วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553
RIP Professor Prahalad
C.K. Prahalad เสียชีวิตลงเสียแล้ว เมื่อหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา สิริอายุได้ 69 ปี
เมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่ผมได้ติดต่อให้ Peter Drucker รับบรรยายผ่านดาวเทียมมาเมืองไทย ภายใต้หัวข้อ "The Future of Thailand" นั้น ก่อนจะมาลงตัวกับ Drucker ผมกับทีมงานได้คิดกันก่อนว่า Management Guru ที่เหมาะจะพูดเรื่องดังกล่าวได้ดีที่สุดคือ C.K. Prahalad เพราะเป็นคนอินเดีย ซึ่งน่าจะเข้าใจหัวอกของเราได้ดีกว่าฝรั่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจฝรั่งดีพอจะแนะนำให้เราเอาประโยชน์จากฝรั่งได้ เพราะสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยมีชื่อของอเมริกามานาน
ที่สำคัญเขาเป็นคนลึกซึ้ง
เพราะถ้าใครอ่านงานของเขา ก็จะพบว่าประเด็นที่เขาเสนอหลายประเด็น จัดอยู่ในประเภท "Breakthrough Idea" มิใช่เพียงแค่ "เล่นคำ" "ตัดต่อ" "ผสมแนวคิด" "หักมุม" หรือ "จับแพะชนแกะ" แล้วก็ทุ่มโปรโมทเพื่อให้กลายเป็น "แฟชั่น" เป็น "กระแส" หรือ Trendy Idea เหมือนกับงานของบรรดา "กูรูเก๊" เจ้าของหนังสือขายดีจำนวนมาก แต่พออ่านเข้าจริง ก็มีแต่ "ผักบุ้งโหรงเหรง" หรือ "เกาเหลาไม่ใส่เส้น" (คำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
Competing for the Future, Co-Creating Value with Customers, และ Fortune at the Bottom of the Pyramid แม้จะไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นงานระดับคลาสสิก แต่ก็ล้วนเป็นงานเขียนที่มีคุณภาพ ทั้งในแง่การตั้งประเด็น แนวการวิเคราะห์ ข้อมูลหรือตัวอย่างประกอบ และการนำเสนอ แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนตั้งใจทำงาน ตั้งใจค้นคว้า มิใช่สักแต่มี Clue หรือ Key Word แค่เพียงคำสองคำ ก็มาขยายความเป็นหนังสือแบบลวกๆ ขายเอาตังกันแล้ว (ลองดูก็ได้ว่า Competing for the Future วางตลาดห่างจากบทความแก่นคือ "The Core Competence of the Corporation" ที่เขาเขียนลง Harvard Business Review ถึง 4 ปี และห่างจาก "Strategic Intent" ถึง 5 ปี)
ในบรรดางานเขียนของเขา อันที่มี Impact ต่อแนวคิดเชิงกลยุทธ์ธุรกิจหรือ Business Strategy มากที่สุดเห็นจะเป็น "Core Competency" หรือ "ปมเด่น" (คำของ ดร.สมคิด อีกเช่นกัน) ซึ่งเสนอไว้ใน The Core Competence of the Corporation ซึ่งต่อมาได้ปรับปรุงต่อเติมมาเป็น Competing for the Future นั่นเอง (ทั้งคู่เขียนร่วมกับ Gary Hamel ศิษย์ของเขาเอง)
เขาทั้งสองเรียกร้องให้ธุรกิจหันกลับมามองตัวเอง หันกลับมาค้นหา "ปมเด่น" ที่อยู่ในองค์กรตนเอง หันกลับมาสร้าง ฟูมฟัก ปกป้อง "ปมเด่น" ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในอนาคต และยากแก่การเลียนแบบ
พวกเขาเปรียบองค์กรเป็นต้นไม้ โดยรากแก้วก็คือ Core Competence หรือรากฐานสำคัญที่ทำให้ต้นไม้ดำรงอยู่ได้ตลอดไป ในขณะที่กิ่งก้านสาขาหรือดอกไม้และผลไม้ เป็นเพียง Core Products และ End Products ที่ปรากฎแก่ตลาดและผู้บริโภค ซึ่งสามารถเปลี่ยน Brand ไปได้ตามกาลเวลา ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะถูกสร้างขึ้นจาก "ปมเด่นเชิงการแข่งขัน" หรือรากฐานเดิมขององค์กร ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความชำนาญในเชิงการผลิต ความรู้หรือเทคโนโลยีที่สะสมมาอย่างยาวนานในองค์กรนั้น หรือความเชี่ยวชาญเชิงลึกด้านใดด้านหนึ่งอย่างหาตัวจับยาก ฯลฯ เป็นต้น
พวกเขากล่าวว่า "The diversified corporation is a large tree. The trunk and major limbs are core products, the small branches are business units; the leaves, flowers, and fruit are end products. The root system that provides nourishment, sustenance, and stability is the core competence. You can miss the strength of competitors by looking only at their end products, in the same way you miss the strength of a tree if you look only at its leaves." ("The Core Competency of the Corporation", Harvard Business Review, May-June 1990)
พวกเขาเสนอให้มององค์กรในเชิงที่เป็นศูนย์รวมของ "ปมเด่น" ทั้งมวล หรือ Portfolio of Core Competencies มิใช่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมของธุรกิจต่างๆ หรือ Portfolio of Business แบบเดิม (พวกเขาให้คำจำกัดความ Portfolio of Core Competencies ว่าคือ "the company's collective knowledge about how to coordinate diverse production skills and technologies.")
พวกเขาเสนอให้ผู้บริหารไปพ้นการใช้ SBU หรือ Strategic Business Unit เป็นหน่วยของการวิเคราะห์ ติดตามผล พัฒนา วางกลยุทธ์ และควบคุม โดยต้องมองเป็นภาพรวมของ Core Competence ของทั้งองค์กร ว่าจะใช้ทรัพยากรทั้งมวล ที่แฝงอยู่ในทุกๆ SBU มารวมพลังกันให้เกิด และคงไว้ซึ่ง "ปมเด่น" ขององค์กรโดยรวมได้อย่างไร
พวกเขาเสนอให้ผู้บริหารพัฒนา Strategic Architecture ขึ้นเพื่อการนั้น และสื่อสารสิ่งเหล่านั้นให้พนักงาน คู่ค้า ตลอดจนลูกค้า ได้รู้ทั่วกัน
แนวคิดเรื่อง Core Competency หรือ "ปมเด่นเชิงการแข่งขัน" นี้ ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งในหมู่นักบริหาร และนักวิชาการทางด้านบริหารธุรกิจ ตลอดจนแวดวงธุรกิจที่ปรึกษาชั้นนำในขณะนั้น
ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะมันสามารถตอบโจทย์สำคัญในขณะนั้นได้พอดี
กล่าวคือ 10 ปีก่อนหน้านั้น ในช่วงทศวรรษ 1980s เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บูมมาก โดยได้เกิดกระแสควบรวมกิจการอย่างขนานใหญ่ (M&A Boom) ธุรกิจจำนวนมากควบรวมกัน ทั้งโดยสมัครใจ (Friendly Takeover) และถูกบังคับขืนใจ (Hostile Takeover)
แน่นอน กระแสการควบรวมครั้งนั้นย่อมมีทั้งที่เป็นเหตุเป็นผลในเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fit) ซึ่งได้รับการวางแผนมาอย่างแยบยล ทำให้กิจการที่ควบรวมกันแล้ว แข็งแกร่งขึ้น ครอบคลุมตลาดมากขึ้น และครบวงจรยิ่งขึ้น ทว่า ส่วนใหญ่ของการควบรวมในยุคนั้น เป็นการควบรวมแบบสะเปะสะปะ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน สักแต่ควบรวม เช่นบางทีก็เอาน้ำเน่ามารวมกับน้ำดี หรือควบรวมข้ามอุตสาหกรรม ข้ามธุรกิจ เข้าไปในแดนที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้และไม่คุ้นเคย หรือบางทีก็ควบรวมด้วยราคาที่แพงเกินเหตุ ต้องกู้หนี้ยืมสินมากระทำการอย่างมโหฬารที่เรียกว่า Leverage Buy-Out (LBO) ทั้งนี้เพราะผู้บริหารเหล่านั้นทำไปเพราะความโลภ ที่ได้รับเศษเลยจากการปั่นหุ้นอันเนื่องมาแต่กระบวนการควบรวมนั้นๆ (True-market-mechanism takeover)
