วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Esther Duflo ความจนมิใช่อุปสรรค



“ความจนเป็นอุปสรรค์”

ใช่! ความจนเป็นอุปสรรค์หลายเรื่องในสมัยนี้และสมัยไหนๆ


ความรัก การศึกษา การรักษาพยาบาล การสาธารณสุข การหาบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ความเป็นอยู่ อาหารการกิน เสื้อผ้า ยารักษาโรค และเงื่อนไขแห่งการดำรงชีวิตทั้งมวล ย่อมอึดอัดขัดข้อง อัตคัดขัดสน ติดๆ ขัดๆ ถูกกีดถูกกัน ยังไงชอบกล เมื่อเราจน


ศาสดาผู้ประเสริฐที่เคยผ่านมาในโลกมนุษย์แม้จะยกย่องความจนและคนเล็กคนน้อย แต่ก็ล้วนต้องการขจัดความจนให้สิ้นไป ทั้งเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ โคตมโคตร หรือ Jesus of Nazareth เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ คำสอนของท่านทั้งสองแฝงไว้ด้วยเป้าหมายดังว่า ไม่มากไม่น้อย


รวมถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิต นักคิดนักเศรษฐศาสตร์ ตั้งแต่ Adam Smith จนถึง Karl Marx ซึ่งความคิดของท่านเหล่านั้นมีผู้ติดตามนำมาประยุกต์ใช้จัดระเบียบสังคมและระเบียบโลก ก็ล้วนมุ่งมั่นขจัดความยากจนให้หมดสิ้นไปด้วยกับทุกคน แม้มรรคาจะต่างแนวกันไปคนละแบบคนละทาง ก็ตามที


แม้กระนั้น ความจนยังหาได้ปลาสนาการไปจากสังคมมนุษย์ไม่ โลกปัจจุบันมีการผลิตโภคทรัพย์อย่างล้นเหลือ ความมั่งคั่งนับเป็นตัวเงินมีอยู่อย่างเหลือคณานัป มหาเศรษฐีที่สะสมทรัพย์กันคนละหลายแสนหลายล้านล้านบาทก็มีให้เห็นแบบตัวเป็นๆ แต่ความจนกลับระบาดไปทั่ว จำนวนคนยากจนในโลกเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน


ถ้าเราปล่อยให้ความยากจนยังมีอยู่ในอัตราปัจจุบัน ความยากจนนี้เองที่จะถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งมนุษยชาติโดยรวมไม่ให้ก้าวหน้าไปได้ เพราะความจนเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่รู้ และเป็นสาเหตุของความอึดอัดขัดข้องต่อการดำเนินชีวิตของคนหมู่มาก ซึ่งจะส่งผลต่อวงจรที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงทั้งต่อมนุษย์ด้วยกันเอง และต่อธรรมชาติ


ในบรรดานักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งพุ่งแรงที่เอาใจใส่ต่อปัญหาความยากจนนั้น มี Esther Duflo แห่ง MIT อยู่ด้วยคนหนึ่ง


งานวิจัยของเธอน่าสนใจไม่น้อย เธอมักลงพื้นที่ เก็บข้อมูลละเอียด โดยผลวิจัยสามารถมี Implications ต่อการดำเนินนโยบายสังคม หรือปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปัญหาในพื้นที่


MBA คิดว่าการตั้งคำถาม และหาคำตอบแบบที่เธอทำนั้น น่าจะนำมาประยุกต์กับสังคมบ้านเราได้ไม่ยาก (อย่างนโยบายแจก Tablet ของรัฐบาลปัจจุบันนั้น สามารถใช้วิธีวิจัยในแบบของเธอ มาวัดประสิทธิภาพของนโยบายได้เลยทันที)

