วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อีสาน...โลด



อีสานเป็นแผ่นดินกันดาร พระเจ้าให้มาน้อย

ความอุดมสมบูรณ์ของอีสานนั้นด้อยกว่าภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้

พูดแบบนักเศรษฐกิจการค้า ก็ต้องบอกว่าอีสานมี Endowment น้อยกว่าภาคอื่น ดังนั้น เพียงแค่จะดำรงชีวิตให้ดี อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีตามสมควร คนอีสานก็จำต้องออกแรงและใช้ปัญญามากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว

ยิ่งถ้าจะสร้างและสะสมความมั่งคั่งในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องแสวงหา Competitive Advantage อย่างยิ่งยวด และต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นเขา

คนอีสานส่วนใหญ่จึงเป็นคนสู้งาน หนักเอาเบาสู้ และมีความคิดสร้างสรรค์สูง

แผ่นดินอีสานเป็นที่ราบสูงและมีเทือกเขาเพชรบูรณ์กับดงพญาไฟขวางกั้นอยู่ ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่านขึ้นมาทางอ่าวไทย และถึงแม้ดินแดนแถบชายฝั่งโขงจะได้รับประโยชน์จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านลงมาจากอ่าวตังเกี๋ย แต่ก็ได้อยู่เพียงแถบนั้น ทำให้แผ่นดินใจกลางอีสานซึ่งเป็นดินแดนส่วนใหญ่แห้งแล้ง

ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซึ้ามีแต่ทราย" สุรชัย จันทิมาธร แห่งวงดนตรี คาราวาน ได้เคยนำเอาบทกวีของ นายผี หรืออัศนี พลจันทร มาร้องไว้เป็นเพลงอย่างเห็นภาพความแห้งแล้งและความอัตคัต (บาทต่อมาของสุรชัยคือ "น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่งโลมลงดิน" แต่ในต้นฉบับเดิมของนายผีเป็น “น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม” ซึ่งได้ตอกย้ำภาพแห่งความแห้งแล้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น)

ดินทราย ดินเค็ม และดินดาน มีอยู่เป็นบริเวณกว้างในภาคอีสาน

บางจังหวัด เพาะปลูกยากถึงขนาดที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาจากนครราชสีมา เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่า "ทันทีที่เอาจอบฟันลงไป เราจะได้ยินเสียงดัง เช้ง! และเกิดประกายไฟแลบขึ้นมาจากดิน" เลยทีเดียว

ทุนที่ธรรมชาติให้มาน้อยดังว่านี้ ส่งผลให้คนอีสานจนกว่าคนภาคอื่น

รายได้ต่อหัวของคนอีสานน้อยกว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยกว่าเกือบสี่เท่า และน้อยกว่ารายได้ต่อหัวของคนกรุงเทพฯ เกือบสิบเท่า (อีสาน = 48,549 บาทต่อคนต่อปี กรุงเทพและปริมณฑล = 422,141 และรายได้เฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศ = 164,512)

แต่โลกสันนิวาสย่อมมีพลวัตของมัน

ความแน่นอนจึงไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนย่อมแน่นอนเสมอ

การเปลี่ยนแปลงในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียปัจจุบันกำลังเกิดเป็นคุณกับอีสานของเรา

การขึ้นมาแบบพรวดพราดของจีน ประกอบกับการเติบโตของชนชั้นกลางในอินโดจีน ทั้งเขมร ลาว เวียดนาม ล้วนส่งผลดีต่ออีสาน

อีสานจึงกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เพราะจะเป็นประตูเปิดไปสู่อินโดจีนและจีนตอนใต้

ยิ่งสำหรับกลุ่มประเทศ CLMV ด้วยแล้ว อีสานมีพรมแดนร่วมอยู่ถึงสองประเทศคือกัมพูชาและลาว และอีกหนึ่งคือเวียดนามนั้นก็ห่างออกไปเพียงสองร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง

