หลายปีมานี้ หลังจากที่จีนร่ำรวยขึ้น มีความช่ำชองมากขึ้น และเริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จีนได้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดิ้นให้หลุดพ้นจากการครอบงำและเอาเปรียบของสหรัฐฯ ในเชิงการเงิน โดยสร้าง "อาณาจักรเงินหยวน" ขึ้นมาเป็นเขตอิทธิพลของตัวเอง
ผมขอแสดงให้เห็นจากข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาดังนี้
ก้าวแรกของการสร้าง "อาณาจักรเงินหยวน" ของจีน น่าจะเริ่มจากข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับจีนที่จะค้าขายระหว่างกันโดยไม่ใช้เงินดอลล่าร์ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2553 ครั้งที่ประธานาธิบดีปูตินและนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ได้แถลงร่วมกันว่าจีนกับรัสเซียบรรลุข้อตกลงที่จะจ่ายชำระราคาค่าสินค้าบางชนิดด้วยเงินหยวนและเงินรูเบิ้ล
นั่นเป็นครั้งแรกที่จีนและรัสเซียประกาศท้าทายความเป็นใหญ่ของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ
และในช่วงต้นปี 2555 จีนก็ได้บรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่นในทำนองเดียวกัน โดยเพิ่มเติมเนื้อหาว่าคู่ค้าของทั้งสองประเทศจะสามารถคิดคำนวณราคาสินค้าและบริการเป็นเงินสกุลเยนและหยวนและชำระหรือหักกลบลบกันได้โดยตรงระหว่างสองสกุลโดยไม่ต้องผ่านเงินดอลล่าร์อย่างที่ผ่านมา ข้อตกลงนี้นับเป็นครั้งแรกที่จีนยอมให้มีการสว้อปเงินหยวนกับเงินสกุลอื่นนอกเหนือไปจากดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยสถาบันการเงินทั่วโลกสามารถทำสว้อปเงินหยวน/เยน หรือ เยน/หยวน ได้ทั้งที่ตลาดโตเกียวและเซี่ยงไฮ้
ข้อตกลงนี้ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิ่มเงินหยวนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลจีนเป็นเงิน 65,000 ล้านหยวน (หรือประมาณ 10,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ณ อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น) และถึงแม้ทุนสำรองก้อนนี้จะคิดเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับทุนสำรองทั้งก้อนของญี่ปุ่นที่มีมูลค่าเกือบๆ 1.3 ล้านล้านเหรียญฯ ทว่า มันก็เป็นก้าวย่างที่สำคัญ เพราะมูลค่าทางการค้าระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในแต่ละปีมีไม่น้อยเลย และก็ถือเป็นอีกก้าวย่างสำคัญอีกก้าวหนึ่งที่ท้าทายอำนาจของเงินดอลล่าร์ เพราะอย่าลืมว่าจีนกับญี่ปุ่นต่างมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองและสามของโลก (แม้มิตรภาพระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยังไม่ราบรื่นเพราะความขุ่นข้องหมองใจกันในเรื่องอดีตก็ตามที)
หลังจากนั้น
จีนก็ได้ยึดแนวทางแบบที่ทำกับญี่ปุ่นเพื่อขยายไปสู่ข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ
ทั่วโลก
เช่นในการเดินทางเยือนชิลีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเหวินเมื่อเดือนมิถุนายน
2555 ท่านก็ได้เสนอให้ทั้งสองประเทศทำข้อตกลง
Currency Swap
ระหว่างเงินเปโซของชิลีกับเงินหยวน
เป็นต้น
และในราวปลายปีกลาย จีนกับเกาหลีใต้ก็ได้บรรลุข้อตกลงทางการเงินร่วมกันในประเด็นที่ว่าต่อแต่นี้ไปธนาคารพาณิชย์ของทั้งสองประเทศจะสามารถทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับการชำระราคาสินค้านำเข้าส่งออกและบริการระหว่างสองสกุลเงินได้โดยตรงกับธนาคารชาติของตัวเอง
ภายใต้ข้อตกลงที่ธนาคารชาติของทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาสว้อประหว่างกันไว้ในวงเงิน
