“ลาวเฮานี่มีทั้งหมด
49
ซนเผ่า
และแยกออกไปอีกกว่า 160
ย่อยๆ
แล้วใน 49
ซนเผ่า
เพิ้นได้แบ่งออกเป็น 4
กลุ่มสาย
มีลาว-ไต
มอน-ขแม
ม้ง-เมี่ยน
และ จีน-ทิเบต
ต๋ามข้อต๊กลงของสภาแห่งซาด
เมื่อวันที่สาวสี่ เดือนซิบสอง
ปี๋สองพันแปด"
มัคคุเทศน์หนุ่มน้อยแห่งพิพิธภัณฑ์ไกสอน
พมวิหาน บอกให้พวกเราฟังเป็นเบื้องแรก
ก่อนที่จะนำเราเข้าสู่เรื่องราวการปฏิวัติและการก่อร่างสร้างสาธารณรัฐจนรุ่งโรจน์รุ่งเรือง
ควบคู่ขนานไปกับประวัติและบทบาทอันสูงเด่นของท่านไกสอน
พมวิหาร บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
แทนที่จะขึ้นต้นว่า
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
เฉกเช่นการเล่าเรื่องราวหรือตำนานทั่วไป
ที่ต้องขึ้นต้นแบบนี้ในการเล่า Story ของลาว ก็เพราะบทบาทสำคัญที่สุดอันหนึ่งของท่านไกสอนและพรรคคอมมิวนิสต์หรือที่เรียกว่า "พรรคประชาชนปฏิวัติลาว" (Lao People's Revolutionary Party) ก็คือการสร้างความสามัคคีกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในหมู่ราษฎรลาวซึ่งประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ นั่นเอง
ที่ต้องขึ้นต้นแบบนี้ในการเล่า Story ของลาว ก็เพราะบทบาทสำคัญที่สุดอันหนึ่งของท่านไกสอนและพรรคคอมมิวนิสต์หรือที่เรียกว่า "พรรคประชาชนปฏิวัติลาว" (Lao People's Revolutionary Party) ก็คือการสร้างความสามัคคีกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในหมู่ราษฎรลาวซึ่งประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ นั่นเอง
ก่อนหน้านั้น
ชนเผ่าต่างๆ ในลาวต่างคนต่างอยู่
และไม่ค่อยไว้วางใจซึ่งกันและกัน
มีลักษณะพรรคพวกนิยมและท้องถิ่นนิยมสูง
โดยเฉพาะพวกลาวเทิง และลาวสูง
(ซึ่งมีจำนวนประมาณ23%
และ
9%
ของประชากรลาวตามลำดับ)
ล้วนรู้สึกอยู่ลึกๆ
ว่าพวกลาวลุ่ม (ชนเผ่าไต-ลาว
ซึ่งเป็นคนหมู่มากและมีบทบาทสูงทางการปกครอง)
เอาเปรียบและดูถูกตัว
ยิ่งสมัยที่ฝรั่งเศสปกครองในฐานะเจ้าอาณานิคมด้วยแล้ว
พวกเขาใช้วิธี "แบ่งแยกแล้วปกครอง"
ให้ชนเผ่าต่างๆ
ระแวงและคานอำนาจกันเอง
แถมยังเอาชาวเวียดนามเข้ามากินตำแหน่งสำคัญๆ
ในระบบราชการ และสนับสนุนชาวจีนให้เป็น
Player
สำคัญทางเศรษฐกิจ
นับเป็นการซ้ำเติมปัญหา
แม้ท่านไกสอนจะมีพ่อเป็นคนเวียดนามและพรรคประชาชนปฏิวัติลาวก็เป็น