และบางที ผู้บริหารกิจการที่เป็นเป้าหมาย (Trageted Company) ซึ่งไม่อยากถูกควบรวม ก็ได้ทำการป้องกันโดยใช้เทคนิคต่างๆ ที่ทำให้กิจการของตนอ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นการก่อหนี้ให้สูงเพื่อลดความน่าสนใจของบริษัทลงเสียดื้อๆ หรือการขายทรัพย์สินเป้าหมายที่เป็นรากฐานสำคัญขององค์กรและเป็นที่หมายปองของผู้ล่า (Crown Jewel) ทิ้งไปเสียแต่ต้นมือ หรือทำการวางยาต่างๆ (Poison Pills) เช่นการทำสัญญาล่วงหน้าว่าถ้ากิจการถูก Takeover ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนหรือบำเหน็ดให้ตัวเองและคณะผู้บริหารชุดเดิมเป็นเงินก้อนมหาศาล ที่เรียกว่า "ร่มทอง" หรือ Golden Parachute เป็นต้น หรือบางทีก็ใช้วิธี "เกลือจิ้มเกลือ" ที่เรียกว่า Pacman Defense คือไล่ซื้อหุ้นกิจการผู้ล่าที่กำลังจะมาซื้อตัวเองเป็นการตอบแทนบ้าง ใครซื้อใครได้ก่อนก็ชนะ โดยถือหลักว่า "เมื่อคุณจะมาฮุบผม ผมก็ต้องฮุบคุณก่อน"
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูกโปรโมทขึ้นในนามของ Finance ในนามของ Capital Market และในนามของ Maximizing Shareholder Value ซึ่งทำให้นักการตลาดเชิงยุทธ์และนักวางกลยุทธ์ธุรกิจมองดูด้วยสายตาเป็นห่วง แม้แต่ Michael Porter ก็ได้ออกมาเตือนด้วยบทความเรื่อง "From Competitive Advantage to Corporate Strategy" ที่ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review ในปี 1987 ซึ่งเป็นบทความที่ดีมาก โดยพอร์เตอร์ลงทุนเก็บข้อมูลของการควบรวมกิจการของกิจการขนาดใหญ่ 33 กิจการอย่างละเอียด ตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปี 1986 และได้แสดงให้เห็นบทสรุปว่าการขยายกิจการโดยใช้กลยุทธ์หรือเทคนิค Diversification ด้วยการกระโดดข้ามไปสู่ธุรกิจที่เราไม่คุ้นเคยและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปัจจุบันทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยสิ้นเชิง (ทั้งจากการควบรวม Joint Venture และก่อตั้งกิจการขึ้นมาใหม่) นั้น มิได้ก่อให้เกิด Competitive Advantage ต่อกิจการโดยรวมแต่อย่างใด หรือก่อให้เกิดผลกำไรอย่างที่คาดหวังไว้ (Profitability Expected) แต่อย่างใด
ดูก็รู้ว่าพอร์เตอร์ต้องการเตือนสติผู้บริหารระดับสูงของกิจการธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น ที่หมกมุ่นกับหุ้นและการควบรวมกิจการอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่พิจารณาความสมเหตุสมผลในเชิงกลยุทธ์เอาเลย และพอร์เตอร์ก็ได้ให้ข้อสังเกตุไว้ว่ากลยุทธ์ Diversification จะทำให้สำเร็จหรือส่งผลเลิศเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวได้ จะต้องสร้างให้เกิด 2 ปัจจัยขึ้นในระหว่างกิจการที่ถูกควบรวมเข้าด้วยกันนั้นแล้ว คือ Skills Transferring และ Activities Sharing โดยเขาได้ค่อนขอดเทคนิค Portfolio Management (เช่น BCG Metric ที่มี วัวนม ดาวจรัสแสง หมา และปรัศนีย์ และยังรวมถึงเทคนิคขั้นสูงที่ถูกพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้นอย่าง PIMS เป็นต้น) และ Restructuring ว่าจะใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ที่ตลาดทุนกำลังบูมและคลั่งเช่นในเวลานั้น
ผู้อ่านที่เกิดทัน คงทราบแล้วว่า หลังจากแก๊งของ Ivan Boesky และ Michael Milken ถูกกวาดล้างโดย กลต.ของสหรัฐฯ หรือ SEC แล้ว (ดูหนังเรื่อง Wall Street ภาคแรก ประกอบได้) ตลาด Junk Bond ก็ถึงกาลอวสาน และในฐานะที่ Junk Bond เป็นเครื่องมือสำคัญของการก่อหนี้เพื่อไปใช้ในกระบวนการควบรวมกิจการ จึงทำให้ตลาด M&A หรือ Takeover ซบเซาลงไปด้วยทันที
เหตุการณ์ฟองสบู่แตกในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจของอเมริกันแย่ไปด้วย ทุกคนต่างโทษกันไปโทษกันมา บ้างก็โทษความละโมบของพวก Wall Street (แบบเดียวกับที่กำลังโทษอยู่ในขณะนี้ว่าทำให้เกิดซับไพร์ม) บ้างก็โทษความหน้าใหญ่ใจใหญ่หรือบ้าระห่ำของผู้บริหารกิจการที่เอาแต่ขยายตัว ขยายตัว โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ และไม่สนว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ขอเพียงได้ขยาย ผนวก ตีเมือง เอากิจการโน้นกิจการนี้เข้ามาอยู่ในอาณาจักร เพื่อความยิ่งใหญ่อลังการของอีโก้ เป็นพอ
ท่ามกลางความล่มสลายครั้งนั้น และด้วยอาศัยอารมณ์แบบนี้แหละ ที่ผู้คนกำลังเบื่อหน่ายกับการขยายตัว และสิ้นหวัง หรือ "ตัน" กับทฤษฎีและแนวคิดเดิมๆ ที่เน้นให้มองออกนอกตัว C.K.Prahalad (พร้อมกับ Gary Hamel) ก็อุบัติขึ้นมาในบรรณภิภพของ Business Guru ด้วยแนวคิด Core Competence ที่เน้นให้ "หยุด" แล้ว "มองเข้าหาตัว" เน้นให้สำรวจตัวเองว่าเรามีดีอะไร หรือถ้ายังไม่มีก็ค่อยหามาเสริม ค่อยขยายออกไปในภายหลัง แต่เป็นการขยายอย่างมีแผน ขยายออกไปเพื่อจับ หรือผนวกเข้ามาซึ่ง Core Competency
แนวคิดนี้ถือเป็น Breakthrough Idea ที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากแวดวง MBA แวดวงกลยุทธ์ธุรกิจ แวดวงนักบริหาร และแวดวงที่ปรึกษา
แม้กระทั่งแวดวงการเมืองก็ยังขานรับ..นโยบายของพรรคการเมืองสำคัญๆ ในขณะนั้น พูดถึงเรื่อง Core Competency ของประเทศ
แนวคิดเรื่อง Core Competency ถูกจัดให้เป็นหมุดหมายสำคัญอันหนึ่ง (Milestone) ในกระบวนพัฒนาการเชิงความคิดทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจ โดยถือเป็นพัฒนาการก้าวกระโดดขั้นสำคัญที่เรียกว่าสำนัก Resource-based Strategy ซึ่งต่อเนื่องมาจากหมุดหมายก่อนหน้านั้นคือสำนัก Competitive Strategy ที่เน้นไปที่การแข่งขันและคู่แข่งขัน ซึ่งนำเสนอโดย Michael Porter เมื่อหนึ่งทศวรรษก่อนหน้านี้
นับแต่นั้นมา ชื่อเสียงของ C.K. Pahalad ก็ขจรขจาย โดยถือเป็น Management Guru คนที่สองของเอเชีย รองจาก Kenichi Ohmae แห่งญี่ปุ่น
หลังจากนั้น Pahalad ก็มีงานเขียนที่สำคัญอีกหลายเล่ม และรับตำแหน่งที่ปรึกษาตลอดจนกรรมการของกิจการชั้นนำของโลกมากมาย เช่น Pearson Group (เจ้าของหนังสือพิมพ Financial Times และ The Economist), NCR, และ Hindustan Lever, AT&T, Citigroup, Oracle, Philips, ตลอดจนกรรมการบางชุดของสหประชาชาติ (Private Sector and Development Commission)
Pahalad เคยก่อตั้งบริษัท Software ที่ซานดิเอโกชื่อ Praja โดยมีเป้าหมายที่จะนำข่าวสารข้อมูลลงสู่รากหญ้า แต่น่าเสียดายที่เขาทำไม่สำเร็จและต้องขายกิจการทิ้งไป
ระยะหลัง เขาให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และวิญญาณผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Spirit) ตลอดจนคนเล็กคนน้อย โดยเฉพาะพวกรากหญ้าในเอเชียมาก ในหนังสือของเขาเรื่อง Fortune at the Bottom of the Pyramid: Eradicating Poverty Through Profits" (2004) เขาได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของคนรากหญ้า ว่าถ้าสามารถใส่นวัตกรรมต่างๆ ลงไปเพื่อพลิกฟื้นให้คนเหล่านี้สามารถลืมตาอ้าปากได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นตลาดที่ยิ่งใหญ่ มีมูลค่ามหาศาลอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเขาก็แสดงให้เห็นว่า นักธุรกิจและบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะต้องหันมาให้ความสำคัญต่อคนรากหญ้า และในขณะเดียวกัน นักพัฒนาสังคมและ NGO ก็ไม่ควรปฏิเสธภาคธุรกิจ และอย่าเห็น "กำไร" เป็นเรื่องโสมม เพราะเราสามารถใช้นวัตกรรมเชิงธุรกิจแก้ปัญหาความยากจนได้ ซึ่งเขาก็ได้ยกตัวอย่างในอินเดียหลายตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