64 ล้านล้านวอน
(หรือประมาณ
59,000 ล้านเหรียญฯ
ณ อัตตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น)
ที่สำคัญ
ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย
ในเดือนกันยายน 2556
รัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์สำคัญว่านับแต่นี้ไปจะอนุญาติให้ธนาคารในประเทศจีนสามารถทำธุรกรรมกับคู่ค้าทั่วโลกที่ต้องการซื้อขายน้ำมันดิบโดยใช้เงินหยวนแทนเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
และเพื่อรองรับนโยบายเพิ่มพลังและอิทธิพลของเงินหยวนในระดับโลกนี้
รัฐบาลจีนได้เปิดศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยน
(ของทุกธุรกรรมที่ซื้อขายกันด้วยเงินหยวน)
ขึ้นที่สองศูนย์กลางการเงินของโลกคือลอนดอนและแฟรงก์เฟริต
ปีนี้รัฐบาลจีนได้เริ่มขยายเครือข่ายความสัมพันธ์เชิงการเงินให้กว้างไกลขึ้นไปอีก
คือในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
รัฐบาลจีนก็ได้ตกลงทำสัญญา
Currency
Swap
กับธนาคารชาติสวิตเซอร์แลนด์
(Swiss
National Bank)
เป็นเงิน
150,000
ล้านหยวนต่อ
21,000
สวิสฟรังค์
(คิดเป็นประมาณ
23,000
ล้านดอลล่าร์)
โดยผลพวงอันดับแรกที่ได้คือการเปิดโอกาสให้ธนาคารชาติสวิสสามารถเข้าไปลงทุนโดยตรงในตลาดพันธบัตรของจีนได้
ทั้งในแง่ของการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนและในแง่ของการนำมาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อรองรับการค้าขายระหว่างกันของภาคเอกชน
หลังจากนั้นในเดือนตุลาคมที่เพิ่งผ่านมา
นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงแห่งสิงคโปร์ก็ได้ประกาศว่าหลังบรรลุข้อตกลงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินกับรัฐบาลจีนในระหว่างการพบหารือทวิภาคีกับผู้นำจีนที่นครซูโจวเมื่อวันที่
27 ตุลาคม
2557 แล้ว
ก็ได้บรรลุข้อตกลงสองฝ่ายว่านับแต่นี้เป็นต้นไป
การค้าขายรวมถึงการทำธุรกรรมการเงินโดยตรงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศจะใช้สื่อกลางเป็นเงินหยวนและเงินดอลล่าร์สิงคโปร์เพียงสองสกุลเท่านั้น
จะไม่มีการนำเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
มาใช้เป็นสื่อกลางอีกต่อไป
ก้าวสำคัญยิ่งของปีนี้ที่ถือเป็นการท้าทายอำนาจของเงินดอลล่าร์อย่างมีนัยสำคัญคือการที่กลุ่มประเทศ
BRICS
(บราซิล
รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้)
ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในเดือนกรกฎาคม
2557
ในคราวประชุมสุดยอดที่เมือง
Fortaleza
ประเทศบราซิล
ด้วยข้อตกลงใหญ่ๆ สองเรื่องด้วยกันคือ
หนึ่ง
พวกเขาตกลงที่จะก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ขึ้นมา
(นัยว่าจะมาแข่งกับธนาคารโลกหรือ
World
Bank) โดยกำหนดให้ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้
ด้วยเงินทุนขั้นต้น 100,000
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เพื่อให้การสนับสนุนเงินทุนกับประเทศในกลุ่ม
BRICS
และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
สอง
พวกเขาตกลงที่จะลงขันกันเป็นจำนวน
100,000
ล้านเหรียญฯ
เพื่อก่อตั้งสิ่งที่เรียกว่า
Contingent
Reserve Arrangement
(นัยว่าจะมาแข่งกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ
IMF)
เพื่อให้เป็นทุนสำรองกองกลางสำหรับไว้ใช้ยามฉุกเฉินให้กับบรรดาประเทศสมาชิก
เช่นการขาดสภาพคล่องอย่างฉับพลัน
หรือเกิดวิกฤติทางการเงิน
(Shock)
อันเนื่องมาแต่ผลกระทบของวิกฤติโลก
เป็นต้น