โดยเฉพาะกับลาว ซึ่งคั่นระหว่างไทยกับจีนตอนใต้อยู่เพียง 250 กิโลเมตรเท่านั้น ก็พูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันรู้เรื่องโดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสให้ซับซ้อนและเหินห่างเกินกว่าจะไว้วางใจกันได้โดยง่าย

ดังนั้น เมื่อภูมิภาคเอเชียอาคเนย์รวมตัวกันเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจร่วมหรือ AEC ที่ (หวังว่า) การไปมาหาสู่กันเองของผู้คนและสินค้าในแถบนี้จะเป็นไปอย่างอิสระ คล่องตัว และบ่อยครั้งกว่าเดิม อีสานย่อมจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะมีขีดขั้นพัฒนาการที่เหนือกว่าเพื่อนบ้าน มีสินค้าและบริการที่ครบครันกว่า ย่อมเยาว์กว่า และทรงประสิทธิภาพกว่า อีกทั้งยังมีความรู้ในการผลิต (หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เทคโนโลยี") และแหล่งเงินทุน ตลอดจนผู้ประกอบการที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ พร้อมที่จะลงทุนเอาประโยชน์จากโอกาสที่เปิดขึ้นใหม่นั้นได้ง่าย สะดวก และเร็วกว่านักลงทุนที่มาจากภาคอื่นหรือมาจากต่างประเทศ

เรื่องราวของอีสานจึงมีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ของความสำเร็จ ล้มเหลว ความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมซึ่งมีต่อกระบวนการสร้างความมั่งคั่งของคนที่นั่น ตลอดจนกลยุทธ์และวิธีการปรับตัวเมื่อโลกาสันนิวาสเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งศักยภาพอันมหาศาลที่จะสามารถได้รับประโยชน์จากอนาคตที่เราเริ่มเห็นตัวตนอยู่แค่เอื้อมและกำลังจะเผยตัวออกมาอย่างหมดจดต่อหน้าต่อตาเราในอีกไม่ช้า

ดร.พิชิต ภัทรวิมลพร ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นผู้หนึ่งที่รู้เรื่องอีสานแบบทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังแม่นยำในพื้นฐานความรู้และสถิติภาพรวม

ดร.พิชิตได้ช่วยบรรยายที่มาที่ไปและพัฒนาการของอีสาน เสมือนหนึ่งได้ช่วยฉายภาพให้เราเห็นถึงการคลี่คลายขยายตัวและการปรับตัวของอีสานสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ รวมถึงจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีหากินของคนเก่ง และช่วยชี้ให้เห็นโอกาส อุปสรรค และศักยภาพในอนาคต ซึ่งรวมถึงการเตรียมความพร้อมที่จะเอาประโยชน์จาก AEC ด้วย

และแน่นอน กิจกรรมทางการเงินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย

การเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอีสาน ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศ ถ้าดูผลผลิตของพืชหลักๆ อย่างข้าว มันสัมปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และยางพารา รวมๆ แบบคร่าวๆ แล้วก็ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ" เขากล่าว 

และเสริมอีกว่าช่วงหลังมานี้โครงสร้างการเกษตรของอีสานเริ่มเปลี่ยนไป เพราะมีการหันมาเน้นปลูกยางพารา ปาล์ม และอ้อย มากยิ่งขึ้น เพราะผลตอบแทนสูงกว่าพืชหลักเดิม แต่ด้วยความที่รัฐบาลยัง Subsidize การเกษตรแบบเก่า (หมายถึงข้าว ขาวโพด) และความเคยชินกับการ "อยู่ไร่อยู่นา" ที่ถือเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวอีสาน ทำให้การปรับตัวไปสู่โครงสร้างการเกษตรแบบใหม่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงยังไงก็คงหนีไม่พ้น

