ในบรรดาลูกศิษย์ก้นกุฏิของ Benjamin Graham สมัยโน้น นอกจาก Warren Buffet แล้ว ยังมี Walter Schloss ด้วยคนหนึ่ง
เขาคนนี้ มิได้เรียนสูงเหมือน Buffet ซึ่งเป็นลูกวุฒิสมาชิกและสอบเข้า Columbia ได้ ทว่าเขามีโอกาสเรียนกับ Graham จากคอร์สสั้นๆ ที่ Graham เปิดสอนให้กับคนทั่วไปในนิวยอร์กสมัยนั้น ว่ากันว่าเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของเขาคือ Guy Levy ซึ่งต่อมากลายเป็นคนสำคัญของวงการหุ้น ในฐานะประธานของ Goldman Sachs
Schloss ทั้งเรียนและร่วมงานในฐานะผู้ช่วยของ Benjamin Graham อยู่หลายปี จนคิดว่าตัวเอง “ครูพักลักจำ” อาจารย์มาได้หมด และอินทรีย์แก่กล้าขึ้นแล้ว จึงโดดออกมาเปิดกิจการของตัวเอง รับจ้างบริหารจัดการเงินลงทุนให้กับเศรษฐีมีทรัพย์
สไตล์การลงทุนของเขาเป็นแบบ “Contrarian” คือไม่นิยมหุ้นกระแสหลัก หุ้นยอดนิยม หรือ Investment Theme ยอดฮิตที่มักครอบงำความคิดของนักลงทุน ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เช่น ช่วงหนึ่งหุ้น Dot Com บูม อีกช่วงหนึ่งเฮโลสารพากันมาที่ Sub Prime แล้วเดี๋ยวนี้ก็หันมาหาอาหารและพลังงาน เป็นต้น
เขามัก “สวนกระแส” ด้วยการแสวงหา “เพชรในตม” ประเภทที่ไม่มีใครสนใจและมองข้าม ซึ่งเขาเรียกว่า “Cigar Butt” หรือก้นบุหรี่ที่คนจุดทิ้งจุดขว้าง ทว่ามันยังไม่หมดและเป็นก้นซิก้าร์ซึ่งมันมีราคา โดยยังเอามาจุดสูบได้สบายๆ
ก้นบุหรี่เหล่านี้ ถ้าหามารวมๆ กันได้มากๆ ก็จะประหยัดค่าซื้อบุหรี่ไปได้อีกหลายปี หรือเอาเก็บไว้ขายต่อให้กับคนที่เห็นคุณค่าของมันได้ด้วย
แน่นอน การลงทุนสไตล์นี้ต้องอาศัยการหาข้อมูลแบบเจาะลึกและหน่วยวิจัยที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องมันก็ค่อนข้างคุ้ม
หลายปีมาแล้ว ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะเจอวิกฤติใหญ่ในปี 2540 CLSA เคยตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยเปรียบเทียบผลตอบแทน ของการซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดแย่ในแต่ละปี (Dog) กับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดเยี่ยมในปีก่อนหน้า (Star)
พวกเขาลองเริ่มที่ปี 2533 โดยสมมติให้ Thai Contrarian เริ่มมซื้อหุ้น “หมาเน่า” (เขาเรียกว่า Dogs คือบรรดาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดแย่ในปีก่อนหน้าคือปี 2532) แล้วขายทิ้ง ณ สิ้นปี พอถึง 1 มกราคม 2534 ก็เปลี่ยนไปซื้อหุ้นหมาเน่าของปี 2533 แล้วค่อยขายออกอีกตอนสิ้นปี ทำอย่างนี้เรื่อยมาทุกปีจนถึงปี 2538 แล้วมาคำนวณผลตอบแทนของ Portfolio นี้ ปรากฏว่า Thai Contrarian จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 18% ต่อปี เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของหุ้นดาวรุ่ง (Stars หรือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดเยี่ยมในปีก่อนหน้า เมื่อกำหนดให้จัด Portfolio และซื้อเข้า ณ วันต้นปี และขายออก ณ วันสิ้นปี เช่นเดียวกัน) ที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ (-2.3% ต่อปี) ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาดโดยรวมในช่วงนั้นเท่ากับ 11% ต่อปี
Blogger ไม่ทราบว่าหลังจากงานวิจัยชิ้นหัวหอกนั้นตีพิมพ์ออกมาแล้ว โบรกเกอร์รายนั้นหรือรายอื่นได้กัดติดงานวิจัยในแนวนี้ต่อมาอีกหรือไม่
แต่ผลวิจัยนั้นมันแสดงผลสอดคล้องกับแนวคิดและความเชื่อของบรรดากูรูและนักลงทุนในสายสกุล Value Investment ที่เชื่อว่าตลาดหุ้นมันไม่มีทาง Efficient และพวกเรายังสามารถเอาชนะตลาดได้เสมอ ด้วยการศึกษาอย่างมุ่งมั่น หนักหน่วง และเลือกหุ้นอย่างชาญฉลาด
Warren Buffet นักลงทุนคนสำคัญในสายสกุลความคิดนี้ เคยให้นิยามของคนเหล่านี้ว่า "The Superinvestors of Graham-and-Doddsville"
Walter Schloss เป็นหนึ่งในนั้น
หมายเหตุ: ผู้สนใจเรื่องราวและหลักการลงทุนของ Walter Schloss สามารถคลิกไปที่ www.valuewalk.com/walter-schloss
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเมษายน 2555 จากคอลัมน์ Financial Blog ภายใต้นามปากกา Blogger
**คลิกอ่าน แนะนำ Blog ของ Jim Rogers ได้ตามลิงก์ข้างล่างครับ
***เกาะติด Macro Trend กับ Jim Rogers
**คลิกอ่าน แนะนำ Blog ของ Jim Rogers ได้ตามลิงก์ข้างล่างครับ
***เกาะติด Macro Trend กับ Jim Rogers
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น