคสมัยของพระองค์ กษัตริย์ทรงพระราชดำเนินไปไหนมาไหนด้วยรถม้าหรือช้างหรือนั่งบนเกี้ยวให้คนแบกไป แต่หลังยุคสมัยของพระองค์กษัตริย์ทรงพระราชดำเนินไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ ประเทศไทยก่อนยุคสมัยของพระองค์กับหลังยุคสมัยของพระองค์ต่างกันลิบลับ ไฟฟ้า ประปา รถไฟ ถนนหนทาง ยวดยานพาหนะ ผังเมือง พระราชวัง ระบบราชการ ระบบกฎหมาย โรงเรียนสมัยใหม่ หนังสือพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือแม้แต่การส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก ฯลฯ ล้วนอุบัติขึ้นในยุคของพระองค์ท่าน
จุดอ่อนของพระองค์อยู่ในเรื่องของ “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งพระองค์ท่านไม่ทรง “ต่อท่อตรง” มาจากยุโรปด้วยในเรื่องนี้
เพียงเท่านี้ก็อาจทำให้เราได้เห็นแง่มุมที่สร้างสรรค์ของ National Hero ของเราได้บ้าง แต่ภายใต้วัฒนธรรม “เซ็นเซอร์ตัวเอง” ของสื่อมวลชนไทยที่เข้มข้นขึ้นในระยะหลัง การที่เรากล้าเขียนอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ ก็ถือเป็นความสร้างสรรค์โดยตัวมันเองแล้ว มิใช่หรือ
13. ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ต้อง "เขียน" เป็น
ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องเขียนเป็น เขียนเก่ง เขียนกระชับ เขียนเฉียบขาด เขียนลึกซึ้ง เขียนให้เห็นจริง ได้ยินจริง ได้กลิ่นจริง และรู้สึกจริง เขียนอย่างมีพลังโน้มน้าว ชักจูง กินใจ และพาฝัน
โลกยุคใหม่ต้องการ “ข้อเขียนที่สร้างสรรค์” ตลอดเวลาเราต้องเขียนเว็บ เขียนบล็อก เขียนเฟสบุ๊ค เขียนทวิตเตอร์ เขียนแผนการเงิน เขียนแผ่นใสเพื่อนนำเสนอ เขียนคำเก๋ๆ เพื่ออธิบายสินค้า เขียนก็อปปี้โฆษณา เขียนคำเพื่อสร้างแบรนด์ หรือแม้กระทั่งเขียนอีเมลล์
ผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต้องเรียนรู้ที่จะเขียน และเขียนให้เป็น Creative Writing
ผมขอจบบทความสร้างสรรค์งวดนี้ด้วย “การเขียน” เพราะเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องหญ้าปากคอกแต่สำคัญ และมักจะถูกละเลย
ผู้ประกอบการรุ่นเก่า มักไม่คิดว่า “การเขียน” เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ และมัก Sub-contract งานเขียนออกไปให้เอเจนซี่โฆษณาหรือพวกพีอาร์ ทว่า สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่อะไรๆ ก็อยู่ในอินเทอร์เน็ตและการเงี่ยหูฟังแล้วโต้ตอบกันสามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา “การเขียน” และ “การเขียนซ้ำๆ ย้ำๆ ถึงสิ่งที่เคยเขียน” ย่อมสำคัญยิ่ง และควรควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา เมื่อได้รับเสียงสะท้อนจากผู้อ่าน อย่างทันทีทันควัน
การเขียนด้วยภาษาสากลเป็นสิ่งจำเป็นและหลีกเลี่ยงได้ยาก
Joseph Conrad เคยแนะไว้ว่า “...by the power of the written word to make you hear, to make you feel--it is, before all, to make you see.”
มีเรื่องเล่าในวงการนักข่าว ทำนองนี้ว่า “นักข่าวหนุ่มผู้หนึ่งเขียนหนังสือเก่งซะจนเมื่อเขานำมันไปอ่านให้บรรณาธิการซึ่งตาบอดทั้งสองข้างฟังก่อนตีพิมพ์ บรรณาธิการผู้นั้นถึงกับออกปากตำหนิเด็กหนุ่มในฐานะที่อยู่ดีไม่ว่าดี มาทำให้เขามองเห็นซะงั้น”
โดยทั่วไปแล้ว “การเขียนที่ดี” ย่อมตั้งต้นจาก “การอ่านที่ดี” ก่อนเสมอ
ถ้ารู้จักอ่านหนังสือดีๆ บทความดีๆ ก็จะเขียนให้ดีได้
ถึงแม้การเขียนจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่การศึกษาอย่างเป็นระบบหรือพึ่งพาคู่มือก็พอช่วยได้บ้าง
Earnest Hemingway บอกเสมอว่าเขาเรียนรู้วิธีเขียนให้ดีจากคู่มือเขียนข่าวหรือ Kansas City Star’s Style Sheet ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นนักข่าวฝึกหัดของหนังสือพิมพ์นั้น และต่อมาจากการที่เขาต้องเขียนโทรเลขส่งข่าวจากยุโรปไปตีพิมพ์ ซึ่งต้องเขียนให้สั้น กระชับ
ผมเองก็กลับไปอ่านคู่มือนั้นบ่อยๆ และหาทางประยุกต์เอาหลักการมาใช้กับข้อเขียนของตัวเองในภาคภาษาไทยอยู่เสมอเมื่อเห็นว่าต้องเขียนสไตล์นั้น
สุดท้ายนี้ ผมและทีมงาน MBA ทุกคนขออำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านจงประสบความสุขความเจริญ และขอให้ “ความคิดสร้างสรรค์” จงบังเกิดแก่ผู้อ่านทุกท่านด้วยเทอญ
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
23 มีนาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมีนาคม 2554