การขึ้นมาอย่างพรวดพราดของจีนมีส่วนอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของอีสาน จะเรียกว่าจีนช่วย "หิ้ว" อีสานขึ้นมาในรอบเกือบสิบปีหลังมานี้ ก็ว่าได้

ดีมานด์ที่เติบโตมากของอุตสาหกรรมรถยนต์และการบริโภคน้ำตาลและแป้งมันอีกทั้งความต้องการพลังงานทดแทน (เอทานอล) ส่งผลโดยตรงต่อยางพารา ปาล์ม และอ้อย

นอกจากนั้น คนอีสานก็เริ่มหันมาปรับปรุงคุณภาพการเลี้ยงสัตว์ ทั้งไก่เนื้อ โคเนื้อ และหมู ซึ่งผู้ประกอบการที่เก่งบางรายอย่าง "โคขุนโพนยางคำ" ก็ทดลองจนเห็นผลดี โดยสามารถทำราคาตลาดเนื้อวัวตัวเองได้แพงกว่าเกือบสองเท่าของเนื้อวัวทั่วไป ด้วยการมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ และวิธีเลี้ยง และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับของบรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และในหมู่ผู้บริโภค

หรืออย่างการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสโดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่ชอบดินทรายจนกลายเป็นขายตลาดบนที่โด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งยังมีการทดลองปลูกทุเรียนศรีสะเกษที่ย้ายมาจากนนทบุรีและสามารถสร้างชื่อจนขายได้ลูกละหมึ่นกว่าบาทเป็นต้น

จีนเห็นความสำคัญของอีสานมากถึงขั้นที่รัฐบาลของเขาเข้ามาเหมาซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในขอนแก่นเพื่อเปิดเป็นที่ทำการกงศุล แสดงถึงการเข้ามาปักหลักดูแลคนและผลประโยชน์ของจีนที่ลงทุนไปแล้วในอีสาน และที่กำลังจะลงทุนเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต ทั้งที่นิคมอุตสาหกรรมสองแห่ง (อุดรและขอนแก่น) และศูนย์พักและกระจายสินค้าที่อาจจะเกิดขึ้นตามแนวรถไฟความเร็วสูงซึ่งจะลากผ่านอีสานเข้าลาวและต่อเข้าไปยังบ้านเขา

นี่ยังไม่นับหน่วยจัดซื้อพืชผักผลไม้ อาหาร และวัตถุดิบ ที่จำเป็นจากอีสาน ซึ่งจีนมักใช้สไตล์ "เหมาซื้อล่วงหน้า" คล้ายๆ กับการตกเขียวสมัยก่อน

ทว่า อุปสรรคสำคัญของอีสานคือการขนส่ง เพราะการขนส่งทางน้ำมีจำกัด (ไม่เหมือนภาคเหนือ) และโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางบกยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้ต้นทุนขนส่งสูง จึงไม่สามารถดึงดูดอุตสาหกรรมเข้ามาสู่อีสานได้

สิบกว่าปีมานี้ หลังจากพรรคไทยรักไทยและพรรคอนุพันธ์ของพรรคนั้นเข้ามาบริหารประเทศ ส..อีสานก็สามารถต่อรองงบประมาณได้มากขึ้น ถนนหนทาง สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ขยายตัวขึ้นแยะ ช่วยให้ภาคเอกชนสามารถต่อยอดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างซึ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์อันลงตัวคือกรณีของเชียงคาน ที่สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่อันเก๋ไก๋ได้ (คล้ายๆ กับปายของแม่ฮ่องสอน) โดยความร่วมมือของสายการบินและสภาอุตสาหกรรมของเมืองเลย ซึ่งนำร่องด้วยการรับประกันที่นั่งขั้นต่ำให้กับเที่ยวบิน ว่าหากมีผู้โดยสารน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกันไว้ ทางสภาอุตสาหกรรม (ซึ่งสมาชิกผู้ก่อการยอมควักเงินลงขันกันเองคนละ 1 ล้านบาท) จะชดเชยให้