ทั้งนี้พวกเขายังมิได้เปิดเผยถึงแผนการในเชิงปฏิบัติว่าจะใช้เงินสกุลอะไรบ้างเป็นเงินกองกลาง
แต่ที่แน่ๆ คือทั้ง 5
ประเทศนั้น
เริ่มเดินไปบนแนวทางที่เป็นตัวของตัวเอง
หันเหไปจากร่มเงาของ BIS
(Bank for International Settlements) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(IMF)
ซึ่งถือเอาเงินดอลล่าร์เป็นใหญ่อย่างชัดเจน
ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นก้าวย่างที่จะท้าทายความสำคัญและอิทธิพลของดอลล่าร์ทั้งสิ้น
สิ่งเหล่านี้นอกจากจะส่งผลให้ดุลอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงแล้ว
มันยังจะส่งผลต่อไทยเราซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในระบบโลกในระยะยาวอีกด้วย
อย่างน้อยเราก็จะมีเงินสกุลแข็งสกุลใหม่ที่สามารถนำมาเป็นทุนสำรองได้อย่างสนิทใจนอกเหนือไปจากดอลล่าร์และยูโร
และจะมีตลาดเงินใหม่เกิดขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง
ในกรณีที่เกิดวิกฤติขึ้นกับ
Dollar
Zone
หยุดพิมพ์เงินเพิ่ม
แต่ถ้าไม่นับผลกระทบในเชิง
Political
Economy
ในระดับโลกแล้ว
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่มันจะกระทบตามมาคือเรื่องของจำนวนสภาพคล่องในโลก
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ให้ลึกลงไปจะพบว่ามันอาจจะกระทบต่อราคาหุ้นและราคาสินทรัพย์ทางการเงิน
(ตลอดจนราคาอสังหาริมทรัพย์)
ที่พวกเรากำลังแฮปปี้อยู่ในขณะนี้
หากแนวโน้มอันนี้ยังคงดำเนินต่อไป
ในสมัยที่จีนยังไม่มีกำลังพอและยังเพิ่งจะเรียนรู้ระบบทุนนิยม
จีนต้องพึ่งพาสหรัฐฯ มาก
โดยเงินตราต่างประเทศที่จีนได้จากการส่งออกล้วนอยู่ในรูปดอลล่าร์สหรัฐฯ
และในทางปฏิบัติ ธนาคารชาติของจีน
(People's
Bank of China)
ย่อมต้องพิมพ์เงินหยวนขึ้นมาซื้อเงินตราเหล่านี้ไว้
แล้วเก็บเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ
เพื่อลดความกดดันมิให้ค่าเงินหยวนสูงเกินไปเมื่อเทียบกับดอลล่าร์
นั่นทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโต เพราะยิ่งส่งออกได้มากก็ได้เงินดอลล่าร์เข้ามามาก และต้องพิมพ์เงินหยวนมาก แล้วคนย่อมเอาไปใช้จ่ายกันมากและแพร่สพัดเป็นเงาตามตัว
หลังจากนั้นธนาคารชาติจีนย่อมต้องหาทางนำเงินตราต่างประเทศก้อนนั้นไปลงทุนหรือเอาไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
มิให้มันเสื่อมค่าลงไปตามกาลเวลา
โดยธนาคารชาติจีนเลือกที่จะนำมันกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
หรือไม่ก็นำไปซื้อสินทรัพย์ที่เป็นเงินดอลล่าร์
หรือไม่ก็นำไปฝากไว้ ณ
ศูนย์กลางการเงินของโลกตะวันตก
เช่นนิวยอร์กหรือลอนดอน
ในเงินตราสกุลดอลล่าร์
(เพื่อให้สหรัฐฯ
นำไปหมุนหรือทำประโยชน์..หรือไม่ก็เอาไปเก็งกำไรอีกทอดหนึ่ง)
ธนาคารชาติจีนแทบไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะครั้นจะนำไปแลกเป็นเงินสกุลแข็งอื่นเช่นยูโรหรือเยนก็ลำบาก
เพราะยูโรและเยนย่อมมีไม่มากพอตามที่ตัวเองต้องการ
(เพียงแค่ลองหนีไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลยูโรบ้างก็เผชิญกับภาวะขาดทุนดังที่ผ่านมา)
หรือจะนำไปซื้อทองคำและ
Precious
Metals
ชนิดอื่น
(เช่นเพชร
ทองคำขาว)
ก็ไม่สะดวกอีก
เพราะมันมีจำนวนจำกัดและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสูง
อีกทั้งสภาพคล่องก็ต่ำด้วย
(สุดท้ายจีนจึงหาทางออกด้วยการนำเงินไปซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่จีนจำเป็นต้องใช้ไว้ล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา
น้ำมัน และแร่ธาตุต่างๆ