ตัวอย่างที่เธอนำมาแสดงบนเวที TED Conference (ผู้สนใจคลิกดูได้ที่ blog.ted.com/2010/05/03/social_experime/) ก็น่าสนใจ ทั้งแนวทางการจูงใจให้ผู้ปกครองในชนบทยากจนของอินเดียให้นำลูกมาฉีดวัคซีนโดยการแจกถั่วคนละ 1 กิโลกรัม และการวัดประสิทธิภาพของนโยบายลดการติดเชื้อมาเลเรียในอัฟริกาโดยทางเลือกต่างๆ เช่นการแจกมุ้ง ขายมุ้งให้ชาวบ้าน หรือให้ส่วนลดไปซื้อมุ้งกับชาวบ้าน เป็นต้น


หนังสือของเธอเรื่อง Poor Economics: Barefoot Hedge Fund Managers, DIY Doctors and the surprising truth about life on less than 1$ a day (เขียนร่วมกับแฟนเธอ Abhijit Banerjee) เพิ่งจะออกวางตลาดด้วยเวอร์ชั่นปกอ่อน มีกรณีศึกษาจำนวนมากจากการลงพื้นที่ยากจนเป็นเวลานาน และมีข้อสรุปที่น่าสนใจ


แม้เธอจะพบว่ามันไม่มีมาตรการใดหรือหนทางใดหนทางหนึ่งแต่เพียงแนวเดียวในการขจัดความยากจนให้หมดไป แต่เราก็พอรู้ว่าจะยกระดับความเป็นอยู่ของผู้ยากไร้กันอย่างไร โดยเธอได้ข้อสรุปในเชิงเศรษฐศาสตร์มา 5 ประการดังต่อไปนี้


ประการแรก เธอพบว่าผู้ยากไร้ส่วนใหญ่ขาดแคลนข้อมูล จึงมีความรู้หรือฝังใจผิดๆ เกิดตึดยึดกับความหลง ความงมงาย หรือเชื่อในเรื่องไม่จริง มิจฉาทิฎฐิเหล่านี้มักทำให้พวกเขาตัดสินใจผิดพลาด เช่นพวกเขาไม่แน่ใจต่อผลดีของการฉีดวัคซีนให้ลูกหลาน หรือผลดีของการส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนให้ได้รับการศึกษาขั้นต้น หรือไม่รู้ว่า HIV ติดต่อกันได้ยังไง เป็นต้น และแม้ต่อมาพวกเขาจะเพิ่งมารู้และตระหนักว่าความเชื่อเก่าที่ยึดถือมานั้นมันผิด แต่การตัดสินใจก่อนหน้านั้น อาจสร้างความเสียหายไปแล้ว และการกลับตัวมักจะสายเกินไป


ประการที่สอง คือเธอมองว่าผู้ยากไร้เหล่านี้แบกความรับผิดชอบหนักหน่วงเกินไปในหลายแง่มุมของการดำเนินชีวิต เพราะคนจนต้องคิดเรื่องต่างๆ มากกว่าคนรวย เช่น พวกเขาต้องคิดหนักในเรื่องอาหารและน้ำดื่ม เพราะพวกเขาไม่มีน้ำประปาใช้ พวกเขาจึงไม่ได้ประโยชน์จากคลอรีนฆ่าเชื้อโรคที่การประปาจัดหาให้จากส่วนกลาง พวกเขาต้องแบกรับต้นทุนในการจัดหาน้ำสะอาดด้วยตัวเอง และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงหรือ afford อาหารเช้ามาตรฐานสำหรับเด็กอย่างเช่น Cereal ได้ด้วย แต่ก็มีภาระที่จะต้องจัดหาอาหารสำหรับลูกหลานให้ครบสามมื้อ เป็นต้น ดังนั้น โอกาสที่คนจนจะตัดสินใจ “ผิดพลาด” จึงมีมากกว่าคนมีฐานะ


ประการที่สาม คือกลไกตลาดมักทำงานสวนทางในตลาดคนยากจน และมักคิดราคาสูงสำหรับคนยากจน เช่นตลาดสินเชื่อปกตินั้น คนยากจนมักเข้าถึงยาก และถ้าเข้าถึงได้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยแพงกว่าปกติ แม้กระทั่งตลาดเงินฝาก สำหรับคนยากจนแล้ว ดอกเบี้ยรับมักจะต่ำกว่าทั่วไปด้วยซ้ำ