นับเป็นก้าวแรกที่ทำให้สายการบินกล้าเปิดเที่ยวบิน ประกอบกับการโหมโปรโมท พร้อมกับพัฒนาจุดท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จนประสบความสำเร็จด้วยดีในเวลาต่อมา

ถือเป็น Case Study ที่น่ายกย่องและเป็นไอเดียที่น่าขโมยสำหรับเมืองอื่นที่ใกล้สนามบินซึ่งมีอยู่ทั่วไปแล้วในภาคอีสาน ซึ่งตอนนี้ขอนแก่นกับหลวงพระบางก็นำเอาโมเดลนี้ไปทดลองใช้

เมื่อมองในแง่นี้ เราจึงเห็นได้ไม่ยากว่าโครงการรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูงนับเป็นความหวังของอีสาน เพราะมันจะช่วยพลิกจุดอ่อนในเชิง Logistic ของอีสานให้กลายเป็นจุดแข็ง

แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะล้มไปแล้วและโครงการ 2 ล้านล้านก็ทำท่าว่าจะเป็นหมันตามไปด้วย แต่หากไม่ได้ลงทุนในโครงการรถไฟก็นับว่าน่าเสียดายยิ่งนัก

ผมว่าในที่สุดโครงการแบบนี้จะต้องมา แต่อาจจะเปลี่ยนชื่อไป เปลี่ยนวิธี Financing ใหม่ และผมอยากจะฝากไอเดียไปด้วย ซึ่งผมได้คุยกับกงศุลจีน เขาว่าวิธีที่จีนใช้วิธีร่วมลงทุนกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น เพราะตามมณฑลต่างๆ เขาก็พอมีรายได้อยู่ โดยถ้ารัฐบาลท้องถิ่นเห็นว่าสายนี้ๆ สำคัญควรสร้าง ก็จะเสนอขึ้นไปให้รัฐบาลกลางพิจารณา 

ถ้ารัฐบาลศึกษาแล้วเห็นว่าจริง รัฐบาลกลางก็สมทบเงินเพิ่มให้ เช่น 20:80 หรือ 30:70 หรืออาจจะมากกว่านั้นแล้วแต่ความจำเป็น แต่ถ้าเป็นสายที่รัฐบาลกลางต้องการให้เกิดและรัฐบาลท้องถิ่งได้ประโยชน์ด้วย รัฐบาลกลางก็อาจจะลงให้มากหน่อย โครงการรถไฟความเร็วสูงของเขาจึงเกิดง่ายและเร็ว เพราะวงเงินมันอาจไม่ใหญ่มากจนคนทั้งประเทศตกใจ" เขากล่าวถึงวิธีการ Financing โครงการรถไฟความเร็วสูงของจีนที่มีลักษณะคล้ายกับ "กฐินสามัคคี"

หากเจาะลึกลงไปสักนิด เราจะเห็นว่าคนอีสานเป็นคนเก่ง แม้รายได้ต่อหัวจะต่ำกว่าทั่วไปกว่าเกือบ 4 เท่า ทว่าพวกเขาก็มีวิธีหารายได้เสริมจากทางอื่น เพราะถ้าดูจากรายได้ครัวเรือนแล้ว ครอบครัวของคนอีสานก็หาได้น้อยไปกว่าภาคอื่นสักเท่าใดไม่

รายได้เหล่านี้มาจากเงินช่วยเหลือที่ลูกหลานส่งกลับมาให้จากการออกไปทำงานที่อื่น และรายได้จากภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ และที่สำคัญคือรายได้สนับสนุนจากรัฐบาล

อย่าลืมว่าอีสานมีจำนวนประชากรมาก ทำให้มีโควต้า ส.. มากไปด้วย จึงมีอำนาจต่อรองกับทุกรัฐบาล ทำให้งบประมาณที่จัดมาลงในภาคอีสานค่อนข้างมาก คิดเป็นเกือบ 25% ของ GDP ภาคอีสาน