อีกทั้งยังลงทุนซื้อกิจการในต่างประเทศและลงทุนทำโครงการใหญ่ๆ
ในต่างประเทศ เช่นขุดเจาะน้ำมัน
เหมืองแร่
และจัดซื้อเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอย่างรถไฟความเร็วสูง
เป็นต้น)
นโยบายแบบนี้ทำให้จีนต้องกินน้ำใต้ศอกอเมริกาทางด้านการเงิน
และเท่ากับจีนช่วยฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยปริยาย ทำนอง "อัฐยายซื้อขนมยาย"
(ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ดำรงไว้ในรูปของสินทรัพย์ที่เป็นเงินดอลล่าร์น่าจะมีมูลค่าสูงถึง
3.5
ล้านล้านเหรียญฯ
เลยทีเดียว)
นั่นไม่ต่างอะไรกับนโยบาย
QE
ของธนาคากลางสหรัฐฯ
ในระยะหลัง
มิเพียงจีนเท่านั้นที่ต้องตกอยู่ภายใต้แอกของเงินดอลล่าร์
คู่ค้ากับสหรัฐฯ
เกือบทั่วโลกย่อมต้องเผชิญกับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้เช่นกัน
แม้กระทั่งคู่ค้าที่เข้มแข็งและร่ำรวยอย่างญี่ปุ่น
รัสเซีย และบรรดาประเทศตะวันออกกลางที่ขายน้ำมันให้สหรัฐฯ
อยู่
หากเราดูตัวเลขบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ
เราจะเห็นว่ามันขาดดุลมาตลอด
โดยตัวเลขสูงสุดเคยขึ้นไปถึง
800,000
ล้านดอลล่าร์
ต่อปี นั่นหมายความว่าเงินจำนวนนี้ถูกนำออกจากสหรัฐฯ
ไปซื้อสินค้าและบริการจากทั่วโลก
และหลายส่วนในจำนวนนั้นถูกนำกลับเข้ามาลงทุนหรือซื้อทรัพย์สินในสหรัฐฯ
หรือให้สหรัฐฯ กู้ในราคาถูก
(แล้วสหรัฐฯ
ก็นำกลับไปให้บุคคลที่สามกู้หรือนำกลับไปลงทุนในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกอีกทอดหนึ่ง)
จึงไม่แปลกที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เกิดฟองสบู่ถี่มากในระยะหลัง
ไม่ว่าจะเป็นในช่วงก่อนและระหว่างปี
2532
ที่เรียกว่า
DotCom
Boom
และช่วงก่อนปี
2008
ที่เรียกว่า
Mortgage
Bubble
หรือ
Subprime
Bubble
แต่สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดูเหมือนกำลังเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะการค้นพบเทคนิก Fracking
ทำให้อเมริกาสามารถขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบจากชั้นหินใต้ดินที่เคยเข้าถึงยากได้มากขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ
จนทำให้ยอดนำเข้าพลังงานลดลง
และเศรษฐกิจที่ซบเซาก็กระทบต่อยอดนำเข้าสินค้าและบริการไปโดยปริยาย
ส่งผลให้ยอดบัญชีเดินสะพัดลดลงเกือบครึ่ง
เมื่อพิจารณาประกอบกัน
ระหว่างการผงาดขึ้นมาของจีนและคู่ค้าสำคัญที่ต้องการจะปลดแอกจากดอลล่าร์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
กับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของยอดบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ
มันย่อมกระทบต่อสภาพคล่อง
โดยจะทำให้สภาพคล่องที่เคยได้รับการอัดฉีดจากช่องทางนี้ลดน้อยถอยลง
อย่าลืมว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ
ได้ประกาศหยุดโครงการ QE
ไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
(จะเป็นการหยุดชั่วคราวหรือหยุดถาวรต้องรอดูต่อไป)
การเปลี่ยนแปลงสองข้อหลักที่ว่านี้ ย่อมจะทำให้สภาพคล่องที่เคยมีอย่างล้นเหลือในระบบเศรษฐกิจอเมริกาและล้นออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจโลกในรอบหลายปีที่ผ่านมา (อย่างน้อยก็ล้นออกมาสู่ตลาดหุ้นของ Emerging Markets ทั่วโลก รวมทั้งตลาดไทยด้วย) เหือดแห้งลงไปด้วย
