วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมใจคนกรุงเทพ





น้ำท่วมคราวนี้ นอกจากจะทำลายเศรษฐกิจอย่างมโหฬารแล้ว ยังทำลายจิตใจคนในดีกรีไม่แพ้กัน

ผมสังเกตุว่า นำ้ท่วมครั้งนี้ มันทำให้เกิดภาวะ “Psychological Crisis” หรือ “วิกฤติการณ์เชิงจิตวิทยา” กับคนกรุงเทพฯ มากกว่าครั้งไหนๆ

หากพูดภาษาชาวบ้าน ก็ต้องว่า “ป.ส.ด.” หรือ “ประสาดแดก” กันยิ่งกว่าครั้งใด

กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่เคยมั่นใจในตัวเองว่าเก่าแก่ ว่าศักดิ์สิทธิ (รัตนโกสินทร์ แปลว่า “ที่รักษาพระแก้วมรกต”) ว่างาม ว่าเจริญ ว่าสูงส่งด้วยวัฒนธรรมซึ่งมีกษัตริย์และราชวงศ์อันน่าเชื่อถือเลื่อมใสและบำเพ็ญคุณงามความดีกว่าใครเพื่อน ว่าอิสระเสรี ว่าอยู่แล้วสบายใจ แขกไปใครมาก็ Feel Good (ชื่อ “กรุงเทพฯ” ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “เมืองแมน” หรือ “เมืองฟ้าเมืองสวรรค์”) แถมยังเจริญ มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ และเป็น Hub ของภูมิภาค แล้วยังเป็นศูนย์กลางของศาสนาอันมีคำสอนซึ่งสมเหตุสมผลเป็นวิทยาศาสตร์ ฯลฯ...ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นเมืองที่กำลังจะจมไปใต้บาดาลต่อหน้าต่อตา และผู้คนกับภูมิปัญญาและสินทรัพย์ทั้งมวลซึ่งอุตส่าห์สะสมมาอย่างยาวนานนั้น จะถูกมวลน้ำอันมหึมากวาดราบเป็นหน้ากลองไปในคราวเดียว ราวกับจะไม่มี “วันพรุ่งนี้” อีกแล้ว

มวลน้ำก้อนนี้ ทำเอาผู้นำของเราพากันหน่อนแน้มกันไปหมด บางคนออกขี้แย บางคนออกโลเล คนสำคัญสิ้นจินตนาการ ไร้อารมณ์ขัน หลายคนชี้นิ้วโทษกัน และแทบทั้งหมดขาดความน่าเชื่อถือในฉับพลัน พูดแล้วคนต้องหาร ต้องถอดสแควร์รูท กระทั่งผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญก็ดูเหมือนจะบื้อขึ้นมาเฉยๆ งั้นแหละ

สื่อมวลชนกลายเป็นพวก Self-illusions และไร้วิจารณญานเสียเอง เอาแต่พูดถึง Worst-case scenario โดยตีความราวกับว่า WCS ของโมเดลน้ำ เป็น Armageddon ไปซะแล้ว และผู้มีอำนาจรับผิดชอบก็ขานรับถึงกับวาดภาพลบจินตนาการเหลวแหลกแบบสุดๆ ถึงโรคระบาดรุนแรง ขาดน้ำ ขาดอาหาร ฺBlackout และ Communication Shutdown

เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน

ข้าวยังมีอยู่ในยุ้งฉางไม่ใช่เหรอ ปลายังมีอยู่ในน้ำไม่ใช่เหรอ หมูเห็ดเป็ดไก่ยังออกลูกออกหลานกันดีอยู่ ใช่มั้ยพี่น้อง

ตราบใดที่ข้าวยังมีอยู่ในยุ้งฉาง ตราบใดที่น้ำยังเต็มอยู่เหนือเขื่อนและยังเจาะขึ้นมาจากพื้นดินได้ ตราบใดที่เรือบรรทุกน้ำมันและเรือสินค้ายังเทียบท่า เรือบินยังบิน พรมแดนยังเปิด การค้าระหว่างประเทศยังดำเนินไป หลายจังหวัดยังไม่ถูกน้ำท่วม โรงงานอีกเป็นหมึ่นโรงยังไม่เสียหาย พื้นผิวถนนส่วนใหญ่ยังไม่ถูกธรณีสูบ รถยนต์ยังมี เรือยังวิ่ง โทรศัพท์ยังดัง เงินคงคลังยังเหลือ พ่อค้ายังไม่ตาย ผู้ขายยังคงอยู่ ผู้ผลิตยังกระหายเงิน ชาวสวนยังขุดดินได้ การค้ายังดำเนินต่อ ตลาดยังย้ายขึ้นที่สูงได้ ฯลฯ....ตราบนั้นยังไม่มีอะไรจะต้องกลัวเกรง

ผมขอเรียกร้องให้ผู้นำเลิกหดหู่ เลิกบอกให้คน “หนี” ได้แล้ว

หน้าที่ของบรรดาผู้นำองค์กรในตอนนี้ (ผมหมายถึงทุกองค์กร ตั้งแต่ผู้นำครอบครัว ผู้นำบริษัทห้างร้านหรือหน่วยราชการเล็กๆ ใหญ่ๆ ไปจนถึงผู้นำประเทศ) ต้องแจกจอบ แจกเสียม แจกพลั่ว แจกไขควง และ Mechanic Tool Kit

ที่ไหนล่มเราซ่อม ที่ไหนพร่องเราสูบออก ที่ไหนกระฉอกเราเสริมคัน ที่เสียไปแล้วช่างมัน แต่ที่ยังดีอยู่ป้องกันไม่ให้เสีย ที่ไหนผุเราปะ เราชุน เรากระทุ้งให้แน่น เรายกขึ้นที่สูง เราซ่อมให้กลับมาผลิตได้ เราย้ายที่ผลิต เราช่วยเหลือและควบคุมพ่อค้า เรารักษาแหล่งน้ำและอาหาร เราสร้างตลาดใหม่ เรา Build และ Rebuild เราเทปูน ขันน็อต ซับเหงื่อ และให้กำลังใจกันเอง...เอ้า ฮุยเล่ฮุย...ฮันเลลูจา

อีกไม่นาน “ความนับถือตัวเอง” ก็จะกลับคืนมา

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
26 ตุลาคม 2554
เขียนในขณะที่หัวใจของคนกรุงเทพฯ กำลังแตกสลาย



***คลิกอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับน้ำท่วมกรุงได้ตามลิงก์ข้างล่าง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น