นั่นทำให้เขาเริ่มเป็นที่สนใจนอกแวดวงธุรกิจและแวดวง MBA เช่นเดียวกับ Peter Drucker ที่ระยะหลังของชีวิตได้มุ่งงานเชิงสังคมและเข้าข้องเกี่ยวกับหน่วยงานพัฒนาเอกชนจำนวนมาก
ตามประวัติแล้ว C.K. Prahalad มีชื่อจริงว่า Coimbatore Krishnarao Prahalad เป็นพรามณ์ เกิดที่มัดราช มีพี่น้อง 13 คน โดยมีบิดาเป็นผู้พิพากษาและนักคิดคนสำคัญ สำเร็จการศึกษาทางด้านฟิสิกจากมหาวิทยาลัยมัดราช แล้วศึกษาต่อทางด้าน MBA ที่ Indian Institute of Management จนมาจบปริญาเอกทางด้านบริหารธุรกิจที่ Harvard Busines School เขาเคยสอนที่อินเดียแล้วย้ายครอบครัวมาที่สหรัฐฯ โดยมาสอนประจำที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน
ด้วยความที่เป็นอินเดียน เขาย่อมมีความกดดันสูงในแวดวงของฝรั่ง และมีโลกทัศน์ที่ต่างออกไป นั่นอาจเป็นแรงกดดันให้เขาเกิดความคิดสร้างสรรค์และสามารถคิดอะไรใหม่ๆ ได้เสมอ
ระยะหลังมานี้ คนอินเดียที่มีการศึกษาเข้าไปหากินในอเมริกากันมาก หลายคนเติบโตในแวดวงธุรกิจสำคัญๆ ทั้งที่ Selicon Valley และ Wall Street หรืออย่างในแวดวงวิชาการทางด้านบริหารธุรกิจและการจัดการระดับสูง คนอินเดียก็สามารถเบียดเสียดฝรั่งขึ้นไปเป็นใหญ่ได้ คนอินเดียที่อพยพไปหากินในอเมริกา (ที่ฝรั่งเรียกว่า PIO หรือ Person of Indian Origin) ได้เคยดำรงตำแหน่ง CEO ของ McKensey&Co. บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำที่ถือกันว่า Prestige ที่สุดในโลก หรืออย่าง Wharton School of Management และ Kellogg School of Management สถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าทางด้านบริหารธุรกิจของโลก ก็เคยมีคนอินเดียเป็น Dean มาแล้วทั้งคู่ และที่เด่นที่สุดในขณะนี้คือ Nitin Nohria ซึ่งกำลังจะขึ้นเป็นใหญ่ที่ Harvard Business School โรงเรียนบริหารธุรกิจเบอร์หนึ่งของโลก ฯลฯ นี่ยังไม่นับที่มีตำแหน่งทางวิชาการเฉยๆ อีกเป็นจำนวนมาก กระจายไปทั่วสหรัฐฯ
คนอินเดียเหล่านี้และเศรษฐีนักธุรกิจในอินเดียบ้านเกิด ได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มที่เรียกว่า Indus Entrepreneurs ซึ่งเป็นเครือข่ายภารตะที่ทรงอิทธิพลมาก โดย Prahalad ก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสังคมอินเดียนั้นสั่งสมความรู้มานานแสนนานและลึกซึ้งมากเพียงใด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ความคิดของพระองค์ท่านกลายมาเป็นศาสนาพุทธที่เราเข้าใจว่าเป็นศาสนาประจำชาติของเรานี้ ที่แท้ก็เป็นคนภารตะ
ระบบการศึกษาและสถาบันการศึกษาของอินเดียนั้นต้องมีความเป็นเลิศอย่างมิพักต้องสงสัย ถึงสามารถผลิตนักคิดระดับ Heavy Weight ให้กับโลกได้ตลอดมา
คณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ นักคิดคนสำคัญที่ผมถือว่าเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์สูงมากและผมให้ความนับถือ เคยเล่าให้ผมฟังว่า สถาบันการศึกษาอย่าง Indian Institute of Technology ซึ่งได้รับการยกย่องจากฝรั่งมากว่าสามารถผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชั้นยอดจำนวนมากนั้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ก็เป็นเพียงสถาบันเก่าๆ ประกอบไปด้วยห้องเรียนเก่าๆ โต๊ะและเก้าอี้เก่าๆ และมีพัดลมเพดานเก่าๆ พัดเอื่อยๆ โดยที่ครูบาอาจารย์ก็มาสอนในชุดโจงกระเบนขาวคร่ำๆ ย่ำมาบนรองเท้าแตะ มือขวาถือร่มและมือซ้ายถือหนังสือพิมพ์ ม้วนๆ แล้วเหน็บเข้าไปที่ซอกรักแร้ เฉกเช่นเดียวกับสมัยที่อังกฤษยังปกครองอยู่
Professor เหล่านี้ เมื่อเดินผ่านชาวบ้านร้านตลาด ล้วนได้รับความเคารพนบนอบจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนที่เดินผ่านไปมา
พวกท่านเหล่านี้แหละ ที่ผลิตคนอย่าง C.K. Prahalad ตลอดจนนักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักการเงิน โปรแกรมเมอร์ และวิศวกร จำนวนมาก ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของอเมริกาอยู่ในขณะนี้
นั่นแหละ ปัญหาของระบบการศึกษาอินเดีย..ระบบการศึกษาที่สามารถผลิตคนชั้นยอดที่ระบบการผลิตของประเทศ และ Productive Forces ของสังคมตัวเองรองรับไว้ไม่ได้
และนั่นอีกเหมือนกัน ที่ทำให้พวกเราและโลกได้รู้จัก C.K. Prahalad ในแบบที่เขาเป็น และได้เสพความคิดอันมีประโยชน์ของเขา
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤษาคม 2553
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Competing for the Future
"Whoever fights monsters should see to it that in the process he does not become a monster. And when you look into an abyss, the abyss also looks into you."
Friedrich Nietzsche
ผมรู้จักโปรไฟล์ของท่านผู้อ่านนิตยสารฉบับนี้ดี ผมจึงไม่คิดว่า แฟนๆ MBA จะอินโนเซนส์พอจะเชื่อว่าการสัประยุทธ์โดยมี "อำนาจรัฐ" เป็นเดิมพัน ระหว่าง "Thaksin and Co." กับ "Non-Thaksin Network" จะบรรเทาเบาบางลงหลังจากจบวิกฤติรอบนี้ไปแล้ว
เพราะถ้าเปรียบเป็นมวยสากล ก็อาจอนุมานเอาได้ว่าเพิ่งจะเข้ายกที่ 5 หรือ 6 โดยยกที่ผ่านมา นักมวยทำการแลกหมัดกันอย่างดุเดือด งัดเอากลเม็ดเด็ดพลายสารพัด ทั้งเปิดหน้าและชกใต้เข็มขัด จนถึงเลือดตกยางออก อีกทั้ง กองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายก็ฮึ่มๆ กันจนถึงขั้นตะลุมบอนและทำลายข้าวของ เป็นเหตุให้ทุกฝ่าย รวมทั้งผู้ชมที่เป็นกลางๆ (ซึ่งมีอยู่แยะ แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล และถูกปฏิบัติต่อเหมือนไม่มีตัวตน) ตลอดจนเพื่อนฝูงในต่างประเทศหวั่นใจ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็สูญเสีย บาดเจ็บล้มตาย ขมขื่น แต่ก็ยังคิดหวังเอาเองอยู่ลึกๆ ว่านักมวยฝ่ายตัวยังคงมีคะแนนนำ และจะยืนระยะได้จนถึงยกสุดท้าย หรืออย่างน้อยก็ถึงยกที่เป็นหมุดหมาย...ก็คือ "วันนั้น"
แน่นนอน แม้นักมวยและโปรโมเตอร์จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และรู้ว่า "เราต่างก็ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่มาร" และ "ต่างก็มาจากสำนักเดียวกัน" ทว่า กองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้) และ "อิน" ไปกับการต่อสู้ ต่างก็เกลียดชังกันแบบร้าวลึก และต่างก็อวดอ้างว่าฝ่ายตนเป็น "ฝ่ายเทพ" โดยเหยียดฝ่ายตรงข้ามว่าต่ำและไม่ใช่มนุษย์
ฝ่ายหนึ่งว่า "เชื่อทักษิณ โง่เป็นควาย" ส่วนอีกฝ่ายก็โต้ว่า "เชื่ออภิสิทธิ์" ก็โง่เป็นควายเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งว่า "ทักษิณเป็นผู้ก่อการร้าย" อีกฝ่ายก็ว่า "อภิสิทธิ์เป็นทรราช" อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อระฆังยกใหม่ดังขึ้น ฝ่าย Non-Thaksin ซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ จำเป็นต้องเป็นฝ่ายเดินหน้า รุก และเป็นฝ่ายกระทำ โดยหวังว่าจะ "น็อคเอ้าท์" อีกฝ่ายให้ได้ในยกนี้...ฯลฯ
สถานการณ์จะเป็นยังไงต่อ จะน็อคหรือจะชนะคะแนน หรือจะล้มมวย หรือจะเจราจาให้พี่เลี้ยง "โยนผ้า" เราก็ต้องคอยดูกันต่อไป...
นั่นเป็นเรื่องของมวย !