ข้อพิสูจน์ข้อหนึ่งที่เริ่มส่งสัญญาณไปในแนวทางนั้นคือการแข็งค่าของดอลล่าร์ในรอบหกเดือนที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่านโยบาย QE ในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะยังไม่หยุด แต่มันกลับส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่ายิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและยูโร (และสิ่งนี้ก็ส่งผลให้ราคาทองคำ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายในสกุลเงินดอลล่าร์ ลดต่ำลง)
หนังสือพิมพ์ Financial Times ได้รายงานเมื่อต้นเดือน พ.ย. ว่า Mario Draghi ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank หรือ ECB) ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการให้ดำเนินโครงการอัดฉีดเงินจำนวน 1 ล้านล้านยูโร เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในยูโรโซนจากภาวะชะงักงัน
ในทำนองเดียวกัน Haruhiko Kuroda ผู้ว่าการธนาคารกลางของญี่ปุ่นหรือ Bank of Japan ก็ได้ประกาศนโยบายว่าจะเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรและหลักทรัพย์ให้ได้จนแตะถึงระดับ 80 ล้านล้านเยน (ประมาณ 700,000 ล้านเหรียญฯ) ต่อไป โดยบางส่วนจะนำไปซื้อหลักทรัพย์เอกชน ตรงจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งที่เป็น ETFs และ REITs
นโยบายเหล่านี้ย่อมส่งผลให้เงินดอลล่าร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นไปอีก (แน่นอนว่าค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์จะถูกลง) ซึ่งเรื่องนี้ไม่อยู่ในประเด็นที่บทความนี้ต้องการโฟกัส (และการที่ธนาคากลางของญี่ปุ่นและยุโรปเข้าไปทำให้ตลาดพันธบัตรรัฐบาลราคาสูงขึ้นย่อมบ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น)
เราสนใจเพียงว่า
เมื่อ QE
หยุดลงและดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ
ดีขึ้น สภาพคล่องส่วนเกินย่อมจะเหือดแห้งลงด้วย
ดังนั้นราคาสินทรัพย์ย่อมต้องมีแนวโน้มลดลง
คิดง่ายๆ
ว่า "เมื่อพิมพ์เงินฉีดเข้าไปแล้วหุ้นขึ้น
ดังนั้นเมื่อเลิกฉีดเงินเข้าไป
หุ้นย่อมตกเป็นธรรมดา"
ตั้งแต่เริ่มใช้
QE
มา
ดัชนี้ S&P
500 เพิ่มขึ้นกว่า
200%
จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม
2552
และเมื่อหันมาดูหุ้นไทยบ้าง
สภาพการณ์ก็มิได้ต่างกันมากนัก
หลังจากวิกฤติซัพไพรม์เมื่อปี
2551
เป็นต้นมา
และกองทุนต่างประเทศเริ่มหันเหเงินลงทุนจากตลาดสหรัฐฯ
มุ่งสู่ตลาด Emerging
Markets
ดัชนี้ตลาดหลักทรัพย์หรือ
SET
Index
เพิ่มขึ้นจากที่เคยต่ำสุด
ณ ระดับ 400
จุด
มาอยู่ในระดับ 1,580
จุดในปัจจุบัน
โดยถ้าดูจากปลายปี 2553
ที่สหรัฐฯ
เริ่มมีการใช้นโยบาย QE
เป็นต้นมา
SET
Index
ก็มุ่งหน้าเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
(จากระดับประมาณ
800
จุดในปลายปีนั้นมาสู่ระดับปัจจุบัน)
แน่นอน ตลาดหุ้นไทย (รวมถึงตลาด Emerging Markets อื่นๆ ทั่วโลก) ราคาแพงขึ้นมาได้เพราะนโยบายอัดฉีดเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดดังที่กล่าวมาแล้ว
และการที่หุ้นมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน ย่อมทำให้เกิด Wealth Effect ที่แพร่สะพัดเข้าไปสู่สินทรัพย์ชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ งานศิลปะ และของสะสมบางชนิด เช่นรถยนต์คลาสิก นาฬิกา ของเก่า พระเครื่อง ฯลฯ
ท่านผู้อ่านคงจะจินตนาการได้เองว่าอนาคตของเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร เมื่อการพิมพ์เงินหยุดลง
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
15
พ.ย.
2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร
MBA
ฉบับเดือน
พ.ย.
57
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น