นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน
สมัยสงครามเย็นหรือ Cold
War Era ที่โลกยังแบ่งเป็นสองขั้วระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์
คงจะเกิดโกลาหนเป็นแน่แท้
เมื่อสืบพบว่า KGB
มาเปิดดำเนินการอยู่กลางกรุงนิวยอร์ก
สมัยนั้นสหรัฐฯ
ต่อกรกับสหภาพโซเวียตในทุกเวทีบนผิวโลกใบนี้
ทั้งที่ยุโรป อินโดจีน
เอเชียตะวันออก เอเชียกลาง
ละตินอเมริกา อัฟริกา
ตะวันออกกลาง และแน่นอน
ในบ้านของทั้งสองฝ่ายที่ต้องอาศัยการแทรกซึมใต้ดิน
ใช้จารชนล้วงความลับ ขโมยข้อมูล
ลอบสังหาร จัดตั้งมวลชนเพื่อก่อการจราจล
แถมยังทำสงครามตัวแทน (Proxy
War) ไปทั่วโลก
จุดสุดยอดของการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าโลกทั้งสองคือเหตุการณ์ที่เรียกว่า
"วิกฤติการณ์คิวบา"
ซึ่งสหรัฐฯ
ยืนยันจะใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันกับโซเวียตที่แอบเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์เข้าไปในคิวบา
จนเล่นเอาชาวโลกหวาดหวั่นว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์
แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้
โดยโซเวียตยอมถอนขีปนาวุธกลับ แลกกับข้อตกลงว่าสหรัฐฯ
จะไม่บุกยึดคิวบาพร้อมกับถอนขีปนาวุธของตัวเองออกจากตุรกีด้วย
(แบบลับๆ)
หัวขบวนของสองยักษ์ในตอนนั้นคือ
ครุสชอฟ และ เคนเนดี้
โดยครุสชอฟเน้นนโยบานส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวคอมมิวนิสต์ทั่วโลกลุกขึ้นต่อสู้และหาทางคว่ำรัฐบาลของตนเพื่อเปลี่ยนระบอบปกครองให้เป็นคอมมิวนิสต์
เพื่อคอมมิวนิสต์จะได้ครองโลกในที่สุด
แต่ทว่า
เคนเนดี้ก็ปาวารณาตัวจะต่อต้านความพยายามอันนั้นแบบหัวชนฝา
ดังคำปฏิญาณตนเมื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ของเขาที่ว่า
"เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเสรีภาพ"
(Hour of maximum danger for freedom)
“I
do not shrink from this responsibility.” เขากล่าว
"I welcome
it.” และว่าอเมริกาพร้อมที่จะ
“pay any price,
bear any burden, meet any hardship, support any friend, oppose any
foe, to ensure the survival and the success of liberty.”
การต่อสู้ทั้งใต้ดิน
บนดิน และโดยตรง หรือผ่านสงครามตัวแทน
ในทุกสมรภูมิขณะนั้น
ล้วนมีหน่วยข่าวกรองและตำรวจลับของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวข้องด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญยิ่ง
KGB
คือหน่วยงานด้านความมั่นคงผสมหน่วยข่าวกรองและตำรวจลับของโซเวียต
(Secret Police
คล้ายๆ
กับหน่วย Gestapo
ของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์) ส่วน CIA
เป็นคู่ต่อสู้ในฝั่งสหรัฐฯ
ทั้งคู่ทำงานสกปรกตลอดยุคสงครามเย็น
KGB
ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม
เจ้าเล่ห์ และเลือดเย็น
กวาดล้างได้แม้กระทั่งพรรคพวกของตัวเอง
วิธีการที่พวกนี้ใช้นอกจากการฆ่าแล้ว
ยังมีการทรมานแบบต่างๆ
เพื่อให้รับสารภาพ การล้างสมอง
การวางยาพิษให้ตายอย่างช้าๆ
และถ้าปราณีหน่อยก็เนรเทศไปไซบีเรีย
หรือจับเข้าค่ายกักกันให้ใช้แรงงานหนัก
สมัยที่พวกนี้ยังทรงอิทธิพลอยู่ในยุคสงครามเย็นนั้น
ทุกประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ย่อมมีหน่วยงานเลียนแบบ
KGB อยู่
ไม่ว่าจะเป็นโซเวียต จีน
เยอรมันตะวันออกและประเทศแถบยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมด
เวียดนาม ลาว เขมร เกาหลีเหนือ
และคิวบา
บรรดา
Agent ของ
KGB
ย่อมมีหน้าที่หลักในการกวาดล้าง
สอดส่องดูแล และป้องปราม
การกระอันเป็นการต่อต้านหรือเป็น
"ปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ"
เช่นเดียวกับบรรดาประเทศในค่ายโลกเสรีที่ต้องมีหน่วยงานความมั่นคงหรือสันติบาลที่คอยสอดส่อง
(หรือในบางครั้งก็ทำการกวาดล้าง)
บรรดาผู้ที่พวกเขาคิดว่า
"มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์"
นั่นเอง
นั่นทำให้บรรดานักสังคมนิยมทั้งหลายรวมทั้งผู้อพยพที่มีเชื้อสายรัสเซียหรือชาวแคว้นใดแคว้นหนึ่งซึ่งรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตขณะนั้น
(เช่นยูเครน
ลัตเวีย อาเซอไบจัน จอร์เจีย
อาร์เมเนีย ลิทัวเนีย เป็นต้น)
ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ
ต้องมุดลงใต้ดิน
และเมื่อต้องเจอกันก็จำเป็นต้องหลบๆ
ซ่อนๆ เพราะกลัวความผิด
โดยเฉพาะในช่วงที่
"ลัทธิแมกคาธี"
(McCarthyism) กำลังออกอาละวาด
นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีชาวรัสเซียอพยพอาศัยอยู่มากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวและลูกหลานที่มาจากยูเครน
และเขาเหล่านี้ย่อมเป้าหมายของการแทรกซึมของ
KGB
พวกเขาจึงถูกจับตามองจาก
CIA
และรัฐบาลสหรัฐฯ
เป็นพิเศษในยุคสงครามเย็น
(เช่นเดียวกับชาวเวียดนามอพยพในแถบอีสานของไทยสมัยนั้นที่รัฐบาลไทยเข้มงวดกับพวกเขามากมายและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้าย
(เดี๋ยวนี้รัฐบาลเรียกพวกเขาว่า
"ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม"))
ก่อนจะมาเป็นสถานที่
Hang-out
แบบฮิปๆ
ของชาวนิวยอร์กสมัยนี้ KGB
Bar ก็คือสถานที่รวมพลแบบหลบๆ
ซ่อนๆ ของบรรดานักสังคมนิยมเชื้อสายยูเครนในกาลก่อนนั่นเอง
Denis
Woychuk เจ้าของผู้ก่อตั้ง
บอกเองว่าสมัยนั้นพวกเขาต้องแอบเอาโปสเตอร์
หนังสือ รูปภาพ
หรือสิ่งของที่เกี่ยวโยงกับสหภาพโซเวียตไปเก็บรวมกันในห้องชั้นบนและล็อกไว้อย่างแน่นหนา
“On
Sundays we went to a place called the Ukrainian Labor Home, a social
club for Ukrainian socialists. They had a little building at 85 East
4th Street, an obscure red brick tenement (to call it a townhouse
would be pushing it), with a single large room on the first floor
known as the great hall where they held their banquets, dances, and
parties; and above that, hidden away on the second floor, their own
private speakeasy. There were no posters of the great Soviet
revolution, no photos of the politburo with Breshnev presiding, no
propaganda whatsoever visible anywhere--all that was hidden away in a
double-locked room on the fourth floor because these people had been
subject to McCarthy’s feverish persecutions and they didn’t want
to advertise their political sympathies.”
ฟังแล้วค่อนข้าง
EXOTIC!
ช่วยให้ทานอาหารได้มีรสมีชาดขึ้นอีกเป็นกอง
มันเป็นการตลาดอันชาญฉลาดที่นำเอาเรื่องราวของ
KGB
และสงครามเย็นมาเป็น
Theme
ของบาร์ที่เซริฟอาหารพื้นเมืองและอาหารรัสเซียประยุกต์
ปลาเทราต์จากทะเลบอลติก
(หรือจะเลือกเมนคอร์สเป็น
Chicken
Kiev ก็ได้)
บวกว็อดก้าแรงๆ
พร้อมกับขนมปังและซุปรัสเซียที่เรียกว่า
Borsch
แถมเบียร์
Baltika
เย็นๆ
ด้วยสนนราคมไม่ถึง 50
เหรียญฯ
ท่ามกลาง Decoration
แบบแดงๆ
สลัวๆ ที่มีทั้งโปสเตอร์สมัยเลนิน
สตาลิน ฆ้อน เคียว ธงแห่งกองทัพแดง
และรูปถ่ายของสหายโปริสบิวโร
ทั้งในยุคครูสชอฟและเบรสเนฟ
เคล้าดนตรีอินดี้แบบอาร์ตๆ
ที่ค่อนข้าง Original
อย่างน่าชมเชยคนแต่ง
(ลองฟัง
Demo
ได้ที่เว็บไซต์นี้
www.kgbbar.com/demo_of_the_month/)
แถมบางวันอาจมีโปรแกรมพิเศษ
ช่วงอ่านบทกวีหรืออ่านต้นฉบับที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ของบรรดากวีและนักเขียนแนวๆ
ของนิวยอร์กอีกด้วย
UNIQUE!
มากๆ
MBA
ขอชมเชยไอเดียเจ๋งๆ
แบบนี้ด้วยคน
และถ้าใครมีโอกาสไปนิวยอร์ก ควรต้องแวะไปเยี่ยมที่ East
Village ให้ได้สักครั้ง
หมายเหตุ:
ท่านผู้อ่านที่สนใจ
คลิก www.kgbbar.com/
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมกราคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น