แต่ความเป็นจริงย่อมมิใช่มวย เพราะการสัประยุทธ์ระดับนี้ มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิต ทรัพย์สิน และอนาคตของพวกเรา ตลอดจนลูกหลานของพวกเราทุกคน
ผมย่อมเศร้าใจที่นับแต่นี้ไป ต้องดำเนินชีวิตภายใต้ความเสี่ยงยิ่งกว่าเดิม (ทั้งที่ธรรมดาอยู่กรุงเทพฯ ก็เสี่ยงมากอยู่แล้ว) และผมก็เชื่อว่าประชาชนคนธรรมดาจำนวนมากคิดแบบนั้น เพราะพวกเรามิได้มีกองกำลังอารักขาหรือจะสามารถโยกย้ายครอบครัวไปต่างประเทศ หรือเข้าไปขออาศัยในค่ายทหารในเวลาฉุกเฉินได้ง่ายๆ แบบผู้มีอำนาจและมีทรัพย์ทั้งหลาย
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ผมย่อมไม่อยากเห็นความรุนแรง หรือเผชิญกับวิกฤติแบบที่ผ่านมาอีก
ประสบการณ์สอนผมว่า การช่วงชิงอำนาจในสังคมมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติ แม้สิ้นทักษิณและสหายไป ที่เหลือก็ยังจะแย่งชิงอำนาจกันอยู่ดี โดยดีกรีของการแย่งชิง จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องเพราะทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า เมืองไทยจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงอำนาจที่มีความสำคัญมากๆ ในอนาคตอันใกล้
ทุกฝ่ายต่างก็ซุ่มออกแบบโครงสร้างอำนาจ จัดทัพ และดำเนิน Preemptive Strategy เพื่อช่วงชิงพื้นที่อำนาจ หรือ Shape สภาพแวดล้อมเชิงอำนาจให้เป็นคุณต่อฝ่ายตน และ Positioning ตัวเองไว้ในจุดที่คิดว่าจะได้เปรียบที่สุดเมื่อ "เวลานั้น" มาถึง
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทักษิณและสหายก็ได้ส่งสัญญาณไปสู่ชนชั้นนำในสังคมไทย ทั้งที่อยู่ในหน่วยงานที่เป็น State Apparatus และในภาคเอกชนทั้งมวล ว่ากลุ่มของเขาเองยังคงมีฤทธิ์ ยังมีทรัพยากร และมีความเชี่ยวชาญในการจัดการ สามารถ Financing และ Organized ผู้คนจำนวนมากในประเทศนี้ที่คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้รวมตัวสนับสนุนเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหนือความคาดหมายของผู้คนจำนวนมาก
ที่ผ่านมา ปรากฎการณ์ "เกียร์ว่าง" ที่เกิดขึ้นในระบบราชการ ย่อมมาจากการที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกิดความลังเล อันเนื่องมาแต่คลื่นความถี่ (และความแรง) ของสัญญาณดังกล่าวที่ถูกส่งมาด้วยอีกโสตหนึ่ง จึงกลัวว่าหากดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปในขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้กุมอำนาจเด็ดขาดในอนาคต อาจจะส่งผลต่อเส้นทางอาชีพในระบบราชการของพวกเขาได้เช่นกัน
การเผากิจการของเอกชนบางแห่ง ก็เป็นการส่งสัญญาณถึงกลุ่มทุนในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งมวล ว่าควรวางตัวอย่างไรนับแต่นี้
นี่คือสงครามเพื่อแย่งชิงอนาคต !
เป็นสงครามที่มีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในจิตใจคน เพื่อจะนำไปสู่ส่วนแบ่งของอำนาจรัฐในอนาคตนั่นเอง
ผมเองมีความหวั่นวิตกมาก ว่าสงครามแห่งอนาคตครั้งนี้จะเลยเถิด กลายเป็นสงครามกลางเมืองใหญ่ที่ไม่เฉพาะชนชั้นนำห้ำหั่นกันเองเหมือนที่เป็นมาในอดีต แต่จะลามปามถึงผู้คนทุกชนชั้นในสังคมที่จะถูกเสี้ยมให้จับอาวุธขึ้นมาฆ่าฟันกันเองด้วย
เพราะนอกจากหัวขบวนหลักของทั้งสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันอยู่ขณะนี้ ดูเหมือนจะมีทรัพยากรและกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงก้ำกึ่งกันแล้ว ความขัดแย้งอันเป็นข้ออ้างหรือ "อาหาร" ของสงครามครั้งนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่ดำรงอยู่ในโครงสร้างของสังคมเศรษฐกิจไทยและจะแก้ไขได้ยากยิ่ง
ผมเชื่อว่า ผู้อ่านนิตยสารฉบับนี้ แม้จำนวนมากจะมีจุดยืนอยู่ตรงข้ามฝ่ายทักษิณและสหายก็ตาม ย่อมไม่อินโนเซนส์พอจะโต้แย้งว่า ประชาชนจำนวนมากที่สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดงนั้น ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมและถูกเอารัดเอาเปรียบในเชิงโครงสร้าง
พวกเราต้องเข้าใจว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันเกือบ 75% ของ GDP (ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความมั่งคั่ง) มาจากธุรกิจอุตสาหกรรมที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และแถบอีสเทินร์ซีบอร์ดเท่านั้น ภาคเกษตรกรรมมีส่วนเพียง 20% และภาคการท่องเที่ยวประมาณ 5-6% โดยที่กว่าสามในสี่มาจากธุรกิจกลางคืน
ลองคิดง่ายๆ ว่าประเทศไทยมีประชากร 63 ล้านคน อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีสเทินร์ซีบอร์ดประมาณ 15 ล้านคน นั่นก็หมายความว่าประชาชนเพียง 20% เท่านั้นที่สร้างความมั่งคั่งได้ถึง 75% (ให้กับ GDP) และหากเอาสัดส่วนนี้มาคิดเทียบแบบ Rule of Thumb ก็อาจอนุโลมได้ว่า ประชาชนประมาณ 80% ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และอิสเทรินซีบอร์ด เป็นคนจน (และก็อาจจะอนุโลมเทียบกับตัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศได้เช่นเดียวกัน)
ก็จะมีกันสักกี่คนเล่า ที่สามารถมีบ้านหรือคอนโดอยู่ในย่านสุขุมวิท สีลม สาทร ราชดำริ หลังสวน หรือตามหมู่บ้านเศรษฐีที่มี Facilities ครบครัน ฯลฯ หรือในเขตเมืองชั้นในได้ ถ้าไม่มีมรดกตกทอด...คน 80% เหล่านั้นย่อมอยู่กันตามมีตามเกิด คือถ้าไม่ออกนอกเมืองอันไกลสุดกู่ ก็อยู่ตามห้องเช่าเล็กๆ หรือตามชุมชนแออัดซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในกรุงเทพฯ
ฉะนั้น ผมจึงไม่แปลกใจที่รู้ว่า พวกที่เป็นผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองรอบที่ผ่านมาเป็นคนกรุงเทพฯ มิใช่คนอิสานที่มาร่วมชุมนุม
นั่นเป็นจุดอ่อนของสังคมที่ช่องว่างของรายได้และความมั่งคั่ง ถ่างกว้างเกินไป
สิ่งนี้ย่อมเป็นอันตรายยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อมันถูกบรรจุอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งดูแคลนการเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีการอื่นที่สร้างสรรค์กว่ามาทดแทนได้
มันยิ่งทำให้ระบบการ Share อำนาจ ยิ่งมีปัญหา แล้วก็ย้อนกลับไปซ้ำเติมปัญหาช่องว่างของรายได้และความมั่งคั่ง ซึ่งในที่สุดก็จะเป็น "อาหาร" อันโอชะของความเกลียดชัง และเป็นข้ออ้างของ "สงครามแห่งอนาคต" อีกทอดหนึ่ง
ถึงเวลาแล้วหล่ะ ที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะต้องลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลง เพื่อขจัดเงื่อนไขของความเหลื่อมล้ำกันนี้ให้สิ้นซากไปด้วยสันติวิธี
ก่อนที่ผู้คนจะสิ้นหวังและถูกครอบงำด้วยความกลัวยิ่งไปกว่านี้ แล้วเลือกเอาความรุนแรงเป็นสรณะ
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
27 พฤษภาคม 2553
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Primum Non Nocere จรรยาบรรณผู้นำ
ในสมัยโบราณ คนทั่วไปมักคิดกันไปเองว่า "ผู้ปกครอง" ย่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการ อาวตารลงมาเพื่อ "ปกครอง" โดยเฉพาะ แม้แต่ผู้นำหรือคณะผู้นำสูงสุดของกิจการธุรกิจหรือองค์กรสมัยเมื่อไม่นานมานี้ ก็ยังถูกมองกันว่าต้องเป็นคนพิเศษที่เกิดมาเพื่อการนั้น หรือสืบทอดมาจากครอบครัวซึ่งสมาชิกต่างก็มีความสามารถพิเศษในเชิงการปกครอง
แต่เมื่อการศึกษาในเชิง "การจัดการสมัยใหม่" หรือ Modern Management แพร่หลายมากขึ้น ผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับผู้ปกครอง หรือที่เรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า "ผู้บริหาร" หรือ "ผู้จัดการ" หรือที่เรียกตามตำแหน่งว่า "CEO" หรือ "นายกรัฐมนตรี" หรือ "ประธานาธิบดี" หรือที่เรียกตามหมู่คณะว่า "ชนชั้นปกครอง" หรือ "บอร์ด" หรือ "โปริสบูโร" ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งพอจะอนุโลมเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "Management"