Derivative
ของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่มีเวียดนามเป็นพี่เอื้อย
อีกทั้งผู้นำคนสำคัญๆ
สมัยก่อตั้งพรรคก็ล้วนเกี่ยวข้องในระดับแนบแน่นกับเวียดมินห์ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นท่านหนูฮัก
พูมสะหวัน
หรือ เจ้าสุพานุวง
ซึ่งล้วนมีภรรยาเป็นชาวเวียดนาม
ทว่า นโยบายของพรรคฯ
ตั้งแต่แรกคือการเป็นศูนย์รวมใจของลาวทุกชนเผ่าและโดยเท่าเทียมกัน
ดังจะเห็นว่าพรรคฯ
มีตัวแทนของชนกลุ่มน้อยเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของกองทัพประชาชนและศูนย์การนำมาตั้งแต่แรก
ทั้ง
สีทน กมมะดำ
และ ไฟด่าง
ลอเบลียเยา
ศูนย์กลางการนำพรรคฯ
ยุคก่อตั้งล้วนเป็นตัวแทนของชนเผ่าลาวเทิงและลาวสูง
(ม้ง)
Martin
Stuart-Fox
นักวิชาการผู้ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ลาวที่สุดในโลก
เคยเขียนไว้ในหนังสือ History
of Laos ว่า
"….สิ่งที่ขบวนการปะเทดลาวทำคือ
การให้โอกาสผู้ปฏิบัติงานที่เป็นชนชาติส่วนน้อยมีบทบาทในเวีการเมืองระดับชาติ
โดยการสนับสนุนการต่อสู้เพื่อการปฏิวัติและเลื่อนตำแหน่งขึ้นสูงทั้งในกองทัพและ/หรือในพรรค
ขบวนการปะเทดลาวให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์การก่อกบฏของเหล่าบรรดาชนกลุ่มน้อยเพื่อนำมาวางโครงสร้างการปฏิวัติชาตินิยมที่รวมลักษณะแบบแผนของการปฏิวัติแบบลัทธิชาตินิยมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน
ทุกคนที่เคยต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของการต่อสู้ผู้ไม่ย่อท้อต่อการปฏิวัติเพื่อปลดปล่อยประเทศลาวจากการตกเป็นเบี้ยล่างและการถูกกดขี่
ทุกคนที่เคยต่อสู้และยังคงต่อสู้กับฝรั่งเศสต่อไปคือชาวลาวผู้รักชาติอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นชนชาติอะไร
พวกเขาจะได้รับการยกย่องและยอมรับหากเคยช่วยทำงานเพื่อการเคลื่อนไหวของขบวนการปะเทดลาว
ข้อพิสูจน์คือทั้งไฟด่างและสีทนได้รับตำแหน่งผู้นำภายในพรรค
ไม่เคยมีครั้งใดที่ชาวลาวเทิงและชาวลาวสูงจะได้รับการยินยอมพร้อมใจให้ดำรงตำแหน่งระดับรัฐมนตรีมาก่อน
ไม่เคยมีครั้งใดที่ความเท่าเทียมกันของชนทุกเผ่าพันธุ์ถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายทางการเมืองระดับชาติ...”
(อ้างจากคำแปลโดยจิราภรณ์
วิญญรัตน์ "ประวัติศาสตร์ลาว"
หน้า
149)
และแนวนโยบายอันนั้นก็ได้สืบทอดมาจนบัดนี้
ปัจจุบัน
(คือระหว่างสมัยที่
9)
ในคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
(Politburo)
ซึ่งเป็นคณะผู้นำสูงสุดของลาว
ก็มีตัวแทนของชนชาติกลุ่มน้อยดังกล่าวร่วมอยู่ด้วย
และยังมีอีกหลายคนที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงเช่นคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรค
(Secretariat
of the Central Executive Committee) กรรมการศูนย์กลางพรรค
(Central
Committee) รัฐมนตรี
รัฐมนตรีช่วย เจ้าแขวง
และตำแหน่งสำคัญในกองทัพ
นั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พรรคปฏิวัติของลาวภายใต้การนำของท่านไกสอนและสหายประสบความสำเร็จในการยึดครองอำนาจรัฐและสถาปนาสาธารณรัฐได้สมความมุ่งหมาย
อย่าลืมว่าปัญหาเชื้อชาตินั้นเป็นปัญหาละเอียดอ่อน
และมักเป็นปัญหาการเมืองที่น่าปวดหัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
ชนชาติต่างๆ
ที่เคยอยู่ร่วมกันภายใต้อำนาจเผด็จการของเจ้าอาณานิคมมาก่อน
เมื่อได้ลิ้มรสของเสรีภาพและต้องปกครองตนเอง
ก็มักจะมีปัญหาแก่งแย่งชิงดีและเหยียดกันไปกันมา
ความต่างในแง่วิถีชีวิต
ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ
และการกระทบกระทั่งเพียงน้อยนิด
อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่
ความเก็บกดอันน่าเกลียดที่เคยมีมาแต่เก่าก่อน
ทว่าไม่เคยสามารถแสดงออกได้
ก็จะเผยตัวออกมาให้เห็นให้สัมผัสกันในตอนนั้น
จนบางทีก็ทำให้เกิดความรุนแรง
และบางกรณีถึงกับเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกก็เคยมีมาแล้ว
ดังที่เราเห็นกันในยุโรปเมื่ออาณาจักรออสโตร-ฮังการีแตกสลายหรืออีกหลายชาติในยุโรปหลังนาซีพ่ายแพ้
หรือพม่าหลังจากญี่ปุ่นวางอาวุธ
หรือยูโกสลาเวียหลังติโตเสียชีวิต
หรือกำลังที่เกิดขึ้นในพม่าและสี่จังหวัดภาคใต้ของไทยขณะนี้
การดำเนินกุศโลบายแบบที่ท่านไกสอนเคยทำมา
คือให้หัวหน้าของชนชาติสำคัญๆ
เข้ามาร่วมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่
และในที่สุดก็ผนวกชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการอันเข้มงวดกวดขันโดย
"เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ"
จนถึงปัจจุบัน
นับว่าเป็นความสำเร็จของท่านไกสอนและสหายที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้
เมื่อมัคคุเทศน์หนุ่มจบการบรรยาย
หลังจากที่พาเราดูจนทั่วพิพิธภัณฑ์และฟังเรื่องราวแห่งความสำเร็จและเอื้ออาทรของท่านไกสอนมาแทบทุกด้านแล้ว MBA
พบว่าท่านไกสอนก็ไม่ต่างจากผู้นำคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็น เลนิน สตาลิน
เหมาเจ๋อตง หรือโฮจิมินห์
ที่เคยมีอิทธิพลต่อความคิดความอ่านและความนับถือของคนในประเทศของตนอย่างล้นเหลือ
(และล้วนมีพิพิธภัณฑ์เป็นของตน)
แต่ก็ถูกเปิดโปงข้อมูลด้านมืดและจุดอ่อนออกมาให้เห็นมากขึ้นๆ
ในโลกยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นเกินอยู่ในขณะนี้
ดีกรีของความนับถือที่มีต่อท่านไกสอนในหมู่คนลาวปัจจุบันยังล้นเหลือ
ไม่แพ้กับที่คนเวียดนามปัจจุบันมีต่อโฮจิมินห์
แม้เราจะไม่สามารถแน่ใจได้ว่า
ดีกรีอันนั้นมันจะลดน้อยถอยลงไปหรือไม่อย่างไรในอนาคต
เฉกเช่นที่คนจีนปัจจุบันมีต่อเหมาเจ๋อตง
และคนรัสเซียหรือคนในแคว้นอื่นที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้ร่มเงาของสหภาพโซเวียตมีต่อสตาลิน
แต่
MBA
ก็ยังค่อนข้างมั่นใจว่าความสำเร็จในเชิงนี้ของท่านไกสอนย่อมจะไม่ถูกบดบังไปได้อย่างแน่นอน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือน ก.พ. 57
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น