คิดจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้รุดหน้ากว่าที่เป็นอยู่
แต่ด้วยเหตุที่มีเงินลงทุนน้อย
จำนวนประชากรน้อย
จะขยับไปทางไหนก็ลำบาก
พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงได้มีมติให้ก่อตั้ง
“ตลาดหลักทรัพย์ลาว
(Lao
Securities Exchange : LSX)”
ขึ้น
เพราะเห็นความจำเป็นในการมีตลาดทุนเพื่อระดมเงินลงทุนในระยะยาว
ตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
5
ปี
(2006-2010)
ครั้งที่
6
ในปี
2009
มีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนเกิดขึ้น
ระหว่างธนาคารแห่ง สปป.
ลาว
ถือหุ้น 51
เปอร์เซ็นต์
และให้ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้
เข้ามาถือหุ้น 49
เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากเกาหลีใต้สนใจจะให้ความช่วยเหลือ
โดยเข้ามามีบทบาทด้านการลงทุน
การดูแลระบบซื้อขายและไอที
เพื่อนบ้านอย่างไทยก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์
แต่ในช่วงวางรากฐาน
ตลาดหลักทรัพย์ลาวบริหารงานโดยคน
3-4
กลุ่ม
แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
ศูนย์กลางพรรคฯ จึงเสนอให้
รศ.ดร.เดดพูวัง
มูลรัตน์
ซึ่งกำลังดำรงตำแหน่ง
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่ง
สปป.
ลาว
เข้ามาเป็น
ประธานกรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์ลาว
รศ.ดร.เดดพูวังเห็นบทเรียนจากการบริหารงานที่ผ่านมาจึงตั้งเงื่อนไข 2 ข้อ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ข้อแรก ตลาดหลักทรัพย์ลาว “ต้องเป็นเอกราช” หมายถึง ต้องมีอิสระในการคิดริเริ่มและในการดำเนินงาน และข้อสอง “ต้องให้ Facilities” เพราะปรารถนาให้ตลาดหลักทรัพย์ลาวเป็นอิสระจากทุกภาคส่วนเพื่อให้บริหารงานได้สะดวกขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลลาวเห็นชอบ รศ.ดร.เดดพูวังจึงเดินเครื่องเต็มที่ กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ลาวได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2553 (10-10-10) และเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นได้จริงตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2554 (11-01-11)
รศ.ดร.เดดพูวังเห็นบทเรียนจากการบริหารงานที่ผ่านมาจึงตั้งเงื่อนไข 2 ข้อ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ข้อแรก ตลาดหลักทรัพย์ลาว “ต้องเป็นเอกราช” หมายถึง ต้องมีอิสระในการคิดริเริ่มและในการดำเนินงาน และข้อสอง “ต้องให้ Facilities” เพราะปรารถนาให้ตลาดหลักทรัพย์ลาวเป็นอิสระจากทุกภาคส่วนเพื่อให้บริหารงานได้สะดวกขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลลาวเห็นชอบ รศ.ดร.เดดพูวังจึงเดินเครื่องเต็มที่ กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ลาวได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2553 (10-10-10) และเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นได้จริงตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2554 (11-01-11)
ท่านเดชพูวังทำงานด้านบัญชีมาโดยตลอด
และเคยเป็นผู้วางระบบบัญชีให้กับลาวมาก่อน
จึงมีความเข้าใจเรื่องบัญชีอย่างลึกซึ้ง
ทั้งในระบบบัญชีแบบเดิมที่ลาวใช้อยู่และระบบบัญชีที่เป็นสากล
ท่านจึงมีข้อมูลเศรษฐกิจของลาวในระดับจุลภาคอยู่ในมือ
เห็นภาพรวมและศักยภาพของกิจการลาวว่าตรงไหนแข็งตรงไหนมีศักยภาพ
นับเป็นคุณสมบัติที่เหมาะมากกับการบุกเบิกตลาดทุนในระยะแรก
จนถึงวันนี้
ตลาดหลักทรัพย์ลาวมีบริษัทจดทะเบียนแล้ว
2
บริษัท
ได้แก่ บริษัท
ผลิตไฟฟ้าลาว มหาชน (EDL-Gen)
และ
ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว
มหาชน (BCEL)
และมีบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก
(Brokerage
Firm) แล้ว
4
บริษัท
ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ล้านช้างมหาชน (Lanexang
Securities Public Company : LXS) บริษัทหลักทรัพย์ บีซีอีเอล-เคที จำกัด (BCEL-KT
Securities Company Limited) บริษัทหลักทรัพย์ลาว-ไชน่า
(Lao-China
Securities Company)
และบริษัทหลักทรัพย์
เอพีเอ็ม ลาว จำกัด (Asset
Pro Management (Lao) Securities Co., Ltd) ซึ่งเป็นของสมภพ
ศักดิ์พันธ์พนม นักการเงินฝั่งไทย
ถ้าเทียบกับจำนวนหลักทรัพย์ในตลาดไทยซึ่งมีหลายร้อยบริษัทแล้ว
ที่กว่าจะเติบโตมาถึงวันนี้ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี
ลาวก็คงรู้ว่ายังต้องอาศัยเวลาอีกพักใหญ่กว่าอะไรๆ
จะ Take-Off
ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งนอกจากจำนวนหลักทรัพย์และสภาพคล่องการซื้อขายต่อวันแล้ว
ปัจจุบันการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติ
(Foreign
Limit)
ซึ่งลาวกำหนดไว้ว่าให้ได้ไม่เกิน
10
เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้ก็ติดเพดานไปแล้ว
ทำให้ไม่สามารถดึงเงินเข้ามาในระบบเทรดเพิ่ม
แต่มองอีกแง่หนึ่งก็แสดงว่านักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าถือหุ้นของกิจการทั้งสอง
ในอนาคต
ตลาดหลักทรัพย์ลาวอาจเปิดช่องโดยให้มีหลักทรัพย์รูปแบบใหม่ที่เป็น
Non-voting
Rights
เพื่อดึงความสนใจและเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนอีกทางหนึ่ง
คือให้ชาวต่างชาติซื้อขายหุ้นหรือกองทุน
ฯลฯ ที่ตั้งขึ้นใหม่
โดยนักลงทุนจะได้รับเงินปันผล
แต่ไม่สามารถโหวตหรือออกเสียงใดๆ
ได้ นับเป็นการแก้ปัญหาที่
Innovative
มาก
หากทำได้สำเร็จ
ขณะที่ช่วงขึ้นลงของราคา
ซึ่งตลาดฯ
กำหนดให้มีความเคลื่อนไหวได้ไม่เกินบวกลบ
5%
จัดว่าน้อยมาก
และในสายตาของนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงอาจหันหลังให้หากไม่ปล่อยให้ราคาหวือหวาได้บ้าง
ต่อประเด็นนี้
ท่านเดดพูวังคาดว่าจะขยายช่วงเพิ่ม
แต่ต้องพิจารณาจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตก่อน
เพราะตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนเพียงแค่
2
บริษัท
ยังน้อยเกินไปที่จะวางแผนให้แน่ชัด
แต่มีสิ่งที่ทำได้คือ
ใช้ยุทธศาสตร์ 2
ข้อในการพัฒนาตลาดทุน
คือ ต้องเพิ่ม “Maximize
Liquidity” หรือเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้น
และต้อง
“Modernize
IT”
พัฒนาด้านไอทีให้ทันสมัย
ถามถึงก้าวต่อจากนี้
รศ.ดร.เดดพูวังแห่งตลาดหลักทรัพย์ลาวบอกเราแบบภาษาลาวปนไทยว่า
“เฮาได้ตั้งวิชั่นไว้ว่า
ตลาดหลักทรัพย์ต้องเป็นหนึ่งที่มีมาตรฐานสากล
ปัจจุบันเฮาค่อยยกระดับไปทีละขั้น
แต่เฮาจะมีสเต็ปเข้า AEC
ก่อน
อย่างน้อยหลังปี 2015
ถึงจะกล้าไปสู่มาตรฐานโลก
โดยเฮาจะเว่าเรื่องกฎหมายก่อน
กฎหมายต้องมีมาตรฐานสากล
นี่เฮาก็ยกดำรัสมาเป็นกฎหมายให้ไปตามเงื่อนไขของสังคมอยู่
เรื่องบริษัทหลักทรัพย์
จำเป็นต้องเพิ่มบริษัทหลักทรัพย์
เพราะแสดงถึงความยืนยงในระยะยาว
ผมเป็นรองศาสตราจารย์เลยหันกลับคืนมาทำรีเสิร์ช
รีเสิร์ชแล้วทั้งเมิดมี
9,000
หน่วยกิตที่เสียอากร
(9,000
บริษัทที่เสียภาษี)
ยังเหลือ
1,068
หน่วยที่เห็นหว่าพอเป็นการเซอร์เวย์ได้
และพอเซอร์เวย์เข้าไปลึกๆ
มีก็แต่ 30
บริษัท
ถามแท้ๆ ยังบ่ทราบที่สมัครใจ
อยู่ในซาวที่สมัครใจนั้น
เฮาก็ได้ไปค้นพบตัวจริงเวลาที่เขาเสนอมา
เงื่อนไขจริงที่ยากที่ซุดคือ
เรื่องการบัญชี บัญชีก็เว่าเรื่อง
External
& Internal Audit เป็นหัวใจ
อันที่สองเว่าเรื่อง
Good
Governance
(ธรรมาภิบาล)
ของเขายังบ่ค่อยเข้มแข็ง
ต้องออกแฮงสูงสมควร”
ฟังแล้ว
ก็เห็นถึงศักยภาพ
อยู่ที่ว่าจะแต่งตัวได้รวดเร็วทันใจกันได้แค่ไหน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ก.พ. 2557
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ก.พ. 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น