Modern Management เริ่มเปลี่ยน Approach การมองกลุ่มคนเหล่านี้ ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับตำแหน่งเหล่านี้ (office) ว่าเป็นเพียง "อาชีพ" อาชีพหนึ่ง (a specific organ doing a specific kind of work and having specific responsibilities)
นั่นหมายความว่า "ผู้ปกครอง" หรือ "ผู้บริหาร" หรือ Management ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่คล้ายกับ แพทย์ พยาบาล สถาปนิก ตำรวจ ทหาร วิศวกร ทนายความ ครู นักข่าว หมอดู หรือช่างฝีมือ ฯลฯ
ท่านผู้อ่านย่อมเคยได้ยินคำว่า Professional Management หรือ Professional Manager มาบ้าง ไม่มากก็น้อย
เพราะถ้ามันเป็นเพียงอาชีพหนึ่ง ก็ย่อมสามารถมีใครก็ได้ที่ได้รับการฝึกฝนมา จนมีความเชี่ยวชาญและช่ำชองพอจะมารับหน้าที่ "ปกครอง" หรือ "บริหาร" กิจการ หรือ องค์กร หรือแม้กระทั่งประเทศชาติให้เกิดความร่มเย็นและมั่งคั่งได้ เช่นเดียวกับคนที่สามารถฝึกเป็นหมอ (มาเพื่อรักษาชีวิตมนุษย์) ครู (เพื่ออบรมสั่งสอนกุลบุตรธิดา) ทนาย (เพื่อใช้กฎหมายให้เกิดยุติธรรม) ทหาร (เพื่อใชอาวุธยุทโธปกรในการรบ) หรือวิศวกร ได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น เมื่อมันถูกมองว่าเป็นอาชีพเฉพาะทางเช่นนี้ ก็แน่นอนว่ามันย่อมต้องมี "จรรยาบรรณ" ของอาชีพหรือประจำอาชีพผู้ปกครองด้วย เช่นเดียวกับ จรรยาบรรณแพทย์ จรรยาบรรณครู จรรยาบรรณสื่อ จรรยาบรรณผู้พิพากษาหรือนักกฎหมาย เป็นต้น
มีหนังสือและบทความจำนวนมากที่เขียนเรื่อง "จรรยาบรรณของผู้บริหาร" แม้แต่ Business School ชั้นนำของโลกหลายแห่ง ก็ได้บรรจุวิชาเหล่านี้ลงไปในหลักสูตร MBA ด้วยแล้ว
Peter Drucker เคยเขียนว่าในประเทศอังกฤษนั้น ผู้พิพากษามักจะตัดสินให้พวกเมาแล้วขับที่เป็นบัณฑิตจาก Oxford หรือ Cambridge หรือที่มาจากโรงเรียน Public School มีชื่อทั้งหลาย ให้ได้รับโทษหนักกว่าคนทั่วไป และกรณีเหล่านี้ก็มักจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากเป็นพิเศษ
เขาได้ยกตัวอย่างพาดหัวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ว่า "Eton graduate convicted of drunken driving." เป็นต้น
นั่นเป็นเพราะคนทั่วไปย่อมคาดหวังว่าชนชั้นปกครองหรือคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง (หรือผู้บริหารในภาษาสมัยใหม่) ย่อมต้องมีมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมสูงส่งกว่าคนธรรมดา
"No one expects an Eton education to produce temperance leaders. But it is still a badge of distinction, if not of priviledge." ดรักเกอร์ว่างั้น (อ้างจาก Peter Drucker, Management: Tasks, Responsibilities, Practices, Harper&Row 1974 หน้า 366)
สำหรับดรักเกอร์แล้ว จรรยาบรรณและความรับผิดชอบข้อสำคัญของผู้ปกครอง สรุปได้ด้วยคำละตินที่รู้จักกันในนาม Hipprocratic Oat ว่า "Primum Non Nocere" แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Above all, not knowingly to do harm." หรือ "First, do no harm."
Drucker ใช้คำว่า "เป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม" (the basic rule of an ethics of public responsibility) เพราะวาจา การกระทำ และพฤติกรรม ตลอดจนการตัดสินใจของผู้ปกครองนั้น มันจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ตาม (ผู้ถูกปกครองในองค์กรนั้นๆ) และสังคมโดยรวม (มากน้อยขึ้นอยู่กับว่าองค์กรที่เขาปกครองอยู่นั้นเป็นบริษัท รัฐวิสาหกิจ กรม กระทรวง หรือประเทศ)
ผู้ตามจึงจะสามารถไว้วางใจผู้นำของเขาได้อย่างสนิทใจ
"There are important areas where managers, and especially business managers, still do not realize that in order to be permitted to remain autonomous and private they have to impose on themselves the responsibility of the professional ethic. They still have to learn that it is their job to scrutinize their deeds, words, and behavior to make sure that they do not knowingly do harm." ดรักเกอร์ว่างั้น
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน พ.ค. 2553
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ายุค นปช.ยึดเมือง
ในการปาฐกถาครั้งหนึ่ง สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เคยพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ 2475 เสียก่อน ก็ไม่แน่ว่า หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร ซึ่งนั่งฟังอยู่ในห้องนั้นด้วย อาจจะได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท
คำหยอกล้อนี้ มิใช่ไม่มีมูลเอาเสียเลย เพราะสมเด็จปู่ของท่านผู้นั้น คือสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่ 1 และทรงกำกับราชการสำคัญรองจากองค์พระมหากษัตริย์ จนเกือบตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งไม่ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา
แต่เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติโดยมิได้ทรงเจาะจงผู้ที่จะสืบราชสมบัติ คณะราษฎรจึงข้ามพระองค์ท่านกลับไปยังสายของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จทิวงคตไปก่อนหน้าแล้ว จึงได้อัญเชิญพระโอรส คือพระองค์เจ้าอานันทมิหดล ขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 8 ดังที่พวกเราได้ทราบกันดีอยู่แล้ว
สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ทรงมีพระชายา 1 พระองค์คือ หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร และมีหม่อมอีก 1 ท่านคือ หม่อมสัมพันธ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นโอรสของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯ ที่ประสูติแต่หม่อมสัมพันธ์ จึงมีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงจุไรรัตนศิริมาน ซึ่งเป็นพระราชธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯ ที่ประสูติแต่หม่อมเจ้าประสงค์สม
พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ม.ร.ว.จัตุมงคล นั้นเป็นสาย "เมียหลวง" แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นสาย "เมียน้อย"
ในวัยเด็ก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับการศึกษาชั้นเลิศแบบผู้ดีอังกฤษ โดยผ่านทั้งโรงเรียน Cheam และโรงเรียน Rugby ซึ่งเป็น Public School ที่มีชื่อเสียง และยังได้เข้าศึกษาต่อที่ Pembrook College มหาวิทยาลัย Oxford จนสำเร็จในสาชา PPE ซึ่งเป็นยอดของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น อีกทั้งยังได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Georgetown ในสหรัฐฯ จนได้รับปริญญาโททางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เคยเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสมัยนั้นเขาก็เป็นดาวสัมมนาและยังเป็นคอลัมนิสต์ปากกาคม ที่มีข้อเขียนในเชิงการเมืองและการระหว่างประเทศลงตีพิมพ์ใน ผู้จัดการรายสัปดาห์, Bangkok Post, Far Eastern Economic Review, The International Herald Tribune, และ The Asian Wall Street Journal เป็นประจำอีกด้วย
ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เขาได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกัมพูชาและอินโดจีนอย่างรุนแรง เขาไม่เห็นด้วยที่ไทยเดินตามก้นจีน โดยสนับสนุนเขมรแดงให้ทำสงครามยืดเยื้อกับรัฐบาลกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วประกาศนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอยู่ในคณะที่ปรึกษาหนุ่มที่เรียกกันว่า "บ้านพิษณุโลก" อันโด่งดัง
ตัวเขา และพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ตลอดจน ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีบทบาทอย่างมากในการเจรจาสงบศึกเขมรในยุคนั้น เป็นอันสิ้นสุดยุคสงครามอินโดจีนที่รบกันต่อเนื่องมาอย่างยาวนานลงโดยเด็ดขาด ส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากญี่ปุ่น ไหลเข้ามาลงทุนในไทยอย่างมโหฬาร เป็นสาเหตุหนึ่งของ "ภาวะฟองสบู่" ในเวลาต่อมา