**โปรดคลิกไปอ่านบทความแรกในชุดนี้ ที่ว่าด้วย "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ซึ่งคนทั่วไปเอื้อมถึง คืออะไร และจะสร้างกิจการขึ้นมายังไงและความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน...คลิกสิงก์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
สร้าง "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ในความเห็นผม
ความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน
และ
ไอ้เสมา หัวหมู่ทะลวงฟันแห่งยุคเศรษฐกิจใหม่
ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องเขียนเป็น เขียนเก่ง เขียนกระชับ เขียนเฉียบขาด เขียนลึกซึ้ง เขียนให้เห็นจริง ได้ยินจริง ได้กลิ่นจริง และรู้สึกจริง เขียนอย่างมีพลังโน้มน้าว ชักจูง กินใจ และพาฝัน
โลกยุคใหม่ต้องการ “ข้อเขียนที่สร้างสรรค์” ตลอดเวลาเราต้องเขียนเว็บ เขียนบล็อก เขียนเฟสบุ๊ค เขียนทวิตเตอร์ เขียนแผนการเงิน เขียนแผ่นใสเพื่อนนำเสนอ เขียนคำเก๋ๆ เพื่ออธิบายสินค้า เขียนก็อปปี้โฆษณา เขียนคำเพื่อสร้างแบรนด์ หรือแม้กระทั่งเขียนอีเมลล์
ผู้ประกอบการแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต้องเรียนรู้ที่จะเขียน และเขียนให้เป็น Creative Writing
ผมขอจบบทความสร้างสรรค์งวดนี้ด้วย “การเขียน” เพราะเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องหญ้าปากคอกแต่สำคัญ และมักจะถูกละเลย
ผู้ประกอบการรุ่นเก่า มักไม่คิดว่า “การเขียน” เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ และมัก Sub-contract งานเขียนออกไปให้เอเจนซี่โฆษณาหรือพวกพีอาร์ ทว่า สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่อะไรๆ ก็อยู่ในอินเทอร์เน็ตและการเงี่ยหูฟังแล้วโต้ตอบกันสามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา “การเขียน” และ “การเขียนซ้ำๆ ย้ำๆ ถึงสิ่งที่เคยเขียน” ย่อมสำคัญยิ่ง และควรควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา เมื่อได้รับเสียงสะท้อนจากผู้อ่าน อย่างทันทีทันควัน
การเขียนด้วยภาษาสากลเป็นสิ่งจำเป็นและหลีกเลี่ยงได้ยาก
Joseph Conrad เคยแนะไว้ว่า “...by the power of the written word to make you hear, to make you feel--it is, before all, to make you see.”
มีเรื่องเล่าในวงการนักข่าว ทำนองนี้ว่า “นักข่าวหนุ่มผู้หนึ่งเขียนหนังสือเก่งซะจนเมื่อเขานำมันไปอ่านให้บรรณาธิการซึ่งตาบอดทั้งสองข้างฟังก่อนตีพิมพ์ บรรณาธิการผู้นั้นถึงกับออกปากตำหนิเด็กหนุ่มในฐานะที่อยู่ดีไม่ว่าดี มาทำให้เขามองเห็นซะงั้น”
โดยทั่วไปแล้ว “การเขียนที่ดี” ย่อมตั้งต้นจาก “การอ่านที่ดี” ก่อนเสมอ
ถ้ารู้จักอ่านหนังสือดีๆ บทความดีๆ ก็จะเขียนให้ดีได้
ถึงแม้การเขียนจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่การศึกษาอย่างเป็นระบบหรือพึ่งพาคู่มือก็พอช่วยได้บ้าง
Earnest Hemingway บอกเสมอว่าเขาเรียนรู้วิธีเขียนให้ดีจากคู่มือเขียนข่าวหรือ Kansas City Star’s Style Sheet ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นนักข่าวฝึกหัดของหนังสือพิมพ์นั้น และต่อมาจากการที่เขาต้องเขียนโทรเลขส่งข่าวจากยุโรปไปตีพิมพ์ ซึ่งต้องเขียนให้สั้น กระชับ
ผมเองก็กลับไปอ่านคู่มือนั้นบ่อยๆ และหาทางประยุกต์เอาหลักการมาใช้กับข้อเขียนของตัวเองในภาคภาษาไทยอยู่เสมอเมื่อเห็นว่าต้องเขียนสไตล์นั้น
สุดท้ายนี้ ผมและทีมงาน MBA ทุกคนขออำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านจงประสบความสุขความเจริญ และขอให้ “ความคิดสร้างสรรค์” จงบังเกิดแก่ผู้อ่านทุกท่านด้วยเทอญ
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
23 มีนาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมีนาคม 2554
**โปรดคลิกไปอ่านบทความแรกในชุดนี้ ที่ว่าด้วย "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ซึ่งคนทั่วไปเอื้อมถึง คืออะไร และจะสร้างกิจการขึ้นมายังไงและความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน...คลิกสิงก์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
สร้าง "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ในความเห็นผม
ความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน
และ
ไอ้เสมา หัวหมู่ทะลวงฟันแห่งยุคเศรษฐกิจใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น