ประการที่สี่ เธอว่าประเทศยากจนมักพบกับความจนซ้ำซาก แต่ไม่ใช่เพราะมันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่ใช่เพราะความจน หรือประวัติศาสตร์ที่ถูกกดขี่มา แน่นอนว่านโยบายหรือโครงการยกระดับฐานะผู้ยากไร้ต่างๆ มักไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ได้ผลเต็มที่ในประเทศเหล่านั้น นักการเมืองโกงกิน ระบบราชการล่าช้า แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ก็มักไม่อยากสอนหรือสอนไม่เต็มที่ ถนนหนทาง เขื่อน สะพาน ใช้วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานเพราะถูกเหลือบไรคอรับชั่นออกไปแต่แรก ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นเพราะทุนนิยมสามานย์หรือเกิดจากการกีดกันของพวกชนชั้นนำที่ไม่อยากเห็นคนจนมีฐานะดีขึ้น อย่างที่มักเชื่อกันตามแนว “ทฤษฎีสมคบคิด” (Conspiracy Theory) แต่มันเกิดจากการออกแบบนโยบายที่ผิดพลาด และการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ และสิ่งที่เธอเรียกว่าUbiquitous Three I’s” คือ Ignorance, Ideology และ Inertia

ประการสุดท้าย เธอพบว่ามิจฉาทิฎฐิในข้อแรกนั้นมักทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับตัวเอง เลยหลงเชื่อว่ามิจฉาทิฎฐิดังว่านั้นเป็นความจริงไปเลยก็มี นักจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า Self-fullfiling Prophecy เช่นนักเรียนมักเลิกเรียนกลางคันเมื่อครู (หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว) บอกพวกเขาว่าตัวเขานั้นไม่เหมาะกับโรงเรียนหรือไม่เก่งพอจะเรียนไปสูงๆ ได้ หรือกรณีของพยาบาลซึ่งต้องไปประจำที่สุขศาลาทุกวันตามเวลาเป๊ะๆ แต่พอไปแล้วไม่เจอใคร ไม่มีใครสนใจมารับการรักษา หมอเองก็ไม่ค่อยมาให้เห็นหน้า เจอแบบนี้นานๆ เข้า พยาบาลคนนั้นก็เลยเลิกกระตือรือร้นและเริ่มไปสายกลับเร็ว


หรืออย่างนักการเมืองไร้ชื่อส่วนใหญ่ที่ไม่คิดว่าตัวเองคงทำอะไรไม่ได้มากในรัฐสภา ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังคงเลือกตน ทำให้เขาเข้าใจไปว่าประชาชนคงมิได้คาดหวังอะไรในตัวเขามากนัก ก็เลยพาลเป็นคนเรื่อยเฉื่อย หมดความคิดสร้างสรรค์ ไม่คิดที่จะหาทางปรับปรุงชีวิตราษฎรให้ดีขึ้นตามหน้าที่ความรับผิดชอบของนักการเมืองที่ควรจะเป็น

ข้อสรุปทั้งห้าของ Duflo ช่างใกล้เคียงกับประสบการณ์จริงในบ้านเราเสียนี่กระไร!


(หมายเหตุ: ข้อสรุปทั้ง 5 ของหนังสือนั้น เราเรียบเรียงมาจาก Brief ที่เธออนุญาติให้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Financial Times ฉบับ March 17, 2012 โดยผู้สนใจสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่ www.ft.com/intl/cms/s/2/81804a1a-6d08-11e1-ab1a-00144feab49a.html#axzz1tchVMrts)


บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ในคอลัมน์แนะนำหนังสือ ภายใต้ชื่อเรื่อง "ความจนมิใช่อุปสรรค?"


***ผู้สนใจโปรดคลิกอ่านบทความที่คล้ายคลึงกันข้างล่าง


***Patient Capital การเงินเพื่อลดช่องว่าง


***Greg Mankiw บล็อกเศรษฐกิจ NO. 1


***"กระแสสำนึก" ของนายธนาคารแห่งอนาคต



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น