แต่เขาก็ต้องลาออกจากคณะที่ปรึกษา เพราะถูกกดดันจากกองทัพ ในกรณีที่พลเอกชวลิต ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น วิพากษ์วิจารณ์การคอรัปชั่นของรัฐบาล โดยเขาได้ย้อนให้ "ทหารกลับไปปัดกวาดบ้านตัวเองเสียก่อน"
หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เขาโดดเข้าสู่วงการเมืองด้วยการร่วมก่อตั้งพรรคนำไทย กับ ดร.อำนวย วีรวรรณ โดยได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
ตอนนั้น ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้ติงว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศมากกว่าถ้ายังอยู่ในแวดวงวิชาการ และเขาก็ยังมิได้แสดงฝีไม้ลายมือในเชิงงานวิจัยอันลึกซึ้ง ฝากไว้ให้กับวงวิชาการไทยเลย
แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นในถนนการเมือง เพราะเมื่อพรรคนำไทยฝ่อไป เขาก็เข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยรัฐบาลชวน ซึ่งเขาก็ได้ฝากผลงานอันน่าประทับใจไว้ในช่วงที่กองกำลัง God Army บุกเข้ายึดสถานฑูตพม่าที่ถนนสาธร
เขาได้แสดงความกล้าหาญ ยอมแลกเป็นตัวประกันไปส่งกองกำลังดังกล่าวจนถึงชายแดนไทย-พม่า
วันที่เขาชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ เขากล่าวว่าจะตั้งใจบริหารนครแห่งนี้อย่างเต็มความสามารถด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะเป็นเมืองที่บรรพบุรุษของเขาได้ทรงก่อตั้งและสร้างความเจริญสืบมา
ผลงานของเขาในฐานะผู้ว่าฯ กทม. มิได้โดดเด่นอันใด จนกระทั่งเมื่อช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้แสดงภาวะผู้นำอย่างน่ายกย่อง ด้วยการอยู่โยงบัญชาการผ่อนหนักเป็นเบาอย่างเอาจริงเอาจัง และอย่างระมัดระวังที่จะไม่ไปเข้าข้างฝ่ายใด โดยยึดเอาปัญหาของชาวบ้านเป็นหลักใหญ่ ด้วยมาตรการอันถือเอาความปลอดภัยของลูกน้องเป็นสำคัญด้วยความรอบคอบ จนได้ใจผู้ปฏิบัติงานอย่างมาก
อีกทั้งยังพอเป็นที่อุ่นใจได้บ้างของชาวกรุงเทพฯ ว่ายังมีผู้นำที่ให้จับต้องได้ ในระหว่างที่บรรดาผู้นำระดับสูงแทบทั้งหมดต้องเข้าไปหลบในค่ายทหารและไม่ค่อยปรากฎตัวให้เห็นนอกจากเวลาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเท่านั้น
แม้ว่า การได้เป็นผู้บริหาร กทม. ในช่วง นปช.ยึดเมือง ดูเหมือนจะเป็นทุกขลาภ แต่ทว่า ผลงานระหว่างนั้นของคุณชายที่ออกมาในเชิงบวก ย่อมจะส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤษภาคม 2553
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
"จ่ายดอกเป็นเฟอร์นิเจอร์" การเงินเพื่อลดช่องว่างสังคม
ว่ากันว่า John Maynard Keynes สมัยเรียนอยู่ Eton (โรงเรียนเดียวกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ชอบนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง จนเพื่อนๆ รู้กันทั่ว เขาไม่ค่อยชอบกรีกกับละติน แต่กลับชอบคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาศึกษาชีวิตและความคิดของ Sir Issac Newton จนทะลุปรุโปร่ง และเป็นคนหนึ่งที่เคยมีบันทึกฉบับลายมือเขียนของ Newton ไว้ในครอบครอง เป็นของสะสมส่วนตัวอันมีค่ายิ่ง
ทว่า Keynes ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีจิตใจอ่อนโยนมากคนหนึ่ง เขาชอบศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ คู่รักชายแบบ Homosexual ของเขาที่เขารักมาก ก็เป็นศิลปิน ดังนั้น เมื่อเขาเห็นคนงานต้องตกงาน เขาจึงสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขามองว่ามนุษย์ที่ไร้งานทำ ย่อมไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน
เศรษฐศาสตร์ของเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การจ้างงาน เขาเสนอให้รัฐบาลยื่นมือเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ โดยอาศัยนโยบายการคลัง และเครื่องมืออื่นเช่นรัฐวิสาหกิจ เข้ากระตุ้นอุปสงค์มวลรวม เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ Full Employment หรือสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่คนวัยทำงานทุกคนพึงมีงานทำกันถ้วนหน้า
นั่นเป็นเป้าหมายทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้คำนึงถึง “มนุษย์” อยู่ในเป้าหมายนั้นด้วย มันเป็นเป้าหมายแบบมนุษยนิยม ต่างกับเป้าหมายแบบเดิมที่มุ่งเน้นในเรื่อง “ภาวะสมดุล” หรือ Market Equilibrium
ความคิดของเขาเคยได้รับความนิยมอย่างสูงจากบรรดา Policy Maker หลังผ่านการทดสอบจากนโยบาย New Deal เพื่อกู้เศรษฐกิจอเมริกาจากการตกต่ำครั้งใหญ่เมื่อ 80 ปีก่อน แต่เมื่อหลายประเทศประสบวิกฤติจากกรณีหนี้สินภาครัฐในราวทศวรรษที่ 60-70 ความคิดของเขาก็เริ่มถูกปฏิเสธ และแทนที่โดยความคิดแบบเสรีนิยมขวาจัด ประเภทต้องให้รัฐบาลอยู่เฉยๆ อย่าไปยุ่งอะไรกับระบบเศรษฐกิจ ปล่อยให้ตลาดปรับตัวเอง คอยแต่คุมกฎและเปิดเสรีทุกอย่าง ทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะตลาดการเงิน เพื่อให้ทุนและการค้าไหลผ่านพรมแดนไปมาได้อย่างเสรี (ความคิดแบบนี้ รู้จักกันในนาม Neo-Liberalism หรือ Washington Consensus)
เอาไปเอามา การปล่อยปละละเลยก็กลับเป็นพิษ ส่งผลให้เกิดวิกฤติในตลาดหุ้นและต่อระบบเศรษฐกิจการเงินหลายครั้งหลายหน ในรอบหลายสิบปีมานี้ และดูเหมือนจะถี่ขึ้นๆ จนมาเกิด “วิกฤติซับพราม” ซึ่งถือเป็นที่สุดของวิกฤติการเงินที่โลกตะวันตกกำลังเผชิญอยู่ ทำให้ผู้กุมนโยบายต้องพลิกตำรากลับแบบ 180 องศา กลับมาหานโยบายประชานิยมแบบ Keynes อีกครั้ง เริ่มโดยพี่เบิ้มอเมริกาโดดเข้าอุ้มสถาบันการเงิน (Hank Paulson รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ บอกว่า “Objectable, me include, but Necessary” ส่วน George Bush หัวหน้าพี่เบิ้ม ก็ออกมาพูดน่าตาเฉยว่า “….Government intervention is to preserve the free market”) พี่เบิ้มยุโรปก็ทำบ้างแถมยังจะตั้งกองทุนพยุงหุ้น คล้ายๆ “กองทุนวายุภักษ์” ที่รัฐบาลไทยเคยทำมา เล่นเอานักเศรษฐศาสตร์หัวเสรีนิยมและผู้กุมนโยบายในประเทศโลกที่สาม ซึ่งเคยเดินตามพี่เบิ้มและเคยแสดงความรังเกียจ “นโยบายประชานิยม” ทั้งหลาย ตกตะลึงจนแทบ “ลมใส่” (Allan Greenspan ผู้ยิ่งใหญ่เพิ่งจะออกมายอมรับกับคณะกรรมาธิการการเงินของรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าในอดีตเขาเข้าใจผิดไป นึกว่า “Self-interested principle in banks will be the best way to protected the shareholders interests”)
วิกฤติการณ์ปัจจุบัน จะจบยังไง ยังไม่มีใครรู้ได้ แต่รู้อย่างเดียวว่าหนักแน่ๆ ดีไม่ดี รัฐบาลใหม่ของอเมริกา อาจหันกลับไปใช้นโยบายแบบ New Deal อีกครั้ง ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเภทจ้างคนมา “ขุดดิน” เสร็จแล้วก็จ้างทีมใหม่มา “กลบดิน” กลับเข้าที่เก่า เป็นต้น
ในการบรรยาย (Lecture) ครั้งหนึ่งของ Keynes ที่ Cambridge เขาได้กล่าวพาดพิงถึงนโยบายประชานิยมอันหนึ่ง ซึ่ง MBA เห็นว่าน่าสนใจและสามารถนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ในเมืองไทยได้ทันที
MBA จึงได้ลงมือหาข้อมูลเพิ่มจากที่ Keynes ได้พาดพิงไว้เพียงประโยคเดียว แล้วก็พบว่า สมัยที่นโปเลียนยังฟาดงวงฟาดงาอยู่ในยุโรป ยุคปลายรัชกาลที่ 1 ต่อต้นรัชกาลที่ 2 นั้น รัฐบาลอังกฤษได้ใช้นโยบายปิดล้อม หรือ Blockade คล้ายกับสหรัฐฯ ใช้กับอิรักสมัยซัดดัม ฮุสเซ็น แต่สมัยนั้น อาศัยกองทัพเรือของ Nelson อันเกรียงไกร อุดเส้นทาง Inport-Export ของฝรั่งเศสกับโลกภายนอกทุกทาง ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นบางอย่างในฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าฟุ่มเฟือย ที่กระทบปารีสเข้าอย่างจัง