เงินปันผลจากทุกรัฐบาลนับเป็นดาบสองคม เพราะทำให้คนอีสานชอบก่อหนี้โดยไม่ระวัง (หนี้สินครัวเรือนของคนอีสานสูงกว่าภาคอื่นทั้งหมด) จนบางทีก็ติดเป็นนิสัย โดยเกิดความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาอุ้มชูหรือแก้ไขให้ในที่สุด เพราะบางทีรัฐบาลก็ยกหนี้ให้ (นโยบายยกหนี้ให้เกษตรกร) หรือสนับสนุนให้กู้เงินตามอาชีพ (สินเชื่อครู เป็นต้น

ประกอบกับนโยบายรถคันแรก นโยบายจำนำข้าว ฯลฯ ทำให้เกิดเป็นปัญหา Moral Hazard แบบหนึ่ง เหมือนกับการกด ATM ในอนาคตมาใช้ก่อน หรือรูดบัตรเครดิตมาใช้ก่อนและเจ้าหนี้ก็ใจดียกหนี้ให้ จึงทำให้ติดใจ กลับไปกดและรูดเรื่อยๆ โดยไม่ระมัดระวังการใช้จ่าย

ปัญหานี้เป็นที่น่าจับตา เพราะถ้าพฤติกรรมแบบนี้ยังไม่เปลี่ยน มันจะทำให้ขาดเงินออม ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุน และการยืนบนขาตัวเองไม่ได้ในที่สุด"

นอกจากนั้นยังมีสถาบันเงินฝากของรัฐอย่างออมสินและ ธ... ที่เข้ามาสนับสนุนเงินกู้อย่างมีนัยยะสำคัญอีกด้วย (4 ปีหลังนี้สถาบันการเงินประเภทนี้โตถึง 40%) เพราะธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับภาคอีสานเพียง 800,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ GDP ของอีสานล่าสุดนั้นมีมูลค่าถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท

นั่นพอจะบอกได้ว่าอีสานพึ่งพิงรัฐบาลกลางและนักการเมืองมากเพียงใด!

แต่เมื่อหันมามองผู้ประกอบการ "คนเก่ง" ของอีสาน เรากลับมีความหวัง และเห็นได้ชัดเจนจากข้อมูลทางการเงินว่าพวกเขาทำได้ค่อนข้างดี

ข้อมูลล่าสุดเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา จะเห็นว่าสินเชื่อรายใหญ่ (ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป) ปล่อยไปให้กับผู้ประกอบการประมาณ 4-5 พันราย รวมเป็นยอดสินเชื่อ 250,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของยอดสินเชื่อรวมที่ได้จากธนาคารพาณิชย์ โดยยอดปล่อยกู้สูงสุดต่อรายสูงถึง 1,200 ล้านบาทก็มี และสินเชื่อหมวดนี้โต 24.5% ต่อปี และ NPL ลดลงเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือเพียง 2% เท่านั้นเอง

พวกหัวขบวนเหล่านี้เป็นใคร?

คำตอบคือเกือบทั้งหมดเป็น Family Business ทำธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก (ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้าง) ตัวแทนจัดจำหน่ายรถยนต์ ต่อรถพ่วง โรงงานแป้งมัน น้ำตาล โรงแรมและบูติกอพาร์ตเม้นต์ อาหาร อสังหาริมทรัพย์ และโรงสีบางแห่ง

ผู้บริหารกิจการเหล่านี้บางรายเป็นคนรุ่นที่สองที่สามและได้รับการศึกษาสมัยใหม่ จึงเริ่มผลักดันกิจการของตนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มช่องทางในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ เช่น ช.ทวีดอลลาเชียน และสยามโกลบอลเฮ้าส์ เป็นต้น