ทว่า ฝรั่งเศสไม่ใช่ประเทศสิ้นไร้ไม้ตอก ฝรั่งเศสมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ทำการเกษตรขึ้น และอุดมไปด้วยช่างฝีมือทุกด้าน เคยยิ่งใหญ่ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและปัญญา นโปเลียนจึงแก้เกมด้วยการใช้นโยบายประชานิยมในหลายด้าน เช่นสร้างงานก่อสร้างสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ สนับสนุนอุตสาหกรรมสำคัญ และยกหนี้ให้เกษตรกร เป็นต้น (ใช้ก่อน New Deal ของประธานาธิบดี Roosvelt ร้อยกว่าปี และก่อนรัฐบาลทักษิณเกือบสองร้อยปี)
นโยบายหนึ่งของนโปเลียน ที่มีลักษณะ Innovative มากในสมัยนั้น คือการอนุมัติเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการประเภทช่างฝีมือทุกด้านทั่วประเทศ โดยให้จ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นผลงานแทนเงิน พูดแบบภาษานักการเงินสมัยใหม่ ก็อาจเทียบได้กับ “Payback-in-Kind”
นโยบายดังกล่าว ทำให้เกิดการผลิตงานครั้งใหญ่ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ทอง เงิน โลหะ หนัง เครื่องประดับ สลักหิน พรม เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยานพาหนะ ฯลฯ หรือแม้แต่อุตสาหกรรม Textile ระดับฟุ่มเฟือยที่เคยพึ่งพิงสินค้านำเข้าจากอังกฤษ ก็สามารถทดแทนได้
นโยบายนี้ ยังทำให้รัฐบาลสามารถบรรเทาความขาดแคลน และการลักลอบขนสินค้าหนีภาษี ตลอดจนป้องกันภาวะจารจล โดยลดผลกระทบทางลบต่อวิธีชีวิตประจำวันของผู้คนอันเนื่องมาแต่การ Blockade ลงอย่างได้ผล
นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นโปเลียนได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แสดงว่านโยบายแบบนี้ ส่งผลกับ Popularlity ทางการเมืองอีกด้วย
ประเทศไทยเราก็มีหน่วยงานสนับสนุนผู้ประกอบการประเภทช่างฝีมือจำนวนมาก ทั้ง ธนาคารวิสาหกิจระดับกลางและเล็ก (SME Bank) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจระดับกลางและขนาดย่อม (สสว.) สถาบันคีนันแห่งเอเชีย สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) สถาบันอาหาร สถาบันฯลฯ เป็นต้น..ตลอดจนธนาคารพาณิชย์ที่เน้นการปล่อยเงินกู้กับผู้ประกอบการประเภทนี้อย่างเป็นเป้าหมายสำคัญ ก็มีไม่น้อย
น่าจะลองศึกษาเรื่องที่เรากล่าวมานี้ดูอย่างละเอียด เผื่อจะก่อประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยคนเล็กคนน้อยที่มีฝีมือและอยากประกอบการ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2551
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553
ท่ามกลางความท้อแท้
ตั้งแต่ประกอบอาชีพสื่อมวลชนมา ผมไม่เคยเห็นครั้งใดที่พวกเราแตกกันมากขนาดนี้
อย่าว่าแต่ต่างค่าย ต่างองค์กรกันเท่านั้น แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน (มีฝ่ายที่สามซึ่งเรียกร้องให้คนใช้เหตุผลกับสติกันน้อยมาก และที่มีอยู่ก็ล้วนเป็นพวกที่เสียงไม่ดังพอ)
ไม่ต่างอะไรกับวงการสื่อมวลชนฝรั่ง ในช่วงที่ประธานาธิบดีบุชสั่งบุกอิรัก
เพราะครั้งนั้น แม้แต่ในกองบรรณาธิการของ The Economist ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานสูง ยังแตกออกเป็นสองก๊กหลัก โดย Senior Editor คนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นมาเกือบ 50 ปี ก็ได้ออกมากระทุ้งในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนั้นเอง ว่ามันไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย ในช่วงชีวิตที่เธอทำงานอยู่กับองค์กรแห่งนั้น
ส่วนเมืองไทยในรอบหลายปีหลังมานี้ สื่อของบางค่ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสื่อที่มีคุณภาพสูงและมี Impact มาก ได้กลายเป็น Propaganda Pieces ไปอย่างน่าเสียดาย
ชิ้นงานข่าวจำนวนมาก เป็นรายงานเพียงด้านเดียว จัดทำออกมาเพื่อ "กรอกหู" หรือ "กรอกตา" ผู้เสพข่าวอยู่ตลอดเวลา
ชิ้นงานข่าวบางชิ้นซึ่งจัดทำโดยนักข่าวหรือนักวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่ยึดมาตรฐานสูง ก็หนีไม่พ้น "Ending Syndrome" (ซึ่งไม่ใช่ Happy-Ending Syndrome แบบละครไทย) เพราะแม้จะทำเรื่องอะไร แม้วิธีวิเคราะห์จะชาญฉลาดขนาดไหน ก็จะได้ข้อสรุปในแบบเดียว แบบเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
ทำให้ผมนึกถึงข้อเขียนของพวกฝ่ายซ้ายสมัยก่อน คือไม่ว่าจะวิเคราะห์ได้ครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ ด้วยวิธีวิเคราะห์ที่ชาญฉลาด และลีลายอกย้อนมีเสน่ห์เพียงใด ทว่า สุดท้ายต้องสรุปด้วยการ "ชูกำปั้น" เสมอไป
แบบว่า "ชูกำปั้นซินโดรม" ที่ทำให้เสน่ห์ของการวิเคราะห์และลีลานำเสนออันย้อกย้อน ตลอดจนข้อมูลสนับสนุนที่น่าฟังเหล่านั้น "กร่อย" ลงไปแยะ
ผมเห็นกับตาว่า การใช้เหตุผลและใช้สติ ลดน้อยถอยลงไปมากในหมู่พวกเรากันเอง
และนั่น ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดต่อคนอาชีพเดียวกันไปไม่น้อย
สมัยก่อน ผมคิดเอาเองว่า คนที่เลือกมาประกอบอาชิพสื่อมวลชนนั้น ไม่นับพวกที่มาเปิดหน้าหรือขอเวลาเพื่อรับเม็ดเงินโฆษณาแล้ว ย่อมเป็นคนที่รักความจริง หรือรักที่จะแสวงหาความจริง แม้ได้ยินได้ฟังอะไรมาก็ย่อมต้องลงมือสืบสวนสอบสวนเอาเองจนถึงที่สุด มี Lifestyle ที่ชอบใช้ปัญญา และหมั่นฝึกฝนตัวเอง เพื่อขจัดอคติที่ติดตัวมาแต่เดิม หรือที่มีมาด้วยเหตุใดก็ตาม ให้เหลือน้อยที่สุด จนยากที่ใครจะมาจูงจมูกได้ง่ายๆ
แต่สถานการณ์ขณะนี้ ทำให้ผมประจักษ์ชัดว่า แท้จริงแล้ว พวกเราก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป
พวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งใน "ฝูงแกะ" อยู่นั่นเอง
จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ที่บางทีพวกเราก็มีพฤติกรรมคล้ายนักการเมือง ที่ชอบเอาสีไปป้ายคนโน้นคนนี้ จัด Segment จัด Brand ให้ผู้คนเรียบร้อยเสร็จสรรพ
บางทีก็ทำตัวคล้ายผู้พิพากษาศาลที่รับเงินใต้โต๊ะ ทำการตัดสินคนบริสุทธิ์ให้มีความผิด โดยไม่แสวงหาความจริง หรือแม้รู้ความจริงแล้ว ก็ยังดื้อดึง ตัดสินไปอีกทางอยู่ดี
หรือบางทีก็ทำตัวคล้ายคนไข้โรคจิต ซาดิสม์รุนแรง คอยยุยงให้ผู้คนฆ่าฟันกัน หรือให้หลักฐานเท็จโดยไม่ตรวจสอบความจริง เพื่อเสี้ยมให้คนฆ่าฟันกันเองด้วยความเข้าใจผิด
และบางทีก็ทำแบบนักโฆษณา ที่สามารถพูดความเท็จ หรือกึ่งจริงกึ่งเท็จ หรือจริงด้านเดียว โดยไม่สะทกสะท้าน แบบหน้าตาเฉย หรือแม้กระทั่งออกจะภูมิอกภูมิใจเสียซ้ำ
Damned-lies Journalist แสดงตัวอยู่ทั่วไป
ซ้ำร้าย หลายคนได้ดิบได้ดี และได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ นาๆ จากผู้มีอำนาจ
นี่อาจจะเป็นบทบรรณาธิการที่สั้นที่สุด เท่าที่ผมเคยเขียนมา
เพราะผมไม่มีอะไรจะพูด มากไปกว่าจะบอกว่า
"ผมผิดหวัง"...มาก
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
24 เมษายน 2553
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553
อำนาจใหม่

การล่มสลายของ “ทักษิณและสหาย” ทำให้ “ดุลแห่งอำนาจ” ในสังคมไทยปัจจุบัน เกิดความปั่นป่วนอย่างน้อยในสามระดับ
ระดับที่เห็นได้ชัดเจน คืออำนาจทางการเมืองที่จำเป็นต่อการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ (เช่นงบประมาณแผ่นดินประจำปี) ไปให้กับกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ และจำเป็นต่อการออกแบบ จัดวาง กำหนด ชี้ขาด หรือ Shape rule of the game ตลอดจนให้คุณให้โทษต่อ Players ของอุตสาหกรรมทั้งมวลในสังคมเศรษฐกิจไทย
ระดับต่อมา ก็คือความระส่ำระสายของดุลอำนาจระดับรองลงมา ที่อยู่ในระนาบ Hierarchy ถัดลงมาจากยอดปิระมิดแห่งเครือข่ายอำนาจที่ทักษิณและสหาย ได้เคยสร้างและลงหลักปักฐานไว้แล้วอย่างมั่นคง เป็นเวลาหลายปี
พูดได้ว่า การเปลี่ยนขั้วอำนาจ (ในแดนที่อำนาจได้เปลี่ยนมือไปแล้ว) และสุญญากาศของอำนาจ (ในแดนที่ขั้วอำนาจยังไม่เปลี่ยน แต่กำลังขับเคี่ยวกันระหว่างอำนาจเก่ากับใหม่อย่างเข้มข้น) ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ตั้งแต่ในระดับหน่วยงานที่เป็น State Apparatus เช่น กระทรวง ทบวง กรม ศาล กองทัพ ตำรวจ องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ ไปจนถึงบรรดาเจ้าพ่อระดับชาติ ระดับเขต ระดับเมือง ระดับอำเภอ ระดับตำบล ที่คุมเขต คุมพื้นที่ หรือแม้กระทั่งผู้กว้างขวางท้ายซอย ที่ Generate Income และ Sustain Wealth ด้วยการคุมซอย คุมบ่อน คุมซ่อง หรือ คุมคิวรถและวินมอเตอร์ไซด์ ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยน “หัวขบวน” ครั้งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ความระส่ำระสายยังลุกลามไปสู่ระดับบนของสังคมไทย ที่มีสถานะอยู่เหนืออำนาจทั่วไปและแตะต้องไม่ได้
เพราะอย่าลืมว่า การทำลายล้างทักษิณและสหาย ในรอบที่ผ่านมานั้น ฝ่ายตรงข้ามต้องทุ่มเททั้งทรัพยากรบุคคล ทั้งสินทรัพย์ และ Capital ที่ครอบครองอยู่ทั้งมวล เพื่อ “ล้ม” ทักษิณและสหายลงให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องสูญเสียมากเช่นกัน
Michael E. Porter แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับการ Observe พฤติกรรมการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนกลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลก เคยกล่าวไว้ว่า “ดีกรีความรุนแรงของการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันในแต่ละอุตสาหกรรม จะรุนแรงเข้มข้นหรือไม่เพียงไร มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้เล่นในอุตสาหกรรมนั้นๆ ว่าจะมีมากหรือน้อย แต่มันขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งหรือแข็งแกร่งของผู้เล่นแต่ละรายต่างหาก”
นั่นสามารถอธิบายได้ว่า การแข่งขันทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่คู่แข่งขันมาจากหัวขบวนของพรรคการเมืองใหญ่ที่เข้มแข็งมากพอกัน เพียงสองพรรค ย่อมต้องรุนแรงกว่าการแข่งขันทางการเมืองในประเทศอื่นที่มีพรรคการเมืองจำนวนมาก ทว่าแต่ละพรรคล้วนอ่อนแอ
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่าง “Godfather” กับ “Godfather” หรือ “หัวหน้าเผ่า” กับ “หัวหน้าเผ่า” ในระดับ “พญาช้างสาร” นั้น แม้จะมีเพียงสองค่ายสองฝักฝ่าย ย่อมเข้มข้นรุนแรง มิเพียงหญ้าแพรกเท่านั้นที่ต้องแหลกลาญ หากแต่ตัวหัวขบวนเองก็ต้องบอบช้ำเช่นกัน แม้จะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะก็ตามที
ฉันใดก็ฉันนั้น การทำลายล้างทักษิณซึ่งมีเครือข่ายอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เปรียบเสมือนหัวหน้าเผ่าผู้เข้มแข็งหรือเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล จึงจำเป็นต้องอาศัยพลังและทรัพยากรที่เข้มแข็งปานกัน
ไม่แปลกที่ลำพังฝ่ายทหารเพียงฝ่ายเดียวจะไม่เพียงพอต่อการล้มทักษิณ (แม้ในอดีต ฝ่ายทหารเพียงฝ่ายเดียวย่อมเพียงพอต่อการจัดระเบียบอำนาจใหม่ในสังคมไทยเสมอมา) ยังต้องอาศัยฝ่ายตุลาการ และฝ่ายมวลชนเสื้อเหลือง ตลอดจนนักคิด นักวางแผน วางกลยุทธ์ระดับปัญญาชนจำนวนมาก ด้วยอีกโสตหนึ่ง
แม้กระทั่งสถาบันระดับสูงอย่างองคมนตรีและบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะของราษฎร ยังต้องลงมาแสดง Moral Support กับฝ่ายต่อต้านทักษิณอย่างออกหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการตีความเป็นอื่น
ครั้งนี้ นับเป็นการ Deploy “ทุน” หรือ Capital ที่สำคัญที่สุดขององค์กรระดับสูงในรอบหลายสิบปี นั่นคือสิ่งที่ผมขอเรียกไปพลางก่อนที่จะหาคำซึ่งเหมาะสมกว่าได้ว่า “Nobleness” อันกินความหมายกว้างขวางลึกซึ้งถึง ชื่อเสียง เกียรติคุณ บุญบารมี ความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ และสถานะอันสูงส่ง โรแมนติก Surreal และเหนือชั้น ที่ประชาชนทั่วไปยอม “ลงให้” โดยไม่จำเป็นต้อง “ถาม” และ “เถียง” ให้มากความ
แม้จะกำราบทักษิณและสหายลงได้ ทว่า ดีกรีของความเสียหายก็มากด้วย ลึกๆ ลงไปในใจแล้ว อาจไม่มีราษฎรไทยคนไหนเลยที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในปัจจุบัน สามารถสงบใจลงได้ เพราะสถาบันระดับสูงของเรา ที่เคยเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้คนไทยได้เกิดความสงบใจตลอดมาในอดีต กำลังเผชิญกับความเสี่ยงในระดับที่น่าตกใจและไม่เคยพบเห็นมาก่อนในช่วงชีวิตของพวกเราเอง
ยิ่งมองไปในอนาคตอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าแล้ว ก็ยิ่งให้เห็นว่า “ความเสี่ยง” ดังกล่าวอาจกลายเป็น “ภัยคุกคาม” สำคัญต่อความสงบ มั่นคง และมั่งคั่ง ของสังคมไทยได้ ถึงตอนนั้น ประธานองคมนตรีคนปัจจุบันผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสถาบันระดับสูงก็จะมีอายุ 99 ปี ยังจะมีพลังในการรับมือกับฝ่ายต่อต้านหรือไม่เพียงใด อีกทั้งกองทัพและแม่ทัพนายกองก็เป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐบาล (พวกเขาสามารถเลือกว่าจะเชื่อฟังนายกรัฐมนตรี “คนนี้” แต่ไม่เชื่อ “คนนั้น” ได้) ซึ่งเป็นแต่เพียงคณะผู้นำหน้าฉากอย่างเป็นทางการ ที่ลึกๆ แล้วก็ไม่ได้มีอำนาจแบบถึงที่สุด แต่อย่างใด
สภาวการณ์แบบนี้แหละ ที่ทำให้เกิด “สุญญากาศ” ขึ้นในแวดวงอำนาจของสังคมไทย ชนชั้นนำและกลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่ม กำลัง “ดีดลูกคิดรางแก้ว” ซุ่มออกแบบโครงสร้างอำนาจใหม่ สร้างเครือข่าย ขุมกำลัง ระดมทุน และวางแผนช่วงชิงอำนาจ สร้างตัวเองขึ้นมาเป็น “หัวขบวนใหม่” อย่างเงียบๆ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกวงการ แม้แต่มาเฟียก้นซอย ก็กำลังคิดโค่นนักเลงโตเดิม เพื่อเบียดขึ้นมาเป็นผู้จัดหัวคิว และเก็บค่าคุ้มครองผลประโยชน์คนใหม่ ในซอกซอยของตน
สนธิ ลิ้มทองกุลและสหาย ก็คิดออกมาดังๆ แล้วว่า นี่เป็นสาเหตุที่ตนถูกลอบสังหารด้วยเช่นกัน
ธรรมชาติของอำนาจย่อมเป็นเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรมา ผู้นำที่มีสติปัญญา กล้าหาญ มีแต้มคู รู้จักจังหวะจะโคน และ Practical มักเข้ามาแทนที่อำนาจเดิมซึ่งอ่อนแอลงเพราะห้ำหั่นกันเอง เสมอมา
อย่างคราวปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น Napoleon Bonaparte ก็สามารถสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิและสร้างราชวงศ์ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชน ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงนายทหารบ้านนอกคนหนึ่ง
Napoleon ได้สร้างชนชั้นผู้นำ (Elite) ของตนเองขึ้นมาใหม่เพื่อปกครองจักรวรรดิฝรั่งเศส เนื่องเพราะชนชั้นนำเดิมต้องสังเวยชีวิตในการต่อสู้กันเองในสงครามกลางเมือง ทั้งฝ่ายกษัตริย์และฝ่ายสาธารณรัฐ
บทเรียนชีวิตของ Napoleon ได้รับการศึกษาวิจัยกันมากอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน และผมก็เชื่อว่าชนชั้นผู้นำไทยหรือผู้ที่อยู่ในแวดวงอำนาจขณะนี้หลายคนก็เคยศึกษาชีวิตของ Napoleon กันมาแล้ว
อันที่จริง การช่วงชิงอำนาจในสังคมมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติ ตราบใดที่กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ มีกฎเกณฑ์ กติกา และมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตราบนั้น สังคมมนุษย์ก็จะมีความมั่นคงและการเปลี่ยนแปลงผู้นำก็จะเป็นไปอย่างสันติ กระบวนการสร้างความมั่งคั่งของสังคมเกิดความต่อเนื่อง ไม่สะดุจหยุดลง เพราะการปฏิวัติ รัฐประหาร หรือใช้กำลังบังคับ
กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ ในสังคมประชาธิปไตย ย่อมมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเอง และไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ ที่ลึกลับ ซับซ้อน เหลือความสามารถของผู้คนในสังคมไทย
ทำไม เราไม่ช่วยกันผลักดันให้เกิด “กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจที่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์” แทนที่จะมัวเถียงกันเรื่องอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย กันแบบที่เป็นอยู่
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
22 เมษายน 2552
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนเมษายน 2522
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)