ในอนาคต เราน่าจะได้เห็นผู้ประกอบการเปี่ยมศักยภาพเหล่านี้ปรากฏตัวบนเวทีธุรกิจระดับชาติมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งหมดมักกระจุกตัวอยู่แค่เพียงในเขต 4 จังหวัดสำคัญที่มีความมั่นคงมาแต่เก่าก่อน คือ โคราช (ประตูสู่อีสาน) อุบลราชธานี (พืชผลเกษตร) อุดรธานี (ฐานทัพอเมริกันเก่า) ขอนแก่น (มหาวิทยาลัยและศูนย์ราชการ) และมุกดาหาร/นครพนม ซึ่งเริ่มเติบโตขึ้นมาในระยะหลังในฐานะประตูสู่ CLV (กัมพูชา ลาว และเวียดนาม) รวมทั้งเขตที่มีการกระจายตัวของเมือง (Urbanization) รอบๆ ศูนย์กลางทั้ง 5 นั้น

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาเสริมโดยผ่านสถาบันการเงินพิเศษอย่างธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ทว่าความขาดแคลน บางทีก็เป็นที่มาของความคิดสร้างสรรค์

คนมีฐานะบางคนเห็นโอกาสนี้ ก็ผันตัวเองมาเป็นผู้ให้กู้นอกระบบ ยกตัวอย่างเช่นรายหนึ่งที่จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถขยายตัวเปิดสาขาไปถึง 5 จังหวัดและมีวงเงินปล่อยกู้กว่าพันล้านบาท โดยมีการระดมทุนมาจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้างหรือเป็นคนมีฐานะบ้าง"

น่ันเป็นตัวอย่างของ Merchant Bank สไตล์อีสานๆ

น่ายินดีตรงที่โลกสันนิวาสในเชิง Geopolitics ของเอเชียกำลังส่งผลบวกต่ออีสาน การเติบโตของลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ส่งผลให้เมืองใหม่ๆ ในอีสานเติบโตไล่กวดเมืองศูนย์กลางเดิม

Star เหล่านี้ได้แก่มุกดาหาร นครพนม หนองคาย เลย และสกลนคร

และเมื่อการรวมตัวของภูมิภาค AEC เกิดเป็นมรรคผลเต็มที่ในอนาคต โอกาสที่จำนวนจุดผ่านแดนจะมากขึ้นและสะดวกขึ้นก็ย่อมต้องมีแน่ เมื่อนั้นการค้าและการลงทุนจากไทยผ่านอีสานเข้าไปในลาว กัมพูชา และเวียดนาม คงจะเป็นมรรคเป็นผลและให้ประโยชน์กับเราอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ต่อประเด็นนี้ ดร.พิชิต ได้ให้ไอเดียที่น่าสนใจมากว่า ถ้าเรารู้จักเก็บบทเรียนจากอดีตในยุคสงครามเย็น ที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เคยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นความลับจากฝรั่ง (กระทั่งปากีสถานที่สามารถผลิตปรมาณูได้) ก็เพื่อให้เป็นกันชนของค่ายโลกเสรีเพื่อไปต่อกรหรือคานอำนาจกับโลกคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้

นับเป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) รูปแบบหนึ่ง

ทว่านับแต่นี้ไป เราทราบค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าดินแดนแถบนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ "ชิงดำ" ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น (โดยมีฝรั่งกับจีนซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย)

ดังนั้น "ถ้าเราเล่นเป็น" โดยการสร้างอิทธิพลในแถบนี้แล้วต่อรองกับเจ้าของเทคโนโลยี เราอาจได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จะทำให้การผลิตของเราก้าวหน้าขึ้นและผลกำไร (Profit Margin) สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน

แทนที่จะกินเศษเนื้อก้อนเล็กๆ แบบในปัจจุบัน"

ทั้งหมดทั้งมวลนั้น อีสานย่อมเป็นสปริงบอร์ดชั้นดี

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ม.ค. 57
หมายเหตุ: รูปประกอบจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=73446